ประตูเมืองชายแดนถูกเปิดออกในยามเฉิน[1]ของทุกวัน เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงนำกองทัพคุ้มกันประชาชนออกจาเมืองไปตัดฟืนล่าสัตว์ หลังสองชั่วยามก็กลับเมืองช่วงเที่ยงตรงเวลา
หลายวันมานี้ราบรื่นมาโดยตลอด เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงที่กลัดกลุ้มก็ค่อยๆ วางใจลง แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าชาวบ้านที่แรกเริ่มพะว้าพะวงอย่างถึงที่สุดก็มากขึ้นแล้ว
ตลอดจนวันที่ห้า พวกเขาเพิ่งออกมาได้เพียงครึ่งชั่วยามก็มีหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปรายงานข่าวกลับมา ‘มีทหารซีเหลียงกลุ่มเล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ จำนวนคนประมาณสี่ร้อยคน’
เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงได้รับข่าวแล้วก็เคลื่อนไหวทันที เสียงผิวปากที่แหลมเปรียวดังก้องทั่วป่า ชาวบ้านที่กำลังตัดฟืนหรือล่าสัตว์อยู่ก็แบกฟืนและเหยื่อที่ล่าได้ขึ้นหลังทันที วิ่งออกจากป่าด้วยความรวดเร็ว
ตอนที่มากลุ่มทหารก็เตือนแล้วว่า ‘ขอเพียงแค่ได้ยินเสียงผิวปากให้วิ่งกลับมาทันที นี่คือการเตือนว่ามีทหารซีเหลียงกำลังจะมา หากใครช้า เช่นนั้นก็รอดาบใหญ่ของทหารซีเหลียงเสีย’ ตอนที่ชีวิตถูกคุกคามใครบ้างจะยังกล้าเมินเฉย
เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงแยกกันคุ้มกันชาวบ้านวิ่งกลับประตูเมืองคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งตั้งทัพเตรียมรับศึก
“เร็ว เร็วหน่อย วิ่งให้หมด โยนฟืนกับเหยื่อทิ้ง ทหารซีเหลียงจะมาฆ่าแล้ว วิ่งช้าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว!” ทหารชายแดนตะโกนเสียงดัง พลางเร่งรัดชาวบ้านให้รีบวิ่งโดยเร็ว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง โยนของในมือทิ้งพลางสับเท้าวิ่งหนีทันที แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่ตัดใจทิ้งไม่ได้ วิ่งช้าๆ อยู่ท้ายแถว มีทหารชายแดนเห็นแล้วก็โมโหก่นด่าเข้าไปดึงของออกทิ้งลงข้างๆ “เวลานี้แล้วยังเลอะเลือนเช่นนี้อีก ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ” เสียชีพไม่ยอมเสียทรัพย์จริงๆ
ทหารซีเหลียงน่าจะได้ยินข่าวฝั่งนี้แล้ว พวกเขาเคลื่อนพลมารวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ชาวบ้านที่ออกจากเมืองส่วนใหญ่ล้วนมีกำลังแข็งแรง ทั้งยังมีทหารชายแดนเร่งรัดอยู่ข้างๆ แม้ว่าจะวิ่งอย่างเหนื่อยหอบ แต่เพื่อที่จะหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่มีใครที่ไม่วิ่งสุดชีวิต
ดังนั้นตอนที่ทหารซีเหลียงมาถึง ประชาชนเมืองชายแดนก็วิ่งออกไปไกลแล้ว ทำได้เพียงมองเห็นจุดสีดำเล็กๆ อยู่ไกลๆ
คนที่รับศึกคือเสิ่นเชียน เขานำทหารม้าหนึ่งกลุ่มหมอบซุ่มอยู่ในป่า ทหารซีเหลียงเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในรัศมียิงธนู ลูกธนูของทหารชายแดนก็ยิงออกไปราวกับห่าฝน
ทหารซีเหลียงถูกยิงอย่างไม่ทันระวัง ตาลีตาลานอย่างยิ่งครู่หนึ่ง ยังไม่ทันตอบสนองกลับมา เสิ่นเชียนก็นำคนออกจากป่ามาสังหาร
เสิ่นเชียนเป็นวิ่งอยู่ด้านหน้าสุดเพื่อรับศึก ดาบใหญ่ในมือกวาดไปยังลำคอของทหารซีเหลียง การที่เขาใช้ดาบใหญ่เพราะได้รับอิทธิพลมาจากเสิ่นเวย ก่อนหน้านี้ในจวนเขาใช้กระบี่ แต่กระบี่ไม่เหมาะสมที่จะใช้บนม้า เขาเห็นดาบหมื่นโลหิตที่ปรับแก้เล่มนั้นของเสิ่นเวยฆ่าฟันอย่างเป็นอิสระท่ามกลางศัตรู ตนเองก็เคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างคล่องมือจึงให้คนตีดาบเลียนแบบให้ตนหนึ่งเล่ม
เพราะว่าฉวยโอกาสลงมือก่อน ทหารสองร้อยนายของเสิ่นเชียนกลับมีกำลังพอที่จะสู้ทหารสี่ร้อยนายของกองทัพซีหลียงได้ แต่เสิ่นเชียนก็รู้อยู่แก่ใจ จำนวนคนฝ่ายตนน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม ทหารชายแดนต้ายงเองก็ไม่ได้ห้าวหาญเท่าทหารซีเหลียง หากสู้ต่อไปไม่ช้าไม่เร็วก็อาจจะถูกจัดการ หากคิดจะชนะก็ต้องใช้สมอง
ความคิดเขาแล่นราวกับสายฟ้า พลันตะโกนกล่าวเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลายยืนหยัดไว้ กองกำลังหนุนของพวกเราใกล้มาถึงแล้ว สังหารพวกมันเสีย ยืนหยัดอีกครู่หนึ่ง อย่าให้พวกชั่วซีเหลียงเหล่านี้วิ่งหนีไปได้!”
เป็นดังคาด เมื่อเสียงของเสิ่นเชียนดังออกไป ชั่วขณะทหารชายแดนฝั่งนี้ก็มีกำลังวังชาฮึกเหิม พากันคล้อยตาม “ต้านไว้ ต้านไว้ทั้งหมด แม่ทัพน้อยหร่วนกำลังจะนำกองกำลังหนุนมาแล้ว อย่าปล่อยคุณงามความดียิ่งใหญ่ให้หลุดมือไปได้”
อันที่จริงเสิ่นเชียนก็ไม่รู้ว่าหร่วนเหิงจะกลับมาช่วยเหลือได้เมื่อไร อย่างไรเสียเขาก็ต้องคุ้มกันชาวบ้านเข้าเมืองอย่างปลอดภัย นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ แต่ตอนนี้เขาตะโกนเช่นนี้ ในใจทหารชายแดนก็ล้วนมีความความหวัง มีความหวังแล้วก็จะสร้างศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดออกมา ทั้งหมดต่างก็ให้กำลังใจตัวเองในใจ ยืนหยัด ยืนหยัด ขอเพียงแค่ยืนหยัดจนกองกำลังหนุนมาก็ได้แล้ว ก่อนหน้านั้น จะต้องรักษาชีวิตของตนไว้ให้ได้
หร่วนเหิงที่คุ้มกันชาวบ้านกลับเมืองก็ร้อนใจดั่งไฟสุมทรวงเช่นกัน เร่งรัดให้เร่งรีบไม่หยุด เขารู้ดีว่าเสิ่นเชียนกับทหารสองร้อยนายนั้นเผชิญหน้ากับทหารสี่ร้อยนายของกองทัพซีเหลียงมีอัตราการชนะไม่สูงนัก เขาต้องกลับไปช่วย ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ความสัมพันธ์ในช่วงเวลาเหล่านี้ของพวกเขา เขาก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเสิ่นเชียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นนั่นยังเป็นพี่ใหญ่ของลูกผู้น้องเขา เป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านเสิ่นโหว
ประตูเมืองชายแดนอยู่ตรงหน้าแล้ว หร่วนเหิงเองก็รอไม่ได้ ตะคอกหนึ่งครา “เอ้อร์หู่เจ้านำทหารห้าสิบนายคุ้มกันชาวบ้านเข้าเมืองต่อ คนที่เหลือตามข้าไปสมทบแม่ทัพน้อยเสิ่น”
ทหารชายแดนแบ่งเป็นสองกลุ่มทันที หนึ่งกลุ่มตามหร่วนเหิงหันหลังกลับไปช่วยเหลือ อีกหนึ่งกลุ่มคุ้มกันชาวบ้านไปยังประตูเมืองต่อ
ในกลุ่มประชาชนเมืองชายแดนมีผู้ที่เฉลียวฉลาดกล่าวเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลายรีบวิ่งเถิด ใกล้จะเข้าเมืองแล้ว คนที่ยังมีแรงก็ช่วยพยุงคนที่วิ่งไม่ไหว พวกเราไม่อาจถ่วงเวลางานใหญ่ของท่านทหารได้ แม่ทัพน้อยทั้งสองท่านยังสู้รบกับสุนัขซีเหลียงอยู่เลย” ชั่วขณะ กลุ่มขบวนประชาชนก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีก
เสิ่นเวยเองก็ได้รับข่าวแล้ว นางถือดาบขึ้นม้า พาทหารของตนออกจากเมืองทันที
ทหารม้าสองกลุ่มยังคงเข่นฆ่ากันอยู่ เสิ่นเวยมองดูนิ่งๆ เห็นพี่ใหญ่และญาติผู้พี่ของนางปลอดภัยไร้กังวลก็วางใจลง นางเห็นทหารชายแดนต้ายงไม่ได้ถูกเอาเปรียบอะไรมากจึงไม่ได้เข้าไป แต่กลับแอบสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ
มองอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเวยก็กวักมือเรียกหู่โถวเข้ามา ออกคำสั่งเสียงต่ำกับเขาหลายประโยค เสิ่นหู่โหวพยักหน้าโบกบัญชาข้างหลัง ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของเขาก็ก้าวออกมาเดินตามเขาทะลุเข้าไปในป่า
“ทั้งหมดน้าวธนูขึ้น” หลังเสิ่นหู่โถวไปแล้วเสิ่นเวยก็ออกคำสั่งเช่นนี้ทันที คนทั้งหมดรวมถึงนางน้าวสายธนูขึ้น รอโจมตี
มีกำลังสมทบของหร่วนเหิง ทหารชายแดนก็มีกำลังฮึกเหิมทันที ฆ่าจนทหารซีเหลียงไม่มีแรงตอบโต้
ทหารซีเหลียงยังเหลืออยู่กว่าสิบคน เห็นทหารชายแดนต้ายงยิ่งรบก็ยิ่งห้าวหาญ จึงเกิดความคิดที่จะหนีเอาตัวรอด มีคนที่ท่าทางคล้ายหัวหน้าผู้หนึ่งตะโกนอะไรสักอย่าง จากนั้นก็หันหน้าวิ่งหนีไปแล้ว
“ตามไป อย่าปล่อยให้พวกชั่วซีเหลียงหนีไปได้เด็กขาด รีบตามเร็วเข้า” ทหารชายแดนกลับฆ่าจนฮึกเหิม ราวกับพยัคฆ์ที่ร้องคำรามวิ่งไล่
เสิ่นเชียนเองก็เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญ ความอัดอั้นที่ถูกเปรียบเทียบกับน้องสี่ของเขาในช่วงหลายวันมานี้หายหมดเกลี้ยง ขี่ม้าบุกอยู่ข้างหน้าสุด ทหารชายแดนใต้บังคับบัญชาเห็นแม่ทัพน้อยเสิ่นห้าวหาญเช่นนี้ก็ยิ่งฮึกเหิมอย่างมาก ไล่ไปพลางสังหารไปพลาง สัญญาณแห่งชัยชนะดังก้องออกไป
ทันใดนั้น ธนูหนึ่งดอกที่ไม่รู้ว่ายิงมาจากไหนก็พุ่งตรงมาที่ลำคอของเสิ่นเชียน ลูกธนูที่แหลมคมกะพริบประกายเย็นเยียบภายใต้แสงอาทิตย์ เสิ่นเชียนอยากดึงบังเ**ยนม้าก็ไม่ทันแล้ว ชั่วพริบตาลูกธนูกำลังจะพุ่งเข้าถึงตัว เขาคิดในใจ ชีวิตข้าจบสิ้นลงแล้ว ข้าไม่ยอม ไม่ยอม!
ชั่วพริบตาเดียว ในตอนที่เสิ่นเชียนคิดว่าจะต้องตายแน่แล้ว ด้านหลังเขาก็มีลูกธนูหนึ่งดอกยิงเข้ามากระทบหัวลูกธนูดอกนั้นพอดี ธนูที่รวดเร็วดุดันดอกนั้นลอยออกไปด้านหน้าเสิ่นเชียนครึ่งฉื่อจากนั้นก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เสิ่นเชียนตกใจกับสถานการณ์ที่มีอันตรายรอบด้านนี้จนเหงื่อไหลท่วมตัว ทั้งยังดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาถอนหายใจมองไปข้างหลัง เห็นน้องสี่ของเขาถือคันธนูออกมาจากที่ซ่อนตัว
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องให้ทุกคนไล่ตามแล้ว หู่โถวรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก” เสิ่นเวยเฆี่ยนม้าเข้ามา
แม้ว่าเสิ่นเชียนจะรอดพ้นหายนะ แต่ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ “น้องสี่ ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้า มิเช่นนั้นพี่ใหญ่ก็คงจะไม่รอดแล้ว” บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจากใจจริง
“ใช่แล้วๆ เมื่อครู่ข้ากลัวแทบตาย” หร่วนเหิงเองก็ขี่ม้าเข้ามา เมื่อครู่เขามองเห็นธนูพุ่งมาที่เสิ่นเชียนก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน หากเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นเชียน แล้วเขากลับไปในสภาพสมบูรณ์ ท่านเสิ่นโหวจะคิดอย่างไร แม้ต่อหน้าจะไม่อาจทำให้เขาลำบากได้ แต่อย่างไรเสียในใจก็คงเกิดความเคลือบแคลงแน่
โชคดี โชคดี โชคดีที่ญาติผู้น้องมาทัน
เสิ่นเวยกระตุกมุมปาก “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” นางจ้องมองคนทั้งสอง จากนั้นจึงมองสนามรบ “พี่ใหญ่ ญาติผู้พี่ ศึกครั้งนี้ต่อสู้ได้ดียิ่งนัก ท่านปู่ทราบเข้าจะต้องดีใจมากแน่นอน แต่พี่ใหญ่กับญาติผู้พี่เองก็ต้องจดจำไว้ ศัตรูจนตรอกอย่าไล่ตาม แต่หากจะไล่ตามก็ต้องระมัดระวังตัว”
ถูกสตรีที่เด็กกว่าตนตำหนิเช่นนี้ เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือทุกข์ใจดี แต่ว่า ก็ควรจะดีใจมากกว่า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองนำทัพสังหารศัตรูเพียงลำพัง
เมื่อนึกถึงคำตักเตือนของเสิ่นเวย สีหน้าท่าทางทั้งสองก็เคร่งขรึมขึ้นมา “พวกพี่เข้าใจแล้ว ขอบใจน้องสี่ยิ่งนัก”
“พี่น้องตระกูลเดียวกัน ขอบคุณเป็นคนนอกไปได้” เสิ่นเวยกล่าว “พี่ใหญ่ ญาติผู้พี่ รีบเก็บกวาดสนามรบเถอะ พวกเราควรกลับได้แล้ว” ท่านปู่ในจวนคงจะยังเป็นห่วงอยู่
ท่านเสิ่นโหวยังเป็นห่วงอยู่จริงๆ หากเจ้าสี่ออกไปเขาจะต้องไม่เป็นกังวลแน่นอน เจ้าสี่เด็กปีศาจคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นสุนัขจิ้งจอก แต่ยังเป็นพยัคฆ์อีกด้วย แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นนางที่กลั่นแกล้งผู้อื่น ผู้อื่นอย่าหวังจะเอาเปรียบนางได้เลย
ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องก็ถูกขู่บังคับเหมือนกันมิใช่หรือ เขาได้ยินอันฉงบอกว่าคุณชายใหญ่สวีอยู่ต่อหน้าหลานสาวของเขาแล้วก็มีท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัวว่านอนสอนง่าย เขาจึงมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอยู่หลายวัน
แต่หลานชายคนโตของเขาไม่ใช่เจ้าสี่นี่ หลานชายคนโตยังไม่เคยเห็นเลือด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับทหารซีเหลียง จะรอดหรือไม่ แม้ว่าเจ้าสี่จะตามไปแล้ว แต่ท่านเสิ่นโหวก็ยังวางใจไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับหลานชายคนโตก่อนที่เจ้าสี่จะไปถึงจะทำอย่างไร
กว่าจะมีผู้สืบทอดที่นับว่าพอใช้ได้สักคนหนึ่ง หากเกิดเรื่องอะไรอีก เช่นนั้นจวจงอู่โหวของเขาก็คงจะตกต่ำแล้วจริงๆ เมื่อท่านเสิ่นโหวนึกถึงจุดนี้ก็ร้อนใจพะว้าพะวง เดินไปเดินมาอยู่ในห้องตัวเอง ทั้งยังสั่งคนให้ออกไปสืบข่าวไม่หยุด
ม้าศึก อาวุธ ของมีค่าติดตัวทหารซีเหลียง ถูกเก็บรวบรวมด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง สำหรับศพ ย่อมโยนไว้ในป่ารกร้างให้เหยี่ยวแร้งทึ้งกิน
ตอนที่เก็บกวาดสนามรบไปได้ครึ่งหนึ่งเสิ่นหู่โถวก็นำคนกลับมาแล้ว “คุณชาย เรียบร้อยขอรับ สังหารทหารซีเหลียงทั้งหมดแล้ว” เขารายงานเสียงดัง คนที่ตามมาข้างหลังเองก็แสยะปาก ท่าทางดีใจอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยกระตุกมุมปากเล็กน้อย ไม่เคยเห็นคนที่ชอบรบเช่นนี้มาก่อน ออกไปไหนอย่าได้พูดว่าเป็นคนของนางเชียวนะ
“ไม่เลว ดีมาก กลับไปมีรางวัล” เสิ่นเวยพูดยังไม่ทันขาดคำ ปากของเสิ่นหู่โถวและคนอื่นๆ ก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่วนคนที่ซ่อนตัวตามเสิ่นเวยไม่มีโอกาสได้สังหารศัตรูก็มีสีหน้าอิจฉา
ได้รางวัลหรือไม่กลับไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการได้สังหารศัตรู เสียงที่ทวนยาวนั้นแทงเข้าเนื้อนั้นช่างไพเราะยิ่งนัก
ฝั่งทหารชายแดนเองก็มีคนบาดเจ็บล้มตาย ตายสามสิบกว่าคน บาดเจ็บไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กๆ ไม่ว่าจะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสล้วนถูกพากลับไปที่เมืองชายแดนด้วยความเหมาะสม
ระหว่างทางที่กลับก็ไม่ลืมที่จะเก็บฟืนและเหยื่อที่ชาวบ้านโยนทิ้งตามทาง แน่นอนว่านี่คือความคิดของเสิ่นเวย แม้ยุงจะเล็กแต่ก็ยังเป็นเนื้อ ของเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีค่ามาก ต้องฝึกให้มีนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ไว้รู้หรือไม่
[1] ยามเฉิน ช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า