“โชคร้ายอะไรกัน ท่านให้พี่ชายผู้นี้ตัดสินสิ เห็นชัดๆ ว่าข้าช่วยท่านออกมาจากรังโจรด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี” เสิ่นเวยตะโกนอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็สาธยายเล่าเรื่องที่พวกเขาเจอกัน
“ชีวิตทั้งหมดเลยหรือ” เจียงเฉินปรายตามองเสิ่นเวย เจ้าเด็กนิสัยเสียอายุน้อยกว่าข้าตั้งกี่ปี เจ้าใช้ชีวิตทั้งหมดที่มี เช่นนั้นข้าจะเป็นอะไรเล่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะเข้าไปในรังโจรได้หรือ ลูกน้องของข้าช่วยข้าออกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าแหกปากร้องไห้ดึงดูดโจรทั้งหมดมาหรือไร”
เจียงเฉินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเสิ่นเวย เสิ่นเวยฉุนเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่ปากกลับกล่าวอย่างยืนกราน “ไม่ต้องสนใจว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วข้าก็ลากท่านวิ่งออกมาไม่ใช่หรือ พวกเราไม่มีใครเป็นอะไรไม่ใช่หรือ ท่านก็แล้งน้ำใจเกินไปจริงๆ อย่างไรเสียข้าเองก็ช่วยท่านไว้ พ่อข้าส่งคนมาจับข้ากลับบ้านท่านไม่เพียงแต่ไม่ช่วย ยังซ้ำเติมทิ้งข้าหนีไปอีก เหอะ!” เสิ่นเวยประณามด้วยความโกรธแค้น
“เจ้ากับข้าไม่ใช่ญาติไม่ใช่ศัตรู มีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้พ่อเจ้าพาเจ้ากลับบ้าน” เจียงเฉินสุขุมมั่นคง “จะว่าไปแล้วเหตุใดตอนนี้พ่อเจ้าถึงปล่อยเจ้าออกมาแล้วเล่า ไม่ใช่ว่าหนีออกจากบ้านอีกแล้วนะ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นเวยก็ห่อเ**่ยวในชั่วขณะ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อข้าคิดอะไร บรรพบุรุษหลายต่อหลายรุ่นทำแต่ค้าขาย มีสิทธิ์อะไรมาบังคับให้ข้าเรียนหนังสือสอบสร้างตำแหน่งชื่อเสียงให้ได้ ข้าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่สิ่งที่ข้าชอบคือการค้าขายสร้างกำไร ใครจะมาทนอ่านหนังสืออะไรนั่น ท่านไม่รู้ สองปีก่อนหลังข้าถูกจับกลับไป พ่อข้าก็ส่งเด็กรับใช้มาให้ข้าแปดคน คุมข้าอ่านหนังสือโดยเฉพาะ แม้แต่เข้าห้องน้ำยังต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างนอก ชีวิตลำบากยิ่งนัก!” เสิ่นเวยร้องทุกข์ขึ้นมา
“หึๆ ยังดีที่ข้าฉลาด ข้าบอกพ่อข้าแล้ว การเรียนการสอนในเมืองหลวงเข้มข้นที่สุด ปราชญ์ชื่อดังก็เยอะ ดังนั้นพ่อข้าจึงอนุญาตให้ข้ามาเรียนในเมืองหลวง แต่ว่าเขาเองก็เจ้าเล่ห์จริงๆ คนที่มาเมืองหลวงกับข้าล้วนแต่เป็นคนสนิทของเขาหมดเลย เฮ้อ เห็นหรือไม่ คนนี้ก็ใช่เหมือนกัน” เสิ่นเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ชายตามองเสี่ยวตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง กล่าวอย่างเคียดแค้น
เสี่ยวตี๋รู้ว่าตนควรออกโรงแล้วจึงตีหน้าเศร้า “คุณชายขอรับ ท่านก็อย่าทำให้ผู้น้อยลำบากใจเลย นายท่านหวังดีต่อท่าน” จากนั้นก็มองเจียงเฉิน ไหว้วานเขาไม่หยุด “คุณชายเจียง ท่านเป็นสหายรักของคุณชายพวกข้า ต้องโน้มน้าวเขาให้ได้นะขอรับ”
เสิ่นเวยถลึงตาใส่เสี่ยวตี๋ ดวงตากะพริบวาบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่เจียงเฉิน พี่ชายผู้นี้คือใครหรือ แนะนำหน่อยสิ” เสิ่นเวยสะกิดเจียงเฉินเล็กน้อย ท่าทางสนิทสนม
เจียงเฉินกระตุกมุมปาก กล่าว “ผู้นี้คือสหายที่สำนักราชบัณฑิตของข้า แซ่เซี่ย เป็นผู้ได้รับคัดเลือกพร้อมกันกับข้า”
เสิ่นเวยแสดงความหน้าหนาของนางออกมาทันที “พี่แท้แล้วก็เป็นพี่เซี่ยนี่เอง! น้องแซ่จิน ชื่อจิน
โหย่วเฉียน พ่อข้าชื่อจินฟู่กุ้ย ครอบครัวทำการค้าขาย เลื่อมใสมานานแล้ว เลื่อมใสมานานแล้ว” เสิ่นเวยแสร้งประสานมือคารวะ
เจียงเฉินแทบจะพ่นชาออกมา มีจินโหย่วเฉียนก็พอแล้ว ยังมีจินฟู่กุ้ย (ร่ำรวย) ออกมาอีก ใต้เท้าเสิ่นรู้หรือไม่
ทว่าเสิ่นเวยกลับถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ทำไม ดูถูกชื่อพวกข้าสองพ่อลูกหรือ เจ้าอย่าเห็นว่าชื่อนี้ไร้รสนิยม นี่เป็นชื่อที่ผ่านการคำนวณของพระอาจารย์ชื่อดัง ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้ เพราะว่ามีชื่อพวกข้าสองพ่อลูก การค้าขายในครอบครัวจึงราบรื่นเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าปู่ข้าชื่ออะไร ชื่อจินอิ๋น! (เงินทอง) ตอนนี้ครอบครัวพวกข้าก็มีเงินทองไหลมาเทมาทุกวันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยภูมิอกภูมิใจ
คราวนี้แม้แต่คุณชายแซ่เซี่ยก็แทบจะพ่นชาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน คุณชายน้อยผู้นี้น่าสนใจจริงๆ
เขาหัวเราะช้าๆ ท่าทางสง่างามอย่างถึงที่สุด กล่าวด้วยความเป็นมิตร “ข้าน้อยแซ่เซี่ย ชื่อเฟย เป็นสหายของพี่เจียง เพื่อนของพี่เจียงก็คือเพื่อนของข้าน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายจินก็เป็นชายหนุ่มรูปงามมีอารมณ์ขันเช่นนี้ ข้าน้อยก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับคุณชายจินเสียแล้ว”
จากบทสนทนาของคนทั้งสอง เซี่ยเฟยก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่สองคนนี้พบกันได้แล้ว อีกทั้งยังมองออกว่าคุณชายน้อยแซ่จินผู้นี้ก็คือคนที่ไม่หวาดระแวง นึกถึงเจียงเฉินที่เคยถูกพัวพันกับรังโจร เขาก็ร้องห่มร้องไห้แทน แต่เขาไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องที่เสิ่นเวยและเจียงเฉินแต่งขึ้นมาตามสถานการณ์
เสิ่นเวยเห็นเซี่ยเฟยผู้นี้มีท่าทีเป็นมิตรเช่นนั้นก็เปิดปากยิ้มซื่อๆ อย่างอดไม่ได้ แต่จู่ๆ กลับได้ยินเซี่ยเฟยกล่าวต่อ “ข้าน้อยเพิ่งเคยพบคุณชายจินครั้งแรก คุณชายจินเลื่อมใสอะไรหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเสิ่นเวยหยุดชะงักในชั่วขณะ เกาศีรษะกล่าวอย่างเขินอาย “เอ่อ เอ่อ เวลาปัญญาชนเช่นพวกเราพบปะผู้คนก็ชอบพูดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ” ทันใดนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเองกล่าว “ไม่ปิดบังพี่เซี่ย ข้าน่ะ ตั้งแต่เล็กก็ชอบทำการค้า ชอบนับเงินในคลังที่สุด แม้ว่าจะถูกพ่อข้าบังคับให้อ่านหนังสือมาหลายปี อันที่จริงความรู้ในสมองก็ยังมีไม่เยอะ ยังหวังว่าพี่เซี่ยจะให้อภัย” สีหน้าจริงใจ แต่ในใจกลับกำลังกัดฟันกรอด คนแซ่เซี่ยผู้นี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี! เจียงเฉินก็เหมือนกัน เป็นเพื่อนอะไรกัน นี่ทำให้นางพาลใส่แม้แต่เจียงเฉินแล้ว
ทว่ามุมปากของเซี่ยเฟยกลับยังคงอมยิ้ม กล่าว “ล้อคุณชายจินเล่นเท่านั้นเอง ขออภัย ขออภัย! อันที่จริงข้าก็ชอบคนจริงใจอย่างคุณชายจินที่สุด”
“จริงหรือ” เสิ่นเวยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ยิ้มอย่างใสซื่อจริงใจยิ่งขึ้น เจียงเฉินเห็นแล้วมุมปากก็กระตุกทันที หากเด็กนิสัยเสียคนนี้จริงใจ เช่นนั้นบนโลกนี้ก็ไม่มีคนเจ้าเล่ห์แล้ว
บทสนทนาต่อมาก็กลมกลืนยิ่งขึ้นแล้ว หลักๆ เป็นบทสนทนาของเสิ่นเวยกับเซี่ยเฟย เจียงเฉินเพียงแค่นั่งมองพวกเขาพูดคุยหัวเราะอยู่ข้างๆ
ทั้งสองคนคนหนึ่งพูดจาตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย พูดจนทำให้คนสำลักตายด้วยท่าทางจริงใจ อีกคนหนึ่งพูดจาสบายๆ ท่าทางสูงสง่า ราวกับฟังเจตนาแฝงนัยไม่ออกอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังพยักหน้าคล้อยตามด้วยความเห็นด้วยอย่างมาก
เหงื่อของเจียงเฉินและเสี่ยวตี๋ไหลออกมาแล้ว เสี่ยวตี๋คิดในใจ โชคดีที่ไม่พาเถาฮวาออกมา มิเช่นนั้นด้วยท่าทางโง่เขลาของนางจะต้องเปิดเผยตัวตนของคุณหนูแน่นอน
ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เซี่ยเฟยก็กล่าวลา เสิ่นเวยยังแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ทั้งใบหน้า “พี่ใหญ่เซี่ย ครั้งหน้าหากมีโอกาสพวกเรามารวมตัวกันอีก” ครั้งนี้ เสิ่นเวยถือเป็นพี่น้องกับเซี่ยเฟยได้สำเร็จแล้ว
เสิ่นเวยมองเซี่ยเฟยลงบันได เห็นเขาขึ้นรถม้าหนึ่งคันข้างถนน ดวงตาหรี่ลงในชั่วขณะ นางมองเจียงเฉินปราดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เจียงเฉินรู้ทัน รีบกล่าว “เชิญมาไม่สู้บังเอิญเจอ คุณชายใหญ่ไปเยี่ยมจวนข้าน้อยสักหน่อยเถอะ” เสิ่นเวยตอบตกลงอย่างยินดี
แม้เจียงเฉินจะอยู่ในสำนักราชบัณฑิตหลวง แต่ก็ไม่ใช่บัณฑิตหลวงยาจกจริงๆ หมอนี่มีเงิน ดูจากที่เขาอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่แบ่งเป็นสามส่วนก็รู้แล้ว ศาลาหอสูง ภูเขาจำลองศาลาริมน้ำ ใช้ความคิดมากมายในการจัดวาง
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือเสิ่นเวยก็ครองเก้าอี้ไม้ใหญ่ๆ ตัวนั้นโดยพลการ ร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ “เจียงเฉิน เหตุใดท่านถึงไม่แต่งงาน บ้านใหญ่ขนาดนี้เงียบเหงายิ่งนัก!” หมอนี้ก็อายุเกินยี่สิบแล้ว หน้าตาก็ดี ตัวเขาเองก็เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง เมืองหลวงนิยมหาเขยหน้าป้ายรายชื่อผู้สอบติดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เอาเขาไปเป็นเขยบ้างเล่า
เจียงเฉินมองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง ถอนใจในใจ เด็กคนนี้แสดงสมจริงยิ่งนัก เมื่อครู่ยังเรียกพี่เจียงเฉินไม่หยุดปาก สนิทกันสุดๆ ตอนนี้อ้าปากก็เรียกเจียงเฉินแล้ว
“ผลงานยังไม่สร้าง มีครอบครัวได้ด้วยหรือ” เจียงเฉินกล่าวช้าๆ
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ เป็นราชบัณฑิตแล้วยังไม่สร้างผลงานอีกหรือ เช่นนั้นก็ต้องเข้าคณะเสนาบดีปกครองเมืองหลักเมืองรองจึงจะถือว่าสร้างผลงานแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ยังคงต้องรอ เสิ่นเวยรู้สึกว่าเจียงเฉินไม่ได้พูดความจริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับนาง
“เซี่ยเฟยผู้นั้นมีภูมิหลังอย่างไร” เสิ่นเวยถามปัญหาที่นางเป็นกังวล
เจียงเฉินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “น่าจะไม่ต่างจากข้ามากกระมัง ฐานะครอบครัวไม่ต่างกัน ความรู้ก็ไม่ต่างกัน ปฏิบัติตามกฎระเบียบในสำนักราชบัณฑิต คบค้าสมาคมไม่เยอะ ทำไม เขามีอะไรไม่ดีอีกแล้วหรือ”
เสิ่นเวยฟังแล้วก็ส่ายหน้า “บางทีข้าอาจจะคิดมากไป เพียงแต่เซี่ยเฟยผู้นี้จะต้องเป็นคนฝึกยุทธ์แน่นอน” สีหน้าบนใบหน้านางเคร่งขรึมเล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่เขาขึ้นรถเผยให้เห็นความจริงว่าเขาเป็นยุทธ์ เสิ่นเวยมักจะรู้สึกคุ้นตา คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อคิดดูให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก
ทว่าเจียงเฉินกลับเผยท่าทีสงสัย “ไม่น่าจะใช่ เดือนก่อนเขาเดินไม่ระวัง ตกลงบันไดลงมา พักรักษาอยู่ครึ่งเดือนกว่าจะหายดี” หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จะหกล้มได้อย่างไร
“ใครจะสนว่าเขาเป็นหรือไม่ อย่างไรเสียท่านระวังตัวหน่อยก็ดี” เป็นเพียงเพื่อนร่วมงาม คนที่แทบไม่มีความสัมพันธ์เลย ใครจะว่างไปใส่ใจว่าเขาจะเป็นยุทธ์หรือไม่
“ครอบครัวท่านเป็นอย่างไรบ้าง ปู่ท่านเจ้าระเบียบหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวถาม
บนใบหน้าของเจียงเฉินมีรอยยิ้มเหยียดหยาม “จะเป็นอะไรไปได้อีก ย่อมต้องตอแยข้าน่ะสิ แม่ผู้นั้นของข้าวางแผนร้ายกับท่านลุง เอาแต่พูดว่าลูกผู้น้องคือภรรยาที่ยังไม่เข้าเรือนของข้า ถูกท่านปู่ห้ามไว้ ลุงผู้นั้นของข้าก็ยังมาหาเรื่องถึงบ้าน เป็นปู่ข้าที่ออกหน้าไล่ออกไป หลังกลับไปแล้วก็กักบริเวณแม่ข้า เขากลับหวังว่าเขาไปแล้วข้าจะเป็นหัวหน้าตระกูลได้ ข้าไม่รับ ตอนนี้การค้าในครอบครัวมีพี่รองจัดการ” พี่ใหญ่กลายเป็นคนพิการแล้ว ท่านปู่เป็นห่วงเขา ย่อมต้องพยายามเลี้ยงดูคนในบ้านพวกเขา พี่รองไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดหรอกหรือ
เสิ่นเวยไม่ได้พูดต่อ แต่ละบ้านต่างก็มีปัญหาของตัวเอง เรื่องในจวนโหวก็ไม่น้อย และด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อยากกลับไป หากสามารถอยู่ที่บ้านพักไปได้ตลอดก็คงจะดี
ต่อมาเสิ่นเวยก็เล่าเรื่องตอนที่นางอยู่เมืองชายแดนซีเจียงอย่างง่ายๆ ไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอการโจมตีระหว่างทางกลับ เจียงเฉินเองก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดนางถึงกลับมาก่อน เขาคิดในใจ นางไม่พูดเช่นนั้นก็จะต้องเป็นเรื่องที่เขารู้ไม่ได้แน่นอน
นางอยู่ในจวนเจียงเฉินถึงบ่ายแก่ กระทั่งพระอาทิตย์ตกดินเสิ่นเวยจึงขอตัวออกมา ตอนที่ผ่านหอโคมแดงเสิ่นเวยก็ยังมีแรงกระตุ้นอยากเข้าไปดูอยู่ แต่ว่าคราวนี้ไม่ต้องให้เสี่ยวตี๋รั้งไว้ นางก็ละทิ้งเองแล้ว เมืองหลวงมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ นางไม่อยากยั่วยุใครหรือก่อเรื่องใดๆ อีก
ขณะที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้าต่อ จู่ๆ เสิ่นเวยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือสั้นๆ หนึ่งครา หลังจากนั้นก็มีเสียงของบางอย่างล้ม ยังมีเสียงหัวเราะอนาจารดังขึ้นหลายครา
การตอบสนองของเสี่ยวตี๋เร็วอย่างยิ่ง หยุดรถม้าไว้ข้างๆ ทันที
ที่นี่เป็นตรอกยาวๆ หนึ่งสาย เป็นถนนที่เสิ่นเวยต้องผ่านขากลับ ตอนนี้ในตรอกจะต้องเกิดเรื่อง แน่นอนว่าไม่อาจวิ่งต่อได้
เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋สบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองคลำทางเดินไปข้างหน้าเงียบๆ