“เร็วๆ คุณหนูกลับมาแล้ว!” คนทุกระดับชั้นในเรือนเฟิงหวาคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะ เหอฮวาเถาจือ
สั่งกลุ่มคนใช้ทั่วเรือนจนวิ่งหัวหมุน เตรียมน้ำ เตรียมอาหาร ห้องของคุณหนูก็ตรวจตรากว่าสามรอบแล้ว จะต้องมั่นใจได้ว่าแม้แต่มุมห้องก็ไม่อาจมีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่เสิ่นเวยไปนางออกไปทางประตูเล็กของเรือนเฟิงหวา ทว่าขากลับกลับมาทางประตูใหญ่ของจวนโหว ไม่ต้องสั่งคน บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งที่ประตูใหญ่ก็เปิดประตูกลางออกอย่างฉับไว
หลีฮวากับซู่เหนียงประคองเสิ่นเวยซ้ายขวา ข้างหลังตามมาด้วยเถาฮวากับเหล่าสาวใช้และหญิงชราจำนวนมาก เสิ่นเวยก้าวเข้าจวนโหวช้าๆ เถาจือเหอฮวาที่รออยู่นานแล้วก็ล้อมเข้ามาทันที “คุณหนู คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้ว!”
เสิ่นเวยมองใบหน้าที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งแต่ละใบๆ รู้สึกว่าในใจอบอุ่น มุมปากของนางยกขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มไล่ขึ้นมาถึงดวงตาทั้งคู่ “ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว ไป พวกเรากลับไปให้บำเหน็จตามความดีความชอบที่เรือนเฟิงหวากันเถอะ”
ทุกคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ติดตามเสิ่นเวยไปที่เรือนเฟิงหวาเป็นขบวน ส่วนบ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือนอื่นก็ได้แต่ทำสีหน้าอิจฉาทั้งใบหน้า
ยังคงเป็นเรือนตัวเองที่สบายที่สุด! หลังเสิ่นเวยอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็พิงตั่งนุ่มงีบหลับ
หลีฮวาทนดูไม่ได้ สะกิดนางเบาๆ กล่าวเตือน “คุณหนู ควรไปเคารพเหล่าไท่จวินก่อนเจ้าคะ คารวะนางเสร็จแล้วท่านค่อยนอนก็ไม่สาย”
แม้ว่าก่อนจะไปขอพรที่วัดต้าเจวี๋ยเสิ่นเวยก็ไปเคารพที่เรือนซงเฮ่ออย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก ดีไม่ดีก็ลาป่วย แต่นี่ก็อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยมาหลายเดือนแล้ว วันแรกที่กลับจวนยังคงต้องไปแสดงตัวที่เรืองซงเฮ่อบ้าง มิเช่นนั้นโทษอกตัญญูหล่นทับหัวก็คงจะไม่ดีนัก
เสิ่นเวยไปเรือนซงเฮ่อแล้ว เห็นข้างกายท่านย่านางมีสตรีแปลกหน้าเพิ่มมาหนึ่งคน นางเพียงแค่กวาดตามองไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับเป็นสตรีผู้นั้นที่เข้ามาคุยกับนางอย่างสนิทสนม “ท่านก็คือพี่เวยบ้านอาสามใช่หรือไม่ ข้าคือน้องฟัง ท่านย่ารับข้ามาอยู่ช่วงนี้ หลังจากนี้พวกเราพี่น้องจะต้องสนิทกันแน่ๆ”
นี่คือหลานสาวฝั่งท่านย่าหรือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าว่าเป็นลูกสาวของลูกผู้พี่หรือลูกผู้น้องคนไหนของท่านพ่อ เสิ่นเวยไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับญาติฝั่งท่านย่า อีกทั้งยังไม่อยากสนิทด้วยเท่าไรนัก
ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ พยักหน้าให้นาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
สนิทสนมงั้นหรือ อย่าเลยดีกว่า แม่นางผู้นี้หน้าตาไม่เลว แต่แผนการในสมองนั่นมีอะไรบ้าง คิดว่านางไม่เห็นความละโมบในแววตานางหรือ ซ้ำยังเป็นคนที่ตาไม่มีแวว เสิ่นเวยไม่อยากพูดคุยกับนางให้มาก
กลับเป็นเหล่าไท่จวินที่ชื่นชมอย่างมาก “ฟังเอ๋อร์พูดถูก พวกเจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ต้องสนิทกันไว้จึงจะถูก เวยเอ๋อร์ เจ้าโตกว่าฟังเอ๋อร์เล็กน้อย ต้องดูแลน้องให้ดีๆ รู้หรือไม่”
เสิ่นเวยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับตำหนิ ใครเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางกัน ลูกพี่ลูกน้องของข้าคือคนแซ่หร่วนทั้งหลายเข้าใจหรือไม่ คนตระกูลหลิวเช่นพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น อย่ามาขวางหูขวางตาข้าให้มาก หากหาเรื่องข้าเจ้าได้เห็นดีแน่
“ท่านย่ามีอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วหลานขอตัวก่อน ท่านปู่เข้าวังแล้ว หลานพักผ่อนเต็มที่แล้วจะได้ไปคารวะท่านปู่” เสิ่นเวยไม่อยากรับมือเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวดักทางทันที
เหล่าไท่จวินหน้าขรึม ตั้งใจจะตำหนิสักสองสามประโยค แต่เมื่อนึกถึงสามีที่กำลังจะกลับมา ชั่วขณะก็ไม่มีกะจิตกะใจ โบกมือให้เสิ่นเวยออกไป
ช่างเถอะๆ หลานสาวคนนี้ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น อย่าให้นางมาขวางหูขวางตาจะดีกว่า
เสิ่นเวยเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เหล่าไท่จวินมองแผ่นหลังของนางรู้สึกว่าในใจอึดอัดยิ่งนัก ฟังเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ดวงตากะพริบวาบ บนใบหน้ามีความน้อยใจหลายส่วน กล่าว “ท่านย่า พี่เวยไม่ชอบข้าใช่หรือไม่”
เหล่าไท่จวินชอบหลานสาวที่ปากหวานเชื่อฟังผู้นี้มากเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวปลอบนาง “เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบพูด ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเจ้า”
หลิวรุ่ยฟังที่ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้ม จับมือของเหล่าไท่จวิน บนใบหน้ามีความเคอะเขินหลายส่วน “ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าพี่เวยไม่ชอบข้าเสียอีก ประเดี๋ยวว่างๆ ข้าจะไปเล่นกับพี่เวย” ปิ่นอัญมณีเคลือบเงาอันนั้นบนศีรษะของพี่เวยสวยจริงๆ ปักอยู่บนผมตนแล้วจะต้องสวยยิ่งกว่าแน่ๆ อืม จะต้องคิดหาวิธีเอามาให้ได้
เหล่าไท่จวินตบมือของฟังเจี่ยเอ๋อร์ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เด็กผู้หญิงฉลาดหน่อยจึงจะดี
ท่านเสิ่นโหวออกจากพระราชวัง บำเหน็จก็ตามมาถึงจวน
จักรพรรดิยงเซวียนทรงอนุมัติคำขอเกษียณยกตำแหน่งให้ผู้อื่นของท่านเสิ่นโหวแล้ว เสิ่นหงเหวิน
กลายเป็นจงอู่โหวคนใหม่ได้สำเร็จ เสิ่นผิงยวนย่อมกลายเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหว
จักรพรรดิยงเซวียนไม่ได้ปฏิบัติต่อขุนนางผู้สร้างคุณูปการอย่างไม่เป็นธรรม เสิ่นผิงยวนเกษียณแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนเองก็พอใจในการอ่านสถานการณ์ของเขา จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เขาเป็นราชครูของรัชทายาท แม้ว่าจะไม่มีอำนาจ แต่ตำแหน่งก็สูงส่ง! นอกเหนือจากนี้แล้ว จักรพรรดิยงเซวียนยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เสิ่นซื่อหลานสาวของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเป็นจวิ้นจู่อีกด้วย
เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ประกาศออกไป ทั่วทั้งจวนต่างก็ปากอ้าตาค้าง แม้แต่เสิ่นเวยเองยังรู้สึกเหมือนโชคหล่นทับ
ตำแหน่งจวิ้นจู่ บุตรสาวของไท่จื่อหรือชินอ๋องเท่านั้นที่จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ได้ คุณหนูจวนโหวเล็กๆ เช่นนางคาดไม่ถึงว่าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ คาดว่าเมืองหลวงทั้งเมืองก็คงจะสั่นสะเทือน
คนที่สงบนิ่งเพียงหนึ่งเดียวก็คือนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว เพราะว่าหนึ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิก็แอบแสดงเจตนาเงียบๆ แล้ว สอง จากมุมมองของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว คุณงามความดีของเจ้าสี่ของเขาสมควรจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นผู้ปกครองเมืองด้วยซ้ำ ตำแหน่งจวิ้นจู่เล็กๆ อีกทั้งยังเป็นจวิ้นจู่ที่ได้ข้าวเป็นเงินเดือนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เพียงแค่ชื่อเพราะก็เท่านั้น เขายังรู้สึกเดือดร้อนแทนเจ้าสี่เสียด้วยซ้ำไป
แล้วจักรพรรดิยงเซวียนคิดอย่างไรเล่า พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เสิ่นเวยเป็นจวิ้นจู่ หนึ่งคือชดเชยให้จวนจงอู่โหว สองคือ เสิ่นเวยเป็นว่าที่ภรรยาของอาโย่ว สุดท้ายแล้วก็ต้องแต่งเข้าราชวงศ์ ข้อได้เปรียบนี้ก็ไม่ถูกคนนอกยึดชิงไป
นอกจากเลื่อนตำแหน่งขุนนางแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนยังพระราชทานบำเหน็จเป็นเงินทองของล้ำค่าเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ สรุปแล้ว เสิ่นหงเหวินเห็นบิดาเขาน้อมรับพระราชโองการด้วยความดีใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉีกปากกว้างครึ่งวันก็ยังหุบไม่ลง
คืนนั้น นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเรียกเสิ่นหงเหวินพี่น้องทั้งสามและสวี่ซื่อฮูหยินโหวคนใหม่สดๆ ร้อนๆ มาที่ห้องหนังสือเรือนหน้า นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวเข้าประเด็นทันที “ข้ามอบจวนโหวให้ลูกคนโตแล้ว เจ้าสามก็ใช้ความสามารถของตัวเองทำงานอยู่ในกรมพิธีได้ไม่บกพร่อง มีแต่เจ้ารองที่ใจไม่สู้เล็กน้อย แต่ข้าก็ให้เจ้าแต่งงานกับภรรยาที่มีสินเดิมมากมาย ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี แต่ก็ไม่อดตาย สำหรับพวกเจ้าทั้งสาม สิ่งที่ให้ได้ข้าก็ให้หมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ข้าก็ทำหมดแล้วเช่นกัน ข้าแก่แล้ว ลำบากมากว่าครึ่งชีวิต คืนวันที่เหลืออยู่หลังจากนี้ข้าก็อยากใช้ชีวิตที่สบายเป็นอิสระหน่อย ต่อไปนี้พวกเจ้าก็อาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”
สามพี่น้องสบตากับปราดหนึ่ง พากันกล่าว “ดูท่านพ่อพูดเข้า ประสบการณ์แค่นี้ของลูกจะพอได้อย่างไร จวนโหวของพวกเรายังต้องให้ท่านหนุนหลังอยู่ เพียงแต่ท่านพ่อวางใจ ลูกจะเชื่อฟังคำสอนของท่านเป็นอย่างดี”
เสิ่นหงเหวินกล่าวคำนี้จากใจจริง เขาเป็นบุตรคนโต ตั้งแต่เล็กก็รู้หน้าที่ที่ตนแบกรับอยู่ มีใจแต่กำลังไม่พอ ยังต้องลำบากให้ท่านพ่อดูแลซีเจียงจนแก่เฒ่า ทุกครั้งที่คิดถึงเขาก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก
นายท่านผู้เฒ่าโหวโบกมือ “ข้าจะหนุนหลังเจ้าไปตลอดชีวิตได้อย่างไร เจ้าหัวอ่อนเกินไป หากเจ้าเป็นเหมือนกับเชียนเกอเอ๋อร์ได้ ข้าคงจะไม่ขายชีวิตอยู่ข้างนอกจนแก่ปูนนี้หรอก”
หนึ่งประโยคกล่าวจนเสิ่นหงเหวินก้มหน้าอย่างเหยเก
นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวต่อ “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า ข้าเตรียมจะยกมรดกของข้าให้เวยเจี่ยเอ๋อร์”
“มีสิทธิ์อะไร” นายท่านผู้เฒ่าโหวยังพูดไม่ทันขาดคำ เสิ่นหงอู่บุตรชายคนที่สองก็ลุกขึ้นคัดค้านทันที ท่าทางของเขาน้อยใจอย่างถึงที่สุด “ท่านพ่อ มรดกของท่านควรแบ่งให้พวกข้าสามพี่น้องไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงข้ามหัวพวกข้าไปให้เด็กน้อยเล่า ท่านชิงตำแหน่งจวิ้นจู่มาให้นางแล้วไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว บ้านสามก็มีจวิ้นจู่ มีเพียงพวกข้าบ้านสองที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ท่านพ่อ ท่านจะลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้! หรือว่าข้าไม่ใช่ลูกท่านแล้ว”
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าตำแหน่งจวิ้นจู่ของเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นข้าที่ขอมาจากฝ่าบาทงั้นหรือ ไม่ใช่ นั่นเป็นตำแหน่งที่เวยเจี่ยเอ๋อร์อาศัยคุณงามความดีของตนแลกมาเองต่างหาก”
เสิ่นหงอู่ไหนเลยจะเชื่อ พึมพำกล่าว “เด็กผู้หญิงเช่นนางจะมีคุณงามความดีอะไรได้ ก็แค่ไปคัดคัมภีร์ไม่กี่เล่มที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ใช่หรือ ท่านพ่ออย่ามาหลอกลูก ลูกเป็นบุตรอนุภรรยา ลูกไม่ขอแบ่งมรดกของท่านเท่าๆ กับพี่ใหญ่น้องสาม แต่แบ่งเป็นสามส่วนก็เป็นสิ่งสมควรมิใช่หรือ” เขาพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง เงินเป็นของดี ไม่มีเงินแล้วเขาจะไปดื่มสุราอย่างไร จ้าวซื่อเป็นคนขี้เหนียว คิดจะขอเงินจากนางยังยากกว่าปีนขึ้นฟ้าเสียอีก