วันที่คนซีเหลียงกลับไป ประชาชนเมืองชายแดนทั้งหมดต่างก็ออกมาส่งด้วยความยินดีปรีดา หากไม่ใช่ว่ามีทหารชายแดนรักษาความเรียบร้อยอยู่ พวกเขาก็คงจะปาก้อนหินไข่เน่าออกไปแล้ว ผู้คนมองกองทัพใหญ่ซีเหลียงจากไปอย่างรวดเร็ว มองท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งครา ในที่สุดก็ส่งหายนะไปได้แล้ว หลังจากนี้ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องที่จากไปในไฟสงคราม จิตใจของพวกเขาก็จมดิ่งลงอีกครั้ง
ชั่วพริบตาก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว หากเดินทางกลับเมืองหลวงตอนนี้ เช่นนั้นก็ต้องฉลองวันปีใหม่กลางทาง ได้ไม่คุ้มเสียเกินไปแล้ว ไม่สู้ฉลองปีใหม่ที่ซีเจียง หลังปีใหม่ค่อยกลับเมืองหลวง
คนค่อยกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่ก็ได้ แต่สาส์นกราบทูลข้อราชการกลับไม่ได้ การเจรจาสงบศึกฝั่งนี้สรุปผลแล้ว สาส์นกราบทูลหลายฉบับฝั่งนั้นก็ส่งจากเมืองชายแดนซีเจียงไปยังเมืองหลวง
คราวนี้จักรพรรดิยงเซวียนก็ยิ่งดีพระทัย กลางดึกก็ไม่มีอารมณ์นอนแม้แต่นิดเดียว อ่านสาส์นกราบทูลซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าจะอ่านจนกว่าดอกไม้จะบานออกมาได้ โดยเฉพาะสาส์นกราบทูลของหย่งติ้งโหว ชื่นชมคุณชายสี่แซ่เสิ่นออกหน้าออกตา กล่าวว่าที่สามารถนำเงินทองและของจำนวนมากเช่นนั้นกลับมาจากซีเหลียงได้ล้วนแต่เป็นความคิดของคุณชายสี่ วิเคราะห์ความไม่เหมาะสมในแนวคิดก่อนหน้านี้ของตน แล้วยังซึ้งใจที่คนรุ่นหลังเก่งนำคนรุ่นก่อน เด็กคนนี้จะต้องกลายเป็นบุคลลสำคัญของราชสำนักแน่นอน ดูออกว่าหย่งติ้งโหวไม่รู้เลยว่าคุณชายสี่แซ่เสิ่นที่เขาชอบอกชอบใจเป็นสตรีผู้หนึ่ง
จักรพรรดิยงเซวียนก็ซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน คุณหนูแซ่เสิ่นผู้นี้พูดสิ่งที่อยู่ในใจแทนเขาแล้วจริงๆ เป็นจักรพรรดิของแคว้น แม้จะร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า แต่ท้องพระคลังที่ว่างเปล่ากลับทำให้เขาลำบากอยู่บ่อยครั้ง ที่เขาเกลียดที่สุดก็คือแคว้นแล็กๆ ที่ชายแดนเหล่านั้น ชอบยั่วยุอยู่บ่อยๆ แพ้แล้วก็แสร้งร้องไห้อ้อนวอน ขอเสบียงเงินทองไปจากตน สุดท้ายแล้วตนก็เสียเงินเปล่า
ความจริงแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนไม่อยากให้เลยแม้แต่นิดเดียว รบแพ้ก็ต้องอยู่ไปอย่างซื่อสัตย์ ไม่คิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าก็ดีเท่าไรแล้ว ยังกล้ากระโดดโหยงเหยงมาขอของอีก คิดว่าตัวเองเป็นใคร ของของข้าไม่ใช่ว่าลมหอบมาเสียหน่อย ด้วยนิสัยของเขา หากไม่ยอมพวกเราก็มารบ บรรพบุรุษตระกูลสวีก็ชิงแผ่นดินบนหลังม้า เคยกลัวใครที่ไหน คิดจะขอของไม่มีทางเสียหรอก
ทว่ากลับค้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนั้นในราชสำนึกไม่ไหว โดยเฉพาะตาเฒ่าหลายคนนั้นในกรมพิธีการ วันทั้งวันเอาแต่พร่ำบ่นข้างหูเขา น้ำใจแคว้นใหญ่บ้างล่ะ เป็นจักรพรรดิน่านับถือบ้างล่ะ มีคุณธรรมต่อผู้อื่นบ้างล่ะ
เหอะ มารดาเขาสิ เขารู้แค่เพียงท้องพระคลังของเขาว่างลงทุกวันๆ เขาดำรงตำแหน่งฮ่องเต้นี้ด้วยความอันอั้นยิ่งนัก ชิงดินแดนอาศัยขุนพล แต่ปกครองดินแดนต้องการขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านี้ เขาคงไม่อาจฆ่าคนเหล่านี้จนหมดได้ ในเมื่อฆ่าไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว
ตอนนี้คุณหนูสี่แซ่เสิ่นพูดความในใจเขาออกมาแล้ว ทำเรื่องที่เขาอยากทำแต่ทำไม่ได้สำเร็จแล้ว เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งราชสำนักยังมีความรู้ไม่เท่าสตรีผู้เดียว จะให้เขาพูดอย่างไรดี
สตรีดีๆ เช่นนี้ก็ต้องปูบบำเหน็จ แต่ตนได้พระราชทานบรรดาศักดิ์นางให้เป็นจวิ้นจู่แล้ว นี่คือจวิ้นจู่ที่ไม่ได้มีสายโลหิตในราชวงศ์คนแรกนับตั้งแต่สถาปานาแคว้นมา หรือว่าจะเลื่อนขั้นเสิ่นหงเซวียนบิดาของนางดี ฟังว่านางยังมีน้องชายแท้ๆ อยู่หนึ่งคน แม้ว่าอายุยังน้อย แต่กลับพระราชทานตำแหน่งเพียงแค่ในนามให้ได้เหมือนกัน
จักรพรรดิยงเซวียนยินดีปรีดา อนุมัติใบเสนอบันทึกความดีความที่เสิ่นผิงยวนส่งมาทั้งหมด สำหรับคำขอกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่เขาเองก็เข้าใจอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่สั่งด้วยความใส่ใจว่าไม่ต้องรีบ ซ้ำยังบอกเป็นนัยว่าหลังกลับเมืองหลวงแล้วจะมีบำเหน็จจำนวนมาก
ขึ้นครองราชย์มาหลายปีเพียงนี้ ถือได้ว่าปีนี้ผ่านไปอย่างสบายใจที่สุด จักพรรดิอารมณ์ดีแล้ว ชีวิตของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เบื้องล่างย่อมต้องดี แม้ว่าพวกเขาจะอิจฉาริษยาจงอู่โหวที่โชคดี แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาใช้ความสามารถแย่งมาได้ด้วยตัวเอง
เสิ่นเวยที่อยู่ไกลถึงซีเหลียง ปีนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยความสุขอย่างยิ่ง ปีใหม่โบราณครื้นเครงอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่วันที่ยี่สิบเดือนสิบสองก็เริ่มครึกครื้นแล้ว ไม่เงียบเหงาเหมือนยุคปัจจุบัน
คืนวันที่สามสิบ เสิ่นเวย สวีโย่ว ท่านเสิ่นโหว แม่ทัพอู่เลี่ย หย่งติ้งโหวและคนอื่นๆ นั่งล้อมโต๊ะทานอาหารค่ำด้วยกัน ผักที่เสิ่นเวยนำคนไปปลูกก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง กับข้าวจำนวนมากล้วนเป็นอาหารที่เสิ่นเวยสอนออกมา เพียงแค่เกี๊ยวก็แบ่งเป็นไส้หลายชนิดแล้ว มีไส้กุยช่ายขาวผัดไข่ มีไส้หมูสับผัดต้นหอม มีไส้เนื้อแกะผัดเม็ดยี่หร่า ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง แม้แต่สวีโย่วที่ปกติเลือกกินยังกินไปหนึ่งชามใหญ่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหย่งติ้งโหวและคนอื่นๆ กินไปพลางชมไปพลาง บอกว่าอยู่ที่เมืองหลวงไม่เคยกินเกี๊ยวที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
กินข้าวเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็ไปดูผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง ในห้องโถงมีโต๊ะจัดวางอยู่หลายสิบโต๊ะ ทุกคนกำลังดื่มสุรากินเนื้อเล่นเป่ายิงฉุบ บนใบหน้าแต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยสีหน้าเฉลิมฉลองเทศกาล
เสิ่นเวยพูดอย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ดื่มสุราหนึ่งแก้วร่วมกับพวกเขา ทุกคนต่างทราบฐานะที่แท้จริงของนายท่านตนดี ย่อมไม่มีใครโน้มน้าวให้ดื่มสุรา
ออกจากห้องโถง เถาฮวาก็รอนางอยู่ข้างนอก ในอกกอดดอกไม้ไฟ กะพริบตาปริบๆ มองนาง “คุณชาย ตอนนี้ไปเล่นดอกไม้ไฟได้แล้วหรือยัง”
ในใจเสิ่นเวยรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง ลูกหัวเถาฮวา ตอบอย่างสบายอารมณ์ “ไป พวกเราไปเล่นดอกไม้ไฟกัน”
ดอกไม้ไฟโบราณย่อมไม่งดงามละลานตาเท่ายุคปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เถาฮวาก็ยังคงดีใจอย่างถึงที่สุด ตบมือยิ้มแย้ม รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์และงดงาม
เสิ่นเวยเองก็กำลังยิ้ม นางเงยหน้ามองดอกไม้ไฟที่ปะทุออกบนท้องฟ้า นึกถึงอีกมิติหนึ่งที่ไกลแสนไกล แม่ของนางจะสบายดีหรือไม่ คิดถึงนางเหมือนกับนางหรือไม่
ตอนที่สวีโย่วออกมาก็มองเห็นเด็กน้อยของเขาอมยิ้มมองท้องฟ้าในยามราตรีพอดี ท่าทางที่มีเพียงหนึ่งในใต้หล้าราวกับจะบินหนีไปเช่นนั้นทำให้ในใจสวีโย่วบีบแน่นอย่างไม่รู้ตัว เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปจับไหล่ของนางไว้ หัวใจก็สงบลง
“กลางคืนหนาว ไม่รู้จักใส่เสื้อเพิ่ม” เขาคลุมเสื้อคลุมลงบนร่างเสิ่นเวย นิ้วมือที่เรียวยาวช่วยนางผูกเชือกอย่างตั้งใจ
เสิ่นเวยเงยหน้าขึ้น กระทั่งมองเห็นขนตาของเขาได้อย่างชัดเจน ความอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บในใจนาง หัวใจที่สงบนิ่งก็บังเกิดคลื่นซัดสาด เสิ่นเวยคิด บางทีชายผู้นี้อาจจะอยู่ร่วมกับนางไปได้ตลอดชีวิต
ทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ท่าทางหมาะสมเช่นนั้น ชวนให้คนอิจฉา ชวีไห่กับหมอหลิวที่ออกมาเดินให้สร่างเมาเห็นคุณหนูของพวกเขากับว่าที่เขยพูดคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ ในแววตาก็เผยรอยยิ้ม คืนนี้เป็นคืนรวมตัว ออกมานานเพียงนี้ ยังคงคิดถึงบ้างเล็กน้อยจริงๆ
กิจกรรมโต้รุ่งส่งท้ายปีเก่าแต่ไหนแต่ไรเสิ่นเวยไม่ชำนาญ เหลือเวลาอีกนานกว่าจะเที่ยงคืนนางก็หาวไม่หยุดแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ศีรษะนั้นก็ผงกเป็นไก่จิกข้าวสารแล้ว
ท่านเสิ่นโหวหัวเราะในใจ เอ่ยปากกล่าว “เจ้าสี่ยังเด็ก เป็นเวลาที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต กลับไปนอนก่อนเถอะ”
เสิ่นเวยประหนึ่งถูกยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขออวยพรปีใหม่ท่านปู่ก่อน ขอให้เป็นปีที่ดี มีเรื่องดีตลอดปี”
ท่านเสิ่นโหวดีใจในใจ แต่ปากกลับโมโห “ไม่แก่สิถึงแปลก” เด็กคนนี้ก็คือต้นเหตุนั่นเอง
เสิ่นเวยทำหน้าทะเล้น ประสานมือคารวะกลุ่มคนหนึ่งกลุ่มที่อยู่โต้รุ่งในห้อง “ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน” เดินไปถึงหน้าประตูก็หันหน้ากลับมา “ท่านปู่ พรุ่งนี้เช้าจะมาเอาซองแดงที่ท่าน ท่านอย่าลืมล่ะ อย่าลืมให้เยอะๆ ด้วย”
“เจ้าสี่นี่” ท่านเสิ่นโหวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนที่เหลือต่างก็ยิ้มน้อยๆ มีลูกหลานที่ปราดเรียวเฉลียวฉลาดทั้งยังมีความสามารถเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ
เสิ่นเวยนอนหลับเต็มอิ่ม เช้าวันที่สองก็กระโดดโลดเต้นไปรับซองแดง ได้มาเยอะอย่างยิ่ง คล้ายเยอะกว่าที่ผู้ใหญ่ทั้งหมดเคยให้นางเสียอีก แม้แต่สวีโย่วชายคนนั้นยังให้ตนหนึ่งซอง ซองแดงแบนๆ เบาๆ เมื่อเปิดดู กลับเป็นตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง
เสิ่นเวยตกใจก่อน หมอนี่มีเงินขนาดนี้เลยหรือ พกตั๋วเงินมูลค่ามากติดตัว เหตุใดนางถึงไม่เคยสังเกตเห็นเล่า หลังจากนั้นก็ดีใจ ยิ่งตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะเอาทรัพย์สินส่วนตัวของสวีโย่วมาไว้ในมือให้จงได้
ผ่านวันที่ห้าไปพวกเขาก็ควรเดินทางกลับเมืองหลวงได้แล้ว เสิ่นเวย สวีโย่ว แม่ทัพอู่เลี่ยและหย่งติ้งโหวย่อมต้องกลับไป ท่านเสิ่นโหวที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สูงที่สุดที่ปกครองซีเจียงก็ต้องกลับไปเช่นกัน ทว่าเสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงกลับอยู่ต่อ
ปีก่อนท่านเสิ่นโหวยื่นฏีกาแล้ว บอกว่าอายุมากแล้ว อยากเกษียณกลับเมืองหลวง หลานชายคนโตก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถแบ่งเบาภาระเขาได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ขุนนางสองคนจึงรู้กันในใจ เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงเดิมก็มีคุณูปการอยู่แล้ว หนีไม่พ้นขุนนางลำดับที่หก บวกกับท่านเสิ่นโหวเกษียณแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเสิ่นเชียนคาดว่ายังเลื่อนขั้นได้อีก สำหรับหร่วนเหิง เห็นแก่ญาติผู้น้องของเขาก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้นราชสำนักยังติดหนี้จวนแม่ทพใหญ่อยู่อีกด้วย
แม้ว่าตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการจะยังไม่ได้กำหนด แต่ในใจทุกคนก็รู้ดี เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงอยู่รอตำแหน่งขุนนางที่ซีเจียงก่อน ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่ซีเจียง มีความสามารถแล้วค่อยกลับเมืองหลวงแสดงความปรารถนามุ่งมาด
ขามาเสิ่นเวยนำคนมาสี่ร้อยกว่าคน ขามาตอนแรกทุกคนต่างก็วิ่งเต้นสร้างคุณูปการเริ่มต้นอาชีพ ตอนนี้ถึงเวลากลับแล้ว เสิ่นเวยย่อมให้พวกเขามีสิทธิ์เลือกเต็มที่ จะกลับหรือจะอยู่ต่อให้ตัดสินใจเอาเอง อยากอยู่ต่อนางก็จะช่วย อยากกลับนางย่อมพากลับ
สิ่งทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือทั้งหมดต่างก็เลือกกลับ ไม่มีใครยอมอยู่แม้แต่คนเดียว คนจำนวนมากในกลุ่มพวกเขาทำศึกห้าวหาญ อาศัยคุณงามความดีก็สามารถเป็นขุนนางระดับเล็กได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเลือกกลับ จะไม่ให้นางตกใจและซึ้งใจได้อย่างไร
ทุกคนบอกแล้วว่า สนามรบพวกเขาก็ผ่านมาแล้ว ทหารซีเหลียงก็ฆ่ามาไม่น้อยเช่นกัน พวกเขามีประสบการณ์เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาอยากสร้างคุณปการเริ่มต้นอาชีพก็เพียงเพื่อมีชีวิตที่ดี ติดตามคุณหนูก็เป็นชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว ไยจะต้องหอบข้าวของออกจากบ้านวิ่งไปไกลถึงซีเจียงด้วยเล่า
นอกจากนี้ที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดจากสนามรบได้อย่างปลอดภัยก็เป็นเพราะการปกป้องของคุณหนู คุณหนูไม่อยู่ซีเจียง แม้พวกเขาจะอยู่ต่อ จิตใจก็จะกระวนกระวาย ไม่สู้ติดตามคุณหนูกลับไปดีกว่า
กองทหารเด็กฝึกฝนต่อ โอวหยางไน่ยืนกรานจะไป เสิ่นเวยจึงทำได้เพียงทิ้งทหารลับหลายคนไว้ ทว่าหลี่จื้อกลับโวยวายจะตามนางไปด้วย เขาบอกว่าตั้งแต่ที่นางช่วยชีวิตน้องชายน้องสาวเขา นางก็เป็นเจ้านายของเขาแล้ว เจ้านายอยู่ไหน เขาย่อมต้องติดตามไปที่นั่น
นี่ไม่ใช่ก่อความวุ่นวายหรือ เสิ่นเวยพูดเกลี้ยกล่อมโน้มนาวอยู่นานก็ไม่อาจทำให้หลี่จื้อเปลี่ยนใจได้ ท้ายที่สุดนางก็ใช้ไม้ตาย “เจ้ายังมีความสามารถไม่พอ ติดตามข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่ฝึกฝนที่จวนโหวต่อดีกว่า”
หลี่จื้อจึงเลิกยืนกรานจะติดตามนางกลับเมืองหลวง แต่ก็เอ่ยเงื่อนไขว่า ให้น้องชายน้องสาวของเขาตามไปปรนนิบัติข้างกายนายท่านก่อน เมื่อเขาร่ำเรียนจนมีฝีมือแล้วจะไปรับใช้ทันที