ท่านเสิ่นโหวนิ่งเงียบ ละสายตามองไปทางลูกชายคนโตและลูกชายคนที่สาม “พวกเจ้าสองคนเล่า คิดเหมือนกันหรือไม่ว่าข้าลำเอียงรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า”
เสิ่นหงเหวินกับฮูหยินสวี่สบตากันปราดหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าการที่พ่อเขารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสม แม้แต่นิ้วมือทั้งสิบยังมีสั้นยาว บิดาก็ยังลำเอียงมาทางเขาอยู่มาก
แต่ท่านพ่อจะยกมรดกทั้งหมดให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็เกินไปหน่อยหรือไม่ สตรีไม่ช้าไม่เร็วก็เป็นน้ำที่ต้องถูกสาดออกไป เป็นคนของตระกูลอื่น ท่านพ่อรักเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ให้สินเดิมนางมากหน่อยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยกมรดกทั้งหมดให้นางก็ได้
“ท่านพ่อ นี่เองก็เกินไปหน่อยหรือไม่ เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้ประสา แต่อย่างไรเสียนางก็จะออกเรือนแล้ว” เสิ่นหงเหวินเรียบเรียงคำพูดแล้วกล่าว
ฮูหยินสวี่เองก็คิดเช่นเดียวกัน นายท่านผู้เฒ่าโหวรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่านางก็ไม่ได้มีความคิดเห็น แต่ลำเอียงเกินไปนางก็ไม่เห็นด้วย เป็นหลานสาวเหมือนกันทั้งหมด มีสิทธิ์อะไร อีกทั้งนางเป็นฮูหยินผู้ดูแลบ้าน ไม่เหมือนสามีที่ไม่ได้คิดถึงเงินทองเช่นนั้น นายท่านผู้เฒ่าโหวสู้รบมาทั้งชีวิต ของดีในมือจะน้อยได้อย่างไร ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมรดกที่ตกทอดมาถึงลูกชายของนาง
ทว่าลูกชายคนที่สามเสิ่นหงเซวียนกลับมีสีหน้าซับซ้อน สำหรับการตัดสินใจนี้ของท่านพ่อ ในใจเขาก็คาดเดาได้รางๆ แล้ว อย่างไรเสียเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ต่อสู้อย่างสุดชีวิตอยู่ที่ซีเจียง เขาที่เป็นบิดาของเวยเจี่ยเอ๋อร์จะยังพูดอะไรได้อีก
“ลูกเชื่อฟังคำสั่งของท่านพ่อทั้งหมด ลูกไม่มีความคิดเห็น” เสิ่นหงเซวียนหลุบตาลง เขากลับไม่โง่ที่จะผลักไส เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวของเขา เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้ผลประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ต่อบ้านสามเช่นเดียวกัน เห็นเวยเจี่ยเอ๋อร์ปกป้องเจวี๋ยเกอเอ๋อร์เช่นนี้ นางได้ผลประโยชน์แล้วจะไม่คิดถึงเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ได้อย่างไร
“พวกเจ้าบ้านสามได้เปรียบอย่างยิ่ง เจ้าย่อมไม่มีความคิดเห็นอยู่แล้ว” เสิ่นหงอู่ตะคอกอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อท่านเองก็เห็น พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย พวกข้าไม่ได้เป็นห่วงมรดกของท่าน เพียงแต่ทนเห็นท่านลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้” เขายังคงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
สายตานายท่านผู้เฒ่าโหวปรายผ่านใบหน้าลูกสายทั้งสามช้าๆ อันที่จริง ในใจเขาไม่ใช่ว่าไม่ผิดหวัง แต่ต่อให้ผิดหวังก็ยังคงเป็นลูกชายของเขา แต่เมื่อนึกถึงเวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงที่ไม่สนระยะทางไม่ห่วงอันตรายวิ่งมาถึงสนามรบซีเจียงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนเขา เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนจวนโหว แม้แต่สินเดิมของฝั่งแม่นางยังมอบให้ เขาก็รู้สึกผิด อีกทั้งยังเสียใจ ยิ่งแน่วแน่ต่อการตัดสินใจว่าจะมอบมรดกให้เวยเจี่ยเอ๋อร์
“ใครบอกพวกเจ้าว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย ไม่ นางไม่ได้อยู่ที่นั่น! นางอยู่ซีเจียง! เมื่อรายงานรบที่ซีเจียงเข้ามาในเมืองหลวงนางก็นำคนคุ้มกันเสบียงสามหมื่นต้านไปซีเจียง หลายเดือนมานี้นางก็อยู่ที่ซีเจียงตลอด” นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นไปไม่ได้!” เสิ่นหงอู่เอ่ยปากค้านทันที “ท่านพ่อท่านอย่าหลอกพวกลูก เวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร” ใช่เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นวรยุทธ์เล็กน้อย แต่เป็นวรยุทธ์กับลงสนามรบเป็นคนละเรื่องกัน นางไหนเลยจะกล้าหาญเพียงนั้น เสิ่นหงอู่ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นหงอู่ตกใจอย่างยิ่ง อาจารย์ลูกชายเขาก็เคยเอ่ยถึงเจ้าสี่อะไรสักอย่าง เขาคิดว่าเป็นลูกหลานคนไหนของฝั่งหมู่บ้านตระกูลเสิ่นจึงไม่ได้สนใจ
ฮูหยินสวี่เองก็ใจเต้น จริงด้วย เวยเจี่ยเอ๋อร์ไปซีเจียงจริงๆ ด้วย มิน่าเล่าท่านเสิ่นโหวถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้ ในใจนางมีความคิดร้อยพันแวบผ่าน แววตาคลุมเครือไม่หยุด
เสิ่นหงเซวียนยังคงก้มหน้า เขารู้ข่าวนี้จากรู้ชายนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินท่านพ่อเอ่ยขึ้นอีกครั้งความรู้สึกของเขาก็ยังคงซับซ้อนเช่นเคย
นายท่านผู้เฒ่าโหวยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยหรือ แม่ทัพอู่เลี่ยกับ
หย่งติ้งโหงสามารถยืนยันได้ ท้องพระคลังเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ รวบรวมทั้งหมดทั้งมวลแล้วราชสำนักก็ส่งเสบียงมาซีเจียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้าน ด้วยเสบียงแค่นี้พ่อเจ้าคงจะหิวตายอยู่ที่ซีเจียง
เวยเจี่ยเอ๋อร์นำสินเดิมทั้งหมดของแม่นางมาให้จึงเลี้ยงกองทัพหลายหมื่นนายของซีเจียงได้ ข้าจึงชนะศึกกลับมาอย่างปลอดภัยได้ พวกเจ้าหาว่าข้ารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า เหตุใดถึงไม่คิดเสียบ้างว่าตอนที่ซีเจียงตกอยู่ในอันตรายมีเพียงเด็กผู้หญิงเช่นนางที่ก้าวออกมา พวกเจ้ามีใครบ้างที่คิดจะส่งเสบียงสักคันส่งเงินสักเล็กน้อยมาให้ข้า ไม่มี พวกเจ้าไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน! ข้าเสิ่นผิงยวนมีลูกชายสามคนหลานชายหกคน ไม่มีสักคนที่มีประโยชน์เท่าเวยเจี่ยเอ๋อร์เลย”
เสียงที่น่าเกรงขามของนายท่านผู้เฒ่าโหวดังก้องอยู่ภายในห้อง เสิ่นหงเซวียนก้มหน้างุด มองไม่เห็นสีหน้าของเขา สีหน้าเสิ่นหงอู่เหยเก เสิ่นหงเหวินรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด เขาเองก็เกลียดที่ตนเองไร้ประโยชน์ แบ่งเบาภาระบิดาไม่ได้
แม้ฮูหยินสวี่จะไม่พูด แต่ในใจกลับไม่ยอมรับ เมื่อข่าวนายท่านผู้เฒ่าโหวถูกยิงธนูสลบเข้ามาในเมืองหลวง สามีของนางก็ไปขอร้องฝ่าบาททั้งคืนมิใช่หรือ เชียนเกอเอ๋อร์ก็วิ่งไปซีเจียงมิใช่หรือ ตอนนี้ลูกชายยังอยู่ที่ซีเจียงอยู่เลย จะเทียบเวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงคนเดียวไม่ได้ได้อย่างไร ในมือเวยเจี่ยเอ๋อร์มีเงิน แต่นางจะมีความสามารถมากกว่าเชียนเกอเอ๋อร์ได้อย่างไร เชียนเกอเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นหลานชายคนโตที่ถูกต้องตามกฎหมาย นายท่านผู้เฒ่าโหวยกยอเด็กผู้หญิงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
นางคิดเช่นนี้ บนใบหน้าก็ออกสีเล็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยง
นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นคนที่มีสติปัญญามาก มอบแวบเดียวก็รู้ความคิดของนาง แค่นเสียงในใจอย่างอดไม่ได้ ฮูหยินสวี่ลูกสะใภ้คนโตผู้นี้เป็นคนที่เขาตั้งใจขอมาให้ลูกชายคนโต หลายปีมานี้อบรมสั่งสอนลูกชายลูกสาวทำหน้าที่ภรรยาได้ดีอย่างยิ่งมาโดยตลอด เขาเองก็พอใจอย่างมาก ทว่าความรู้ของนางก็ยังคงน้อยเกินไป เห็นเพียงแต่ว่าตนรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า ไม่คิดว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์จะนำผลประโยชน์มาให้จวนโหวได้
หากเป็นเขา อย่าว่าแต่มรดกของพ่อสามี ต่อให้จะเพิ่มจวนโหวไปอีกครึ่งจวนก็ยังยินดี เพียงแค่เวยเจี่ยเอ๋อร์มีความเกี่ยวข้องกับจวนโหวแน่นแฟ้น ภายหลังหากจวนโหวเจอปัญหานางจะต้องช่วยอย่างสุดกำลังแน่
ตนวางแผนให้พวกเขาเช่นนี้ พวกเขาแต่ละคนยังตระหนักไม่ได้อีก นี่ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโหวผิดหวังในใจอย่างยิ่ง เหตุใดเวยเจี่ยเอ๋อร์ถึงไม่เป็นเด็กผู้ชายเล่า ความคิดนี้เข้ามาเกาะกุมหัวใจเขาอีกครั้ง
นายท่านผู้เฒ่าโหวละสายตามองลูกชายคนโต “เจ้าคิดว่าข้าปฏิบัติต่อเชียนเกอเอ๋อร์อย่างไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่ โง่นัก! ข้าจะบอกเจ้าให้ชัดๆ ก็ได้ หากเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้ชาย บรรดาศักดิ์จงอู่โหวไหนเลยจะตกยังเป็นของเจ้า ข้าจะขอพระราชโองการให้เวยเจี่ยเอ๋อร์โดยตรง เจ้าลองไปเดินสำรวจเมืองชายแดนดู ในกองทัพก็ดี ประชาชนก็ดี ดูว่าพวกเขารู้จักคุณชายสี่หรือว่ารู้จักคุณชายใหญ่ ข้าจะบอกเจ้าให้ ชื่อเสียงของคุณชายสี่แซ่เสิ่นที่ซีเจียงยังดังยิ่งกว่าพ่อเจ้าเสียอีก!”
หยุดหายใจครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวต่อ “แม้แต่เชียนเกอเอ๋อร์ ก็ได้เสิ่นเวยปกป้องถึงได้รอดชีวิตจากอันตรายในทุกครั้ง ข้ามอบมรดกทั้งหมดให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้เชียนเกอเอ๋อร์เองก็เห็นด้วย เขายังแย้งว่าให้น้อยไปด้วยซ้ำ อย่างไรเสียมรดกแค่นั้นของข้าดูเหมือนจะเยอะ แต่อันที่จริงยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เสิ่นเวยนำออกมาเลย ที่เวยเจี่ยเอ๋อร์นำเข้าไปไม่ได้มีแต่สินเดินของหร่วนซื่อ ยังมีร้านค้ายี่สิบกว่าร้านภายใต้ชื่อนางอีกด้วย! หากเป็นเจ้า เจ้ายอมตัดใจให้ได้หรือไม่ ความสามารถของเจ้าที่ธรรมดาๆ ข้าจะไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่เจ้าเป็นถึงลุงใหญ่ก็ไม่ควรไร้หัวใจถึงเพียงนี้ เจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่เชียนเกอเอ๋อร์! เชียนเกอเอ๋อร์ยังรู้จักไปปรึกษากับเวยเจี่ยเอ๋อร์เมื่อมีปัญหา เพราะเขารู้ว่าตนสู้นางไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใจกว้าง ก็ต้องเมตตา ก็ต้องวางท่าทางที่พี่ชายคนโตควรจะมี! เพราะเขารู้ว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ทำทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาควรทำแต่ทำไม่ได้ เวยเจี่ยเอ๋อร์จึงทำแทนเขา!”
นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวเสียงทรงพลัง น้ำเสียงเฉียบขาดยิ่งขึ้น ราวกับค้อนหนึ่งอันที่เคาะลงในใจทุกคน สั่งสอนลูกสะใภ้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ยังสั่งสอนลูกชายได้ไม่ใช่หรือ
ความเสียใจบนสีหน้าเสิ่นหงเหวินมากขึ้นแล้ว “ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ท่านอย่าโมโห ลูกเชื่อฟังท่าน ลูกเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ท่านยกมรดกให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ ลูกไม่มีความคิดเห็น รอเวยเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือน ลูกจะเพิ่มสินเดิมให้อีก” เสิ่นหงเหวินเป็นลูกกตัญญู เขาไม่อาจแบ่งเบาภาระพ่อเขาได้ก็รู้สึกผิดอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้บิดาเขากลับเมืองหลวงทั้งที เขาจะทำให้บิดาเขาโมโหได้อย่างไร ตอนนี้เขาขอเพียงแค่บิดาเขาใจเย็นโดยเร็ว สำหรับมรดกของบิดา จะให้ก็ให้เถอะ
ฮูหยินสวี่เองก็รีบเปลี่ยนท่าที “มรดกท่านพ่อเดิมก็ควรจะจัดการโดยท่านพ่อเอง ให้ใครไม่ให้ใครพวกข้าที่เป็นชนรุ่นหลังไม่มีความคิดเห็นแม้แต่นิดเดียว เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่น่าสงสาร ทั้งยังพยายามเพื่อจวนของพวกเรามามาก ท่านพ่อปูนบำเหน็จนางสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร ลูกไม่มีความคิดเห็นใดๆ”
นายท่านผู้เฒ่าไหนเลยจะสั่งสอนลูกชาย คำพูดนั้นชัดเจนว่าพูดให้นางฟังต่างหาก ฮูหยินสวี่นึกถึงคำแนะนำของบิดานาง ในใจก็ตกใจชั่วขณะ ตอนนี้สิ่งที่นางดีใจที่สุดก็คือเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง มิเช่นนั้นจวนโหวนี้ก็อาจจะตกอยู่ในมือคนอื่น อุบายของนายท่านผู้เฒ่าโหวบิดาของนางยังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หากนายท่านผู้เฒ่าโหวมีความคิดจะยกบรรดาศักดิ์ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ บ้านใหญ่ของพวกเขาก็หมดหนทางแล้ว
สีหน้าบนใบหน้านายท่านผู้เฒ่าโหวเพิ่งจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย กระทั่งกล่าวกับลูกชายคนรองที่สีหน้ายังคงไม่ยินยอมเล็กน้อย “พวกเจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ต่างก็เป็นหลานของข้าเสิ่นผิงยวนทั้งหมด ข้ารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า นั่นก็เพราะว่านางแบกความรับผิดชอบของพวกเจ้าทั้งหมด ครั้งนี้หากไม่มีเวยเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็คงตายอยู่ที่ซีเจียง อย่าว่าแต่คว้าชัยชนะปูนบำเหน็จเลย จวนโหวของพวกเราคงจะต้องถูกคนอื่นเหยียบย่ำจมดินมิใช่หรือ”
คนในห้องหนังสือต่างก็หวาดกลัว แม้แต่คนโง่อย่างเสิ่นหงอู่ยังรู้ว่าหลายปีมานี้ความรุ่งโรจน์ของจวนจงอู่โหวเกี่ยวพันกับบิดาเขาเพียงผู้เดียว หากบิดาเขาไม่อยู่แล้ว จวนโหวก็จะจมลงในชั่วพริบตา พี่ใหญ่น้องสามยังดี เลี้ยงคนในครอบครัวได้ แต่เขาที่อาศัยจวนโหวอยู่ไปวันๆ คงไม่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นจวนโหวจะต้องแยกบ้าน พี่ใหญ่เขาจะต้องเลี้ยงเขาไม่ได้อีก เช่นนั้นเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร เสิ่นหงอู่หวาดกลัว ไม่กล้าคิด ความคิดที่อยากแย่งมรดกก็ลดลงไปมาก
นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นพวกเขาคล้ายครุ่นคิด ก็กล่าวต่อ “วันนี้ข้าเองก็มีเรื่องมาบอกพวกเจ้า ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ก็เพราะว่าประมุขซีเหลียงและองค์ชายทั้งหมด กระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดถูกนางและองค์ชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องนำคนแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวงซีเหลียงเพื่อจับเป็นเชลยกลับมา ข้อเสนอในการนำเงินมาแลกคนและขอค่าชดใช้ความเสียหายก็เป็นนางที่เสนอ คุณงามความดียิ่งใหญ่เพียงนี้พระราชทานตำแหน่งจวิ้นจู่ยังไม่พอด้วยซ้ำ เดิมฝ่าบาทยังคิดจะเสนอตำแหน่งขุนนางของเจ้าสาม ยังคิดจะพระราชทานตำแหน่งว่างให้น้องชายแท้ๆ ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ แต่ถูกข้าปฏิเสธไป ยิ่งสูงยิ่งหนาว ตอนนี้จวนโหวของเราเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างนอก อยู่เงียบๆ ไว้หน่อยจะดีกว่า เรื่องนี้พวกเจ้ารู้กันเองก็พอแล้ว จำไว้ว่าอย่าพูดมั่วซั่วออกไป! โดยเฉพาะเจ้ารอง อย่าเมายมายจนไม่รู้ว่าตนเป็นใคร หากมีใครในพวกเจ้าสร้างปัญหา อย่ามาว่าข้าที่ลงโทษตามกฎตระกูล!” นายท่านผู้เฒ่าโหวเตือนเสียงเด็ดขาด
“ขอรับ / เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว” พี่น้องทั้งสามรวมถึงฮูหยินสวี่ตอบพร้อมกัน เรื่องเช่นนี้ใครกล้าพูดออกไปกัน
เสิ่นหงเหวินพี่น้องทั้งสามออกไปจากห้องหนังสือแล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวยืนมือไพล่หลังอยู่ ใบหน้าครึ่งฝั่งอยู่ในแสงและเงา ทำให้คนมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน
“ท่านโหวอย่าได้เสียใจไปเลย พวกคุณชายเหวินต่างก็เป็นลูกกตัญญู” เสิ่นฉงอันทหารคนสนิทยังคงเรียกตามคำเรียกเก่า
นายท่านผู้เฒ่าโหวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครา กล่ว “ฉงอัน เจ้าว่าชะตาข้าไม่ดีหรือไม่”
เสิ่นฉงอันคัดค้านทันที “ใครบอกกัน ชะตาของท่านโหวดีอย่างยิ่ง ท่านเริ่มจากศูนย์จนได้มาซึ่งครอบคัวใหญ่ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเช่นนี้ ชะตาของท่านดีที่สุด”
ทว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวกลับไม่คิดเช่นนี้ หากเขาชะตาดีก็ควรจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตไปตั้งนานแล้ว หากเขาชะตาดี ไหนเลยจะต้องทุกข์ใจเพื่อลูกหลานทั้งที่อายุปูนนี้แล้ว หากเขาชะตาดี ลูกหลานเต็มจวนไหนเลยจะเลือกคนมารับภาระสำคัญไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
หรือว่าชีวิตคนที่เขาคร่ามาเยอะเกินไปจนสวรรค์ไม่เมตตา กระทั่งสวรรค์ยังลงโทษเขาเช่นนี้ คิดถึงตรงนี้เขาก็สั่งเสิ่นฉงอัน “ฉงอัน แม้ตอนนี้ใกล้จะถึงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศก็ยังคงหนาวยิ่งนัก พรุ่งนี้เอาเงินหนึ่งพันตำลึงไปซื้อข้าวสารและผ้ามาแจกจ่ายบ้านคนจนที่ฝั่งตะวันตกของเมืองเงียบๆ ให้คนที่ดูไม่ค่อยคุ้นหน้าไปทำ และอย่าได้เอ่ยถึงชื่อจวนโหวของเรา” ทั้งหมดก็เพื่อสั่งสมบุญกุศลให้ลูกหลาน
ตนแก่แล้ว ไม่ได้มีปณิธานยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน บางทีก็ควรจะทำอย่างที่เวยเจี่ยเอ๋อร์เคยว่าไว้จริงๆ ลูกหลานมีโชคของลูกหลานเอง ไม่ต้องไปเป็นทุกข์แทนลูกหลาน เขาเองก็ควระจะปล่อยวางเพื่อเสพสุขได้แล้ว