เสิ่นเวยคาดการณ์ว่าท่านปู่ใกล้จะกลับมาแล้ว นางจึงเร่งรีบไปยังวัดต้าเจวี๋ย นางฉวยโอกาสตอนกลางคืนปีนเข้าไปในห้องจากหน้าต่างด้านหลังโดยตรง
ซู่เหนียงที่ปลอมตัวเป็นนางกำลังเตรียมจะพัก จู่ๆ ก็มองเห็นคนผู้หนึ่งปีนเข้ามาจากหน้าต่างด้านหลัง ตกใจจนกรีดร้อง หลีฮวาที่อยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามาทันที
“เฮ้ย ข้าเอง!” เสิ่นเวยเห็นซู่เหนียงคว้ากรรไกรใต้หมอนออกมาแล้ว ในมือหลีฮวาที่วิ่งเข้ามาก็ถือม้านั่งอยู่จึงรีบส่งเสียงบอกเป็นนัย
“คุณหนู!” หลี่ฮวาตกตะลึง ทั้งตกใจทั้งดีใจ ม้านั่งในมือหล่นลงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ในดวงตามีน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
ชั่วขณะเสิ่นเวยรู้สึกอบอุ่นในใจ ยิ้มแล้วกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ร้องไห้ทำไม ข้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือไร” เป็นเด็กโง่จริงๆ เลย
“คุณหนู นั่นท่านจริงๆ หรือ” หลีฮวารีบเช็ดน้ำตา ขยับริมฝีปากพยายามจะยิ้ม แต่น้ำตากลับไหลหนักกว่าเดิม “บ่าว บ่าวดีใจ!” ทุกวันนางนั่งคุกเข่าหน้าพระพุทธรูปเป็นเวลานาน ขอพระคุ้มครองคุณหนูของนางให้กลับมาอย่างปลอดภัย
“พอแล้วๆ ดูเจ้าดีใจเข้า เดี๋ยวเถาฮวาก็ขำเจ้าตายหรอก” เสิ่นเวยยิ้มหยอกล้อ
หลีฮวาประหลาดใจอย่างมาก “เถาฮวาก็มาด้วยหรือ” หลังจากนั้นก็ได้สติกลับมา คุณหนูอยู่ที่ไหน เถาฮวาก็ย่อมต้องอยู่ที่นั่น
เสิ่นเวยบอกเป็นนัยไปทางหน้าต่างด้านหลัง “ไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรือ” จากนั้นก็เห็นเถาฮวาปีนเข้ามาจากหน้าต่างด้านหลังแล้วเช่นกัน เอ่ยปากตะโกนด้วยความดีใจ “พี่หลีฮวา”
นายบ่าวหลายคนพบหน้ากันย่อมต้องดีใจอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยเห็นซู่เหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพก็กล่าว “เจ้าวางใจ เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ไม่ผิดสัญญาแน่นอน ขอเพียงแค่เจ้าปิดปากให้สนิท เงินทองครึ่งชีวิตก็หนีไม่พ้นหรอก”
ซู่เหนียงแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “คุณหนูวางใจ ซู่เหนียงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร” นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “คุณหนูท่านเชิญพักเถอะ เดี๋ยวซู่เหนียงไปนอนเบียดกับพี่เซียงเหมย”
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีเหมือนกัน เจ้าก็ถือโอกาสคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อ ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร ภายในขอบเขตที่เหมาะสมข้าจะพยายามช่วยเจ้าเต็มที่”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” ซู่เหนียงถอยออกไปอย่างเรียบร้อย
เมื่อซู่เหนียงออกไปแล้ว หลีฮวาก็จัดเตียงทันที ของที่ซู่เหนียงเคยใช้ย่อมไม่อาจให้คุณหนูใช้ได้ หลีฮวาปูเครื่องนอนใหม่เอี่ยมทั้งชุดลงบนเตียง จากนั้นก็สั่งให้คนต้มน้ำร้อน ยุ่งตัวเป็นเกลียว
ยังคงเป็นเสิ่นเวยที่ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงจับนางไว้ “พอแล้ว ข้ากินมาแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้ เอาแค่นอนได้ก็พอแล้ว มา เล่าเรื่องของพวกเจ้าในช่วงหลายเดือนมานี้ให้ข้าฟังหน่อย”
หลีฮวาวางของในมือลง เล่าชีวิตในวัดต้าเจวี๋ยหลายเดือนมานี้อย่างไม่หยุดปาก
“คุณหนู หลังจากที่ท่านไป พวกบ่าวก็สวดมนต์ทำจิตใจให้สงบอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ตามคำสั่งของท่าน ข้าวทุกมื้อมีพี่สาวหลายคนผลัดกันไปเอามา บ่าวกับพี่เซียงเหมยต่างก็ออกไปน้อยอย่างยิ่ง ซู่เหนียงผู้นั้นก็ฉลาด อยู่ในห้องคัดคัมภีร์เงียบๆ แม้ว่าจะไปจุดธูปบูชาที่อุโบสถ แต่ก็สวมผ้าคลุมศีรษะมีบ่าวตามไปด้วย ช่วงหลังอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ บ่าวก็ปรึกษากับเจ้าอาวาส สร้างเตาในเรือนเล็ก ไว้ใช้ต้มน้ำ ต้มข้าวต้มต่างๆ ได้…
…วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เพียงแต่เป็นห่วงคุณหนู คุณหนูไปหลายเดือน ไม่มีแม้แต่ข่าวใดๆ บ่าวร้อนใจยิ่งนัก คุณหนู เหตุใดท่านถึงได้ดำเพียงนั้น งานแต่งงานของท่านจัดขึ้นเดือนสาม นี่ก็เดือนสองแล้ว เหลืออีกไม่กี่วัน จะทำอย่างไร” คุณหนูดำเพียงนี้จะออกเรือนได้อย่างไร หากเจ้าบ่าวรังเกียจจะทำอย่างไร หลีฮวาร้อนใจขึ้นมาในชั่วขณะ
เสิ่นเวยไม่สนใจ นางเองก็ไม่ได้ดำขนาดนั้น แค่ผิวสีน้ำผึ้งก็เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นนี่เกี่ยวอะไรกับการแต่งงาน หรือว่าสวีโย่วหมอนั่นจะกล้ารังเกียจนางเชียวหรือ
“ยังกล้าว่าข้าด้วยหรือ เจ้าดูเจ้าก่อน ผอมลงขนาดนี้ เป็นอะไรไป ข้าววัดต้าเจวี๋ยไม่อร่อยหรือ” เสิ่นเวยแสยะปากกล่าว
หลีฮวาไหนเลยจะไม่รู้ว่าคุณหนูนางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณหนู ไม่ใช่เพราะบ่าวเป็นห่วงคุณหนูหรือไร” คำพูดนี้กลับเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินญาติโยมที่มาทำบุญในวัดเล่าว่าสถานการณ์ซีเจียงไม่ดีมากเพียงใด หลีฮวาก็กังวลจนนอนไม่หลับ เมื่อหลับตาก็เห็นคุณหนูเลือดโชกไปทั่วร่างยืนอยู่ตรงหน้า
“หลีฮวาคนดี คุณหนูรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี ข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพร่ำถึงแล้ว เร่งเดินทางหลายสิบลี้ตอนนี้ข้าง่วงแล้ว” ราวกับต้องการยืนยันคำพูดนาง เสิ่นเวยยังหาวอีกหนึ่งครา
คำพูดเต็มอกของหลีฮวาไม่อาจพูดต่อไปได้แล้ว รีบจัดแจงให้คุณหนูพักผ่อนดีกว่า “คุณหนู บ่าวจะพาเถาฮวาไปนอนในห้องข้างนอก ท่านมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าค่ะ” ในใจวางแผนดีแล้วว่าจะบำรุงรักษาร่างกายคุณหนูอย่างไรบ้าง จะต้องให้คุณหนูเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดให้ได้ อืม ซู่เหนียงค่อนข้างมีประสบการณ์ด้านนี้ พรุ่งนี้ไปขอคำแนะนำจากนางดีหรือไม่นะ
เซียงเหมยเห็นซู่เหนียงยืนอยู่ข้างนอกประตูก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ซู่เหนียงชิงกล่าวก่อน “คุณหนูกลับมาแล้ว”
เซียงเหมยตกใจ หลังจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นข้างแก้ม นางเดินผ่านซู่เหนียงกำลังจะไปที่ห้องใหญ่ เดินไปได้สองก้าวก็หันหลังกลับมา ถอนหายใจกล่าว “ดึกดื่นคุณหนูเองก็น่าจะเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไปแล้วกัน” จากนั้นก็ผลักประตูให้ซู่เหนียงเข้าไป
เซียงเหมยมองซู่เหนียงที่สุขุมสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน ถอนหายใจหนึ่งคราแล้วกล่าว “คุณหนูกลับมาแล้ว เจ้ามีแผนต่อจากนี้อย่างไร” แม้ว่าซู่เหนียงไม่พูด แต่อย่างไรเสียเซียงเหมยก็เป็นสตรีที่เคยแต่งงานมาก่อน ไหนเลยจะอ่านสถานการณ์ของซู่เหนียงไม่ออกว่าไม่เป็นดั่งหวัง ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน อีกทั้งซู่เหนียงก็รู้ประสา มีมารยาทกับพวกนาง ไม่เคยนำปัญหามาให้พวกนาง ดังนั้นนางจึงมีความรู้สึกผูกพันกับสตรีที่เหมือนคุณหนูเล็กน้อยผู้นี้อย่างยิ่ง
ซู่เหนียงส่ายหน้า บนใบหน้าที่เรียบร้อยมีความสับสนหลายส่วน
นางถูกอาสะใภ้ขายให้หอนางโลม พ่อแม่นางมีนางเพียงคนเดียว เคยโอบอุ้มอยู่ในมือด้วยความรักและโปรดปราน ปีนั้นที่นางอายุได้แปดปี พ่อก็ป่วยกะทันหัน หลังจากนั้นแม่ก็ตามไป อาสะใภ้ต้องการครอบครองสมบัติของบ้านนางจึงขายนางเสีย เพราะว่านางหน้าตาดี พ่อค้าคนกลางโลภเงินจึงขายนางให้หอนางโลม
นางถือได้ว่าเติบโตอยู่ในหอนางโลม เคยเห็นเด็กผู้หญิงนับไม่ถ้วนวิ่งหนีถูกจับกลับมาทำโทษเฆี่ยนตี นางหวาดกลัว ทั้งยังชินชาแล้ว นางจะตายไม่ได้ พ่อนางมีเพียงนาง นางตายแล้ว ครอบครัวนางก็ไม่เหลือใครแล้ว
ไม่อยากตาย เช่นนั้นก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี นางพยายามเรียนฉินเล่มหมากเขียนพู่กันจีน เรียนรู้การอ่านสีหน้าคน เรียนรู้วิธีเอาใจแขกผู้มีพระคุณ อายุได้สิบห้าปีก็รับแขกอย่างเป็นทางการ นางไม่นับว่าเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดในหอนางโลม แต่ก็สามารถอยู่ในห้าอันดับแรกได้ นางคิดคำนวณแล้วว่า ถือโอกาสทำงานแลกเงินหลายๆ ปีตอนที่อายุยังน้อย เมื่อายุมากแล้วก็ไถ่ตัวเอง ซื้อบ้านหลังเล็ก รับลูกบุญธรรม มอบความรักความผูกพันแทนพ่อ
สำหรับการแต่งงาน นางไม่เคยคิดมาก่อน คนเช่นพวกนางไหนเลยจะยังแต่งงานได้อีก ต่อให้จะเป็นชาวนาแก่เฒ่าพวกนั้นก็ยังดูถูกพวกนาง แทนที่จะต้องถูกคนรังเกียจ ไม่สู้อยู่ตัวคนเดียวดีกว่า
เดิมคิดว่าชั่วชีวิตนี้ของนางจะเป็นเช่นนี้ แต่มีอยู่วันหนึ่ง แขกใจป้ำผู้หนึ่งมาไถ่ตัวนาง ขณะที่นางระแวดระวังในใจก็แอบดีใจเล็กน้อย ที่พักพิงที่ดีที่สุดของสตรีไม่ใช่การได้แต่งงานกับคนดีๆ หรอกหรือ แขกผู้นี้สามารถไถ่ตัวนางได้ ก็คงจะต้องมีความรู้สึกหลายส่วนต่อนางมิใช่หรือ
แต่เร็วอย่างยิ่งนางก็ต้องผิดหวัง แขกผู้นี้เพียงแค่สั่งให้นางทำเรื่องๆ หนึ่ง หลังจากรับปากแล้วจะให้เงินก้อนหนึ่งแก่นางและปล่อยนางเป็นอิสระ นางคิดทั้งคืน ในที่สุดก็ตกลง อิสระมีแรงดึงดูดต่อนางอย่างยิ่ง
แขกผู้นั้นไม่ได้ให้นางไปทำเรื่องอันตรายอะไร เพียงแค่ให้นางมาเป็นตัวแทนหลายเดือนที่วัดต้าเจวี๋ย จิตใจที่พะว้าพะวงของนางก็วางลง หลายเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่สบายใจที่สุดตั้งแต่ที่นางถูกไถ่ตัวมา บางครั้งนางก็คิดว่าหากได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานๆ ก็คงจะดี ตอนนี้คุณหนูผู้นั้นกลับมาแล้ว นางควรจะไปที่ไหนดี
เซียงเหมยเห็นท่าที ในใจก็เกิดความสงสารอย่างไม่อาจเลี่ยง “หากเจ้าไม่มีที่จะไปไม่สู้ติดตามคุณหนูของพวกเรา คุณหนูใจดี ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก เจ้าเห็นหลีฮวาหรือไม่ แม้จะบอกว่าเป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนู แต่อาหารการกินกลับดีกว่าคุณหนูในตระกูลท้องที่ข้างนอกเสียอีก”
ซู่เหนียงคิดครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “คนผู้นั้นที่ไถ่ตัวข้าบอกว่าจะให้เงินหนึ่งก้อนแก่ข้าและปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ”
เซียงเหมยถอนหายใจ “สตรีอายุน้อยเช่นเจ้า อีกทั้งยังหน้าตาดึงดูดความสนใจเช่นนี้ ต่อให้มีเงินก็เก็บไว้ไม่อยู่หรอก ในสังคมนี้ สตรีตัวคนเดียวไม่ได้ใช้ชีวิตง่ายเพียงนั้น”
เห็นซู่เหนียงไม่พูดต่อ เซียงเหมยก็กล่าว “ดูอย่างข้าสิ เดิมก็มีสามีมีครอบครัว ใช้ชีวิตอย่าสงบสุข แต่สามีเดินทางไปสอบข้าราชการ จู่ๆ ก็ถูกคนชอบเข้า สามีผู้นั้นของข้าก็มีตำแหน่งชื่อเสียง เป็นซิ่วไฉ[1] หากไม่ใช่คุณหนูผ่านทางมาและช่วยข้าออกมาจากคุกที่ว่าการ ข้ากับลูกสาวก็คงจะกลายเป็นดินเลนไปแล้ว”
เซียงเหมยเล่าเรื่องราวในอดีตของตน ซู่เหนียงตกใจจนถลึงตาโต นางคิดว่าเซียงเหมยเป็นสตรีที่จัดการงานได้อย่างมีความสามารถข้างกายคุณหนู ไม่คิดว่านางยังมีเรื่องราวที่น่าขมขื่นเช่นนี้ด้วย ทำให้นางเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเซียงเหมยอย่างอดไม่ได้
“หลายปีมานี้พวกเราแม่ลูกติดตามคุณหนู คุณหนูเองก็ไม่ให้พวกเราลงชื่อขายแลกที่ดิน นางบอกว่ารอหาพ่อของลูกสาวเจอแล้วค่อยปล่อยพวกเราไป ดูแลเหมือนญาติ แต่พ่อของลูกไหนเลยจะหาง่ายเพียงนั้น ต่อให้หาเจอแล้วอย่างไร อย่างไรเสียข้าก็คิดดีแล้ว พวกข้าแม่ลูกจะติดตามคุณหนูไปชั่วชีวิตนี้” แววตาเซียงเหมยอัดอั้น ด้วยความสามารถของสามีจะต้องสอบได้ตำแหน่งชื่อเสียงแน่นอน สตรีที่มีมลทินเช่นตนไหนเลยจะยังคู่ควรกับเขา
ซู่เหนียงเข้าใจเซียงเหมยอย่างถึงที่สุด เหตุการณ์ที่บุรุษก้าวหน้าแล้วทิ้งภรรยาที่เคยลำบากมาด้วยกันนางเห็นที่หอนางโลมมาไม่น้อย ดังนั้นนางจึงเห็นใจเซียงเหมยกว่าเดิม
“คุณหนูของพวกเราเป็นนายที่ดีจริงๆ งดงามแล้วยังมีความสามารถ ปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ก็ดี ไม่เคยตบตีด่าทอมาก่อน ขอเพียงแค่เจ้าจงรักภักดียอมทำงาน คุณหนูของพวกเราก็ใจกว้างอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่อยากทำงานอย่างการยกชารินน้ำ กิจการภายใต้ชื่อคุณหนูก็มีเยอะแยะ เจ้าก็สามารถไปทำได้ ในด้านนี้คุณหนูของพวกข้าก็มีความคิดก้าวไกลอย่างยิ่ง มักจะบอกว่าเรื่องที่บุรุษทำได้สตรีเช่นพวกเราก็ทำได้เหมือนกัน อย่าได้ดูถูกเหยียดหยามตนเอง”
“ขอบคุณท่านพี่ ซู่เหนียงรู้ว่าท่านหวังดี เพียงแต่ตอนนี้ข้าว้าวุ่นใจอยู่ ให้ซู่เหนียงได้คิดอีกหน่อยเถิด” ซู่เหนียงกัดริมฝีปากกล่าวเสียงเบา
เซียงเหมยถอนหายใจหนึ่งครา ไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้วจริงๆ
[1] ซิ่วไฉ คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่น ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมจำนวนมาก