ตอนที่เสิ่นเวยและคนทั้งสองเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองของสายตาหลายสาย คุณหนูน้อยไม่รู้จักเขินอายประหม่า นางรู้จักแต่ทำหน้าดุถลึงตากลับไปอย่างโหดเ**้ยม “มองอะไร ถ้ายังไม่หยุดมองข้าจะควักลูกตาเจ้า”
แม้คนจำนวนมากจะรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้มีนิสัยไม่รับแขก แต่เห็นนางหน้าตาสะสวย แม้ว่าจะพูดจาข่มขู่โหดร้ายก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ถูกที่บ้านตามใจจนเสียคน เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างมีภูมิหลัง ใครจะหาเรื่องนาง
ทว่าโต๊ะริมราวกั้นชั้นสองข้างๆ กลับไม่อยู่นิ่ง เย้าแหย่หนึ่งประโยค “แม่นางที่ไหนกำเริบเสิบสานยิ่งนัก มาดื่มสุรากับข้าสักแก้วแล้วข้าจะควักลูกตาให้เจ้า”
เสิ่นเวยหน้าตึงทันที ชักกระบี่ล้ำค่าที่เอวออกมากำลังจะวิ่งไปคิดบัญชีที่ชั้นสอง ถูกเสี่ยวตี๋กอดเอวนางไว้อย่างสุดชีวิต “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าได้ลงมือเด็ดขาด ท่านลืมแล้วหรือว่าครั้งก่อนท่านกรีดหน้าคุณหนูสามหมู่บ้านวั่นเหมยจนนายท่านลงโทษกักบริเวณท่านครึ่งปี หากท่านก่อเรื่องข้างนอกอีกนายท่านกับคุณชายคงจะไม่ให้ท่านออกจากบ้านอีกแล้วนะเจ้าคะ”
อะไรนะ กรีดหน้าผู้หญิงงั้นหรือ แล้วยังกักบริเวณเพียงแค่ครึ่งปีก็ปล่อยออกมาแล้ว นี่มันน่ากลัวเพียงใด! ชั่วขณะสายตาที่มองเสิ่นเวยของทุกคนก็เปลี่ยนไป อยากจะอยู่ให้ไกลนางอย่างยิ่ง
“เหอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่ทะเลาะกับเจ้าหรอก ถือว่าไว้ชีวิตสุนัขเช่นเจ้า” เสิ่นเวยแค่นเสียงกล่าวไปยังบริเวณราวกั้นชั้นสอง เดินไปยังโต๊ะต้อนรับภายใต้การดึงของเสี่ยวตี๋
คนที่เอ่ยปากเย้าแหย่เมื่อครู่ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกคนผู้หนึ่งข้างๆ กดมือไว้ “น้องรองอย่าก่อเรื่องเป็นอันขาด!” ทั้งยังบอกเป็นนัยให้เขามองสาวใช้คนนั้น “แม่นางผู้นั้นดูมีภูมิหลัง ไม่เข้าไปยุ่งจะดีที่สุด งานหลักของพวกเราสำคัญกว่า”
คนที่ถูกเรียกว่าน้องรองผู้นั้นมองลงไปข้างล่าง ชั่วขณะหน้าก็เปลี่ยนสี ท่าทางการเดินของสาวใช้ผู้นั้นเป็นยุทธ์มีกำลังภายในชั้นยอด มิน่าเล่าครอบครัวถึงกล้าปล่อยคุณหนูที่เอาแต่ใจเช่นนี้ออกมาท่องยุทธจักร นี่ยังแค่ที่เห็น ใครจะรู้ว่าในที่มืดยังมีคนติดตามมากน้อยเพียงใด
ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่พูดถูก เพียงแค่เด็กน้อยที่นิสัยไม่ดีคนหนึ่ง จะโต้เถียงกับนางไปทำไม งานหลักสำคัญกว่า
“พี่ใหญ่ ท่านว่าหน้าที่ครั้งนี้แปลกหรือไม่ พูดว่าต้องการหาคุณชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง แต่ไม่มีแม้แต่ภาพเหมือน งมเข็มในมาสมุทร พวกเราจะหาอย่างไร” น้องรองกล่าวบ่น
“อย่าพูดเหลวไหล ในเมื่อนายท่านสั่งมาเช่นนี้แล้วแสดงว่าต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ขอเพียงแค่เจอจะต้องรู้ได้แน่นอนว่าเป็นคนนี้ เช่นนั้นคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความพิเศษแน่นอน ให้พวกเราหาก็หาเถอะ จะพูดจาไร้สาระเยอะแยะเพียงนี้ทำไม” คนที่มีท่าทางเป็นพี่ใหญ่ตำหนิเสียงต่ำ
อีกคนหนึ่งก็สั่งเสียงต่ำเช่นกัน “ใช่แล้ว พี่ใหญ่น้องรอง พวกเราก็แค่ตั้งใจหาคุณชายวัยหนุ่มที่หน้าตาโดดเด่นหรือการกระทำโดดเด่นเสียก็พอ”
น้องรองผู้นั้นบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “พวกเราจับตามองที่โรงเตี๊ยมนี้มาสามวันแล้ว ไหนเลยจะเคยเห็นคุณชายวัยหนุ่มที่โดดเด่นอะไรนั่น ไม่ใช่ว่าเบื้องบน…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพี่ใหญ่ผู้นั้นห้ามไว้แล้ว “หุบปาก เจ้าอยากตายหรือไร”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่พูดต่อแล้ว
ทว่ามุมปากของเสิ่นเวยกลับยกขึ้น พวกเจ้าก็หาไปเถอะ ขุดดินสามฉื่อพวกเจ้าก็หาคุณชายวัยหนุ่มที่ว่าไม่เจอหรอก คอยดูสิว่าข้าจะไปถึงเมืองหลวงต่อหน้าพวกเจ้าอย่างราบรื่นได้อย่างไร
เสิ่นเวยตั้งใจเลือกที่นั่งซึ่งไม่ห่างจากสามคนนั้นมาก ชายตามองพวกเขาอย่างยั่วยุปราดหนึ่ง เมื่ออาหารมาส่งแล้ว เสิ่นเวยก็เรื่องมากอยู่นานกว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ กินไปพลาง ซ้ำยังบ่นนั่นบ่นนี่ไปพลาง
ด้วยเหตุนี้ คนที่กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็รู้แล้วว่าคุณหนูเอาแต่ใจผู้นี้ออกเดินทางเพื่อจะตามหาคู่หมั้น ข้างกายคู่หมั้นของนางคล้ายยังมีสตรีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ในใจทุกคนก็จินตนาการถึงฉากผู้หญิงสองคนแย่งชิงสามีกัน เอ่ยในใจว่า หากตนเป็นคู่หมั้นชายผู้นั้นก็คงจะรับคู่หมั้นหญิงที่เอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้ วิ่งหนีไปเหมือนกัน
แสดงละครก็ต้องแสดงให้สมบทบาท เสิ่นเวยขอห้องใหญ่เพียงแค่ห้องเดียว เสี่ยวตี๋กับเถาฮวาย่อมไม่มีห้องส่วนตัว บ่าวรับใช้ข้างกายคุณหนูน้อยไม่รับใช้นายท่านยังคิดจะนอนหลับเต็มอิ่มได้อีกหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร
เสิ่นเวยนอนลงบนเตียง เสี่ยวตี๋เปิดประตูห้องมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังทันที ไม่พบอะไรผิดปกติจึงปิดประตูถอยกลับมา
“ไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นหรอก บอกเจ้าแล้วว่าไม่มีอะไร” เสิ่นเวยผงกหัวขึ้นมาจากเตียง
เสี่ยวตี๋ยิ้มไม่พูด เป็นทหารลับ การระมัดระวังเป็นความเคยชินที่ฝังลึกถึงกระดูกแล้ว
เสิ่นเวยหาวกล่าว “ไปบอกเสี่ยวเอ้อร์[1]ว่าขอผ้าห่มอีกสองชุด เถาฮวานอนเบียดกับข้าบนเตียง เสี่ยวตี๋เจ้าก็นอนบนโต๊ะแก้ขัดไปก่อนหนึ่งคืนแล้วกัน” นางเองก็อยากให้เสี่ยวเอ้อร์นอนบนเตียงด้วยอย่างยิ่ง แต่เตียงโรงเตี๊ยมแคบเกินไป และเถาฮวาก็ตัวเล็ก ไม่กินที่ มิเช่นนั้นก็คงจะเบียดไม่ได้จริงๆ
ตอนที่เสี่ยวตี๋ออกไปขอผ้าห่ม ก็ถูกทุกคนมองด้วยความเห็นใจ อากาศหนาวเหน็บ แม้แต่เตียงยังไม่ให้นอน ติดตามเจ้านายเช่นนี้สาวใช้คนนี้คงจะโชคร้ายไปแปดชั่วโคตรจริงๆ
มีข้ออ้างตามหาคู่หมั้นนี้แล้ว การเดินทางที่เร่งรัดของเสิ่นเวยก็ไม่ดึงดูดความสนใจของใครเลยแม้แต่นิดเดียว ที่น่าสนใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าตลอดการเดินทางนี้เสิ่นเวยบังเอิญเจอสามคนนั้นที่โรงเตี๊ยมหรูอี้ถึงสี่ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจอสองครั้งในหนึ่งวัน
เสิ่นเวยกลับไปถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้กลับจวนจงอู่โหวทันที แล้วก็ไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าวัง แม้ว่าในมือนางจะมีป้ายคำสั่งที่สวีโย่วให้นาง นางนั่งอยู่ในโรงน้ำชาตรงข้ามพระราชวังทั้งวัน ตอนที่ราตรีย่างกรายมาถึงจึงไปหาคนติดต่อตามวิธีที่สวีโย่วบอกนาง
เร็วอย่างยิ่งในวังก็มีข่าวมา คนที่มานำนางเข้าวังคือขันทีอ้วนๆ คนหนึ่ง เขายังนำชุดขันทีน้อยมาให้นางด้วยหนึ่งชุด เสิ่นเวนกระตุกมุมปาก แต่ก็ยังคงสวมอย่างเชื่อฟัง
“คุณชายสี่ไม่ต้องกลัว อาจารย์ของพวกเราคือศิษย์ของจางกงกงประจำองค์จักรพรรดิ พวกเราสนิทสนมกับคุณชายใหญ่” ขันทีอ้วนกล่าวกับเสิ่นเวยอย่างเป็นมิตร
เสิ่นเวยพยักหน้ายิ้ม แต่กลับไม่ได้พูดอะไร สวีโย่วชายผู้นั้นก็ไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าพวกเขาสนิทกันหรือไม่ คนที่สามารถคลุกคลีอยู่ในวังได้จะธรรมดาได้อย่างไร
เพราะว่าเป็นกลางคืน เสิ่นเวยเองก็มองทัศนียภาพในพระราชวังไม่ชัดเจน จึงเลียนแบบท่าทางขันทีอ้วน เก็บไหล่ก้มหัวเดินไปข้างหน้า เดินไปนานอย่างยิ่ง ขันทีอ้วนก็พาเสิ่นเวยตรงมาถึงด้านนอกห้องหนังสือส่วนพระองค์ ให้เสิ่นเวยยืนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาเข้าไปรายงาน
“ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าเข้าเฝ้าแล้ว รีบเข้าไปเถอะ” ไม่นานนักขันทีอ้วนก็ออกมา
เสิ่นเวยตามหลังเขาก้าวเข้าไปในห้องหนังสือส่วนพระองค์ ไม่เงยหน้าขึ้นก็คุกเข่าลงบนพื้น “หม่อมฉันบุตรสาวคนที่สี่แซ่เสิ่นถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” นางทำความเคารพแบบกองทัพ
เห็นคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่บอบบางร่างผอมแต่หลังตรงอย่างยิ่งผู้นี้ ในใจจักรพรรดิยงเซวียนก็สะเทือนใจเล็กน้อย คุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่แสดงอานุภาพน่าเกรงขามที่ซีเจียงมีรูปร่างเปราะบางเช่นนี้ ก็ใช่ เป็นสตรีนี่นา หากรูปร่างสูงใหญ่ก็จะไม่งาม แต่ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้กลับหน้าตาดีอย่างยิ่ง มิน่าเล่าอาโย่วถึงชอบใจ
“ลุกขึ้นพูดเถอะ” จักรพรรดิยงเซวียนนึกได้ว่านี่คือว่าที่หลานสะใภ้ของตน สีพระพักตร์ก็เป็นมิตรขึ้นสามส่วน “เจ้าเข้าวังมาพบเราคนเดียว หรือว่าจงอู่โหวและพวกเขา…” ทรงใช้สายพระเนตรไต่ถามนาง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสิ่นเวยลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ล้วงจดหมายลับออกมาจากในอกแล้วยื่นให้ด้วยความเคารพนบนอบ “ทูลฝ่าบาท บนถนนสาย 4724 เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่โชคดีที่เสียหายไม่หนักมาก รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในจดหมายลับ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”
ขันทีใหญ่จางเฉวียนรับจดหมายเข้ามาแล้วส่งไปถึงพระหัตถ์ของจักรพรรดิยงเซวียน จักรพรรดิยงเซวียนทอดพระเนตรมองจดหมายลับที่ประทับตราเรียบร้อยปราดหนึ่ง หยิบมีดไม้ไผ่บนโต๊ะมาเปิดจดหมายออก เทจดหมายลับข้างในออกมาอ่าน
“มีอย่างนี้ที่ไหน คาดไม่ถึงว่ายังมีคนกล้าเช่นนี้ด้วย” สีพระพักตร์จักรพรรดิยงเซวียนเปลี่ยนไปฉับพลัน ชั่วขณะก็ตบจดหมายลับลงบนโต๊ะ
เสิ่นเวยก้มหน้าไม่พูดจา ฝ่าบาทจะบันดาลโทสะย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หน้าที่ของนางคือส่งจดหมายลับให้ถึงมือจักรพรรดิยงเซวียนอย่างปลอดภัย ตอนนี้หน้าที่ของนางสำเร็จลุล่วงแล้ว
“แน่ใจหรือว่าเป็นคนในกองทัพ” จู่ๆ เสิ่นเวยก็ได้ยินจักรพรรดิยงเซวียนถามเช่นนี้ นางยังตกตะลึง ในจดหมายลับไม่ได้เขียนไว้หมดแล้วหรือ ยังจะถามนางทำไมอีก
แต่เสิ่นเวยก็ยังคงตอบอย่างซื่อสัตย์ “ทูลฝ่าบาท อาวุธที่พวกเขาใช้คือหน้าไม้ คุณชายใหญ่บอกว่ามีเพียงกองทัพจึงจะมีหน้าไม้ได้ อีกทั้งท่านปู่และหย่งติ้งโหวก็มองออกว่าลูกธนูที่พวกเขาใช้สั่งทำในกองทัพเพคะ”
จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์ พระองค์ไม่ได้ตรัสถามต่อ ทว่าดวงพระเนตรกลับมีแสงเย็นเยียบแวบผ่าน ซีเจียงเพิ่งจะคว้าชัยชนะยิ่งใหญ่ ฝั่งพระองค์เพิ่งจะเรียกเสิ่นผิงยวนเข้าเมืองหลวง ระหว่างทางฝั่งนั้นก็เกิดเรื่อง คนที่ใช้ยังเป็นคนในกองทัพ นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าพระองค์หรอกหรือ
เหอะ หลบราวกับหนูมาสิบกว่าปี ยังคิดว่าเขาจะยังหลบต่อไปได้เสียอีก ไม่นึกว่าจะโผล่หัวมาตอนนี้ ยั่วยุกันงั้นหรือ
เหอะ สิบกว่าปีก่อนเรายังไม่กลัวเจ้า ตอนนี้เรามีอำนาจใหญ่อยู่ในมือ ย่อมต้องยิ่งไม่กลัวเจ้าแล้ว
ความคิดของจักรพรรดิยงเซวียนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
“คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” จักรพรรดิยงเซวียนเก็บความโกรธบนพระพักตร์ลง คล้ายคนที่ตบโต๊ะเมื่อครู่ไม่ใช่เขา นี่ทำให้เสิ่นเวยชื่นชมอย่างอดไม่ได้
สีหน้าของจักรพรรดิยงเซวียนไม่เหมือนเสแสร้ง เสิ่นเวยกล่าวในใจ ดูไม่ออกว่าฝ่าบาทยังคงเป็นห่วงสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นอย่างยิ่ง อืม เป็นห่วงก็ดี อย่างน้อยตอนนี้นางก็สามารถอาศัยบารมีได้ “ทูลฝ่าบาท คุณชายใหญ่สบายดีเพคะ เจียงเฮยเจียงไป๋ข้างกายเขามีความสามารถ คุ้มกันคุณชายใหญ่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว”
“เช่นนั้นก็ดี แต่ไหนแต่ไรร่างกายเขาก็ไม่ค่อยดี มิเช่นนั้นคงไม่ต้องอยู่บนเขาเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนี้มีเจ้าดูแลเขา ข้าก็วางใจแล้ว “ จักรพรรดิยงเซวียนอัธยาศัยดีราวกับผู้อาวุโสที่อ่อนโยน
แต่เสิ่นเวยกลับไม่กล้าคิดว่าตัวเองเป็นชนรุ่นหลัง ยังคงกล่าวอย่างเคารพนบนอบ “เพคะ หม่อมฉันจะพยายามสุดความสามารถ” สำหรับจะพยายามหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้ยังต้องแสดงท่าทีดีๆ อยู่
จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย ตรัสต่อ “เจ้าเล่าเรื่องที่ผ่านมาอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง”
เสิ่นเวยปฏิบัติตามคำสั่ง เล่าตั้งแต่คนชุดดำหมอบซุ่มไปจนถึงคนชุดเทาในตอนหลัง หลังจากนั้นก็เล่าถึงกองกำลังหนุนของนายอำเภอเมืองหย่งเหอ ทั้งยังพูดถึงเยี่ยจ้งหมิ่นในแง่ดีอีกหลายประโยค จากมุมมองของเสิ่นเวย เยี่ยจ้งหมิ่นจะต้องเป็นขุนนางที่ค่อนข้างมีความสามารถแน่นอน
จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์อีกครั้ง จากนั้นจึงบอกให้เสิ่นเวยออกไป
[1] เสี่ยวเอ้อร์ คำเรียกบริกรในโรงเตี๊ยม