เรือนเฟิงหวาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน แม้หลายเดือนนี้ที่คุณหนูไม่อยู่พวกนางจะระมัดระวัง แต่เมื่อคุณหนูกลับมาก็ปูนบำเหน็จก้อนใหญ่ แม้แต่หญิงชราที่เฝ้าประตูเรือนยังได้เงินถึงห้าตำลึง ใครบ้างจะไม่ดีใจ
ในบ้าน เสิ่นเวยเงียบฟังน้องชายเล่าเรื่องและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงและจวนหลังจากที่นางจากไป “ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความคิดนี้ได้อย่างไร นางโน้มน้าวท่านย่า อยากขอตัวฉาฮวาไปที่เรือนนาง ข้าคิดว่านี่คือสาวใช้ของท่านพี่ ท่านพี่ไม่อยู่ ไม่อาจให้นางวางแผนร้ายได้ จึงยืนกรานไม่อนุญาต ภายหลังนางก็หาเรื่อง ฉวยโอกาสคิดจะปล่อยฮูหยินหลิวออกมาตอนที่นางจะออกเรือน ข้าเองก็ไม่อนุญาต”
เสิ่นเจวี๋ยมองพี่สาวของเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ท่าทางออดอ้อนของคำชม เสิ่นเวยอดยิ้มไม่ได้ ชมอย่างใจกว้าง “น้องเจวี๋ยทำดีมาก โตแล้ว รู้เรื่องแล้ว”
บนใบหน้าเสิ่นเจวี๋ยเคอะเขินเล็กน้อย “อันที่จริงล้วนเป็นอาจารย์เกิ่งและอาจารย์ซูที่สอนมาดี ข้าคิดว่า สาวใช้ของพี่ข้ามีสิทธิ์อะไรต้องให้นาง พี่ข้าแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ข้าจะต้องปกป้องไว้ให้ได้”
เสิ่นเวยเองก็หัวเราะเยาะ “อยากได้ฉาฮวางั้นหรือ เหอะ นางกล้านักนะ! ฐานะของฉาฮวาไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าเจ้าเลย” ฉาฮวาเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ในเจียงหนาน เมื่อกลับบ้านเก่า ฐานะของนางก็ไม่ต่างอะไรจากบุตรสาวบ้านสามจวนโหวแห่งนี้
เสิ่นเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ตกใจ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินจางจู้จื่อเอ่ยมาบ้างแล้ว รู้ว่าสาวใช้ข้างกายท่านพี่ล้วนไม่ใช่สาวใช้จริงๆ
หลังจากนั้นเสิ่นเจวี๋ยก็รบเร้าถามพี่สาวเขาถึงสงครามที่ซีเจียง เสิ่นเวยเองก็เล่าให้เขาฟังอย่างเต็มใจ ผู้ชายน่ะ ต้องรู้เรื่องราวภายนอกบ้าง เช่นนี้จะได้ไม่อ่อนแอ
เสิ่นเจวี๋ยฟังด้วยความตื่นเต้นดีใจดวงตาทั้งคู่ลุกวาว หมัดของเขากำแน่น อยากจะรีบโตแล้วไปแสดงความองอาจห้าวหาญในสนามรบจะแย่อยู่แล้ว
เสิ่นเวยอ่านความคิดของเขาออก หัวเราะเบาๆ หนึ่งครา กล่าวชี้แนะด้วยความจริใจ “น้องเจวี๋ย ลูกผู้ชายมีโอกาสสร้างผลงานเสมอ แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกฝนให้ดี มีคำกล่าวไว้ว่า ‘จะตีเหล็กตนก็ต้องมีความสามารถด้วย’ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในสนามรบ หรือว่าการยืนอยู่ในราชสำนัก ก่อนอื่นตัวเจ้าเองก็ต้องมีความสามารถ เช่นนี้คนอื่นก็จะไม่ดูถูกเจ้า เหมือนข้า เหตุใดข้าถึงมีความมั่นใจพอ เหตุใดท่านปู่ถึงรักพวกเราสองพี่น้องมากกว่า ไม่ใช่เพราะว่าข้ามีความสามารถ ช่วยเหลือจวนโหวได้หรอกหรือ”
เห็นสีหน้าเสิ่นเจวี๋ยคล้ายมีความคิดแวบผ่าน ในนั้นคล้ายยังมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกชนิดหนึ่งอยู่ด้วย เสิ่นเวยก็เข้าใจดี กล่าว “น้องเจวี๋ย เจ้าเองก็อย่าโกรธท่านปู่เลย การหาผลประโยชน์เป็นการให้ชนิดหนึ่ง มีราคาในการหาผลประโยชน์ก็ยังดีกว่าไม่มีราคาในการหาผลประโยชน์เลยไม่ใช่หรือ”
เสิ่นเจวี๋ยเอียงคอคิด หลังจากนั้นก็สบายใจลงแล้ว “ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว” ทว่าในใจกลับตัดสินใจเงียบๆ ต่อให้จะถูกใช้ประโยชน์เช่นนั่นก็ต้องใช้ประโยชน์จากเขา ต่อไปนี้เขาจะไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์พี่สาวของเขาอีก แม้ว่าจะเป็นตัวเองก็ไม่ได้
วันที่สองนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวมอบกุญแจคลังส่วนตัวให้เสิ่นเวย “เจ้าสี่ นี่คือของที่ปู่รับปากเจ้า เจ้าคิดว่าจะขนของกลับเรือนเจ้า หรือว่าเจ้าจะส่งคนมารับต่อ”
เสิ่นเวยมองกุญแจในมือแล้วขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่ ท่านให้ข้าจริงๆ หรือ ในมือท่านไม่เหลือสมบัติไว้เลย ไม่กลัวท่านลุงใหญ่และคนอื่นๆ จะอกตัญญูต่อท่านหรือ”
แม้ว่าตอนที่อยู่ซีเจียงนางจะรบเร้าขอเงินทองทรัพย์สินส่วนตัวจากท่านปู่นาง แต่ความจริงแล้วก็เพียงแค่พูดไปอย่างนั้น เตือนท่านปู่นางว่าอย่าลืมเงินที่นางออกไปก็เท่านั้นเอง ในใจนางไม่คิดจะรับมรดกของปู่นางอย่างสิ้นเชิง
เงินออกไปแล้วแย่งกลับมาก็สิ้นเรื่อง เงินเยอะจนถึงระดับหนึ่งก็เป็นเพียงตัวเลข นางขอเพียงแค่ไม่ขาดเงินใช้สอย ไม่ได้เห็นเงินอยู่ในสายตาจริงๆ นางชอบตอนที่เงินเพิ่ม แต่กลับไม่ได้คิดจะเป็นทาสของเงิน นางเพียงแค่แสดงออกว่าเป็นคนตระหนี่มาก อันที่จริงกลับเห็นเงินเป็นเพียงปุ๋ยดิน
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวถลึงตายิ้มติเตียน “ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ เอาเรื่องเหลวไหลที่ไหนมาพูด ลุงใหญ่เจ้าและคนอื่นๆ อกตัญญูก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ หรือว่าเจ้าไม่ใช่หลานข้า ไม่สนใจข้าได้ด้วยหรือ”
เสิ่นเวยมีความสุขขึ้นมาทันที เก็บกุญแจคลังส่วนตัวอย่างรวดเร็ว “แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้ของท่านไม่เลวเลยจริงๆ ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คุณชายใหญ่สวีเป็นจวิ้นอ๋องแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเขาจะต้องมีจวนอื่นอีกแน่นอน ท่านปู่ตามไปอยู่กับข้าเถอะ ที่บ้านมีผู้อาวุโสประหนึ่งมีสิ่งของล้ำค่า หลานจะกตัญญูต่อท่านผู้อาวุโสแน่นอน” เสิ่นเวยยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว มองท่านปู่อย่างตั้งหน้าตั้งตารอ
ในใจนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวอบอุ่น แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉยเขกศีรษะหลานสาวหนึ่งครา กล่าวตำหนิ “เคยได้ยินสินเดิมที่เป็นเงินทอง ร้านค้า ที่ดิน ยังไม่เคยได้ยินสินเดิมที่เป็นปู่มาก่อน เจ้าจะทำให้คนนอกนินทาลุงใหญ่ของเจ้าลับหลังหรือ!” ทว่ารอยยิ้มในดวงตาจะซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไว้ไม่อยู่
เสิ่นเวยเผยสีหน้าผิดหวัง ยุคโบราณก็ไม่ดีตรงนี้ สตรีที่แต่งออกก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป แม้ว่าในบ้านจะไม่มีลูกชาย พ่อแม่ก็ไม่อาจตามลูกสาวคนเดียวไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้
“ท่านปู่ หรือว่าหลานเหลือเรือนไว้ให้ท่านดี ท่านมาพักค้างคืนบ่อยๆ จะได้พักผ่อนหย่อนใจ” เสิ่นเวยเสนอต่อ นางอยากดูแลปู่นางจริงๆ ด้วยความรู้ความสามารถของนาง ชีวิตแต่งงานของนางจะต้องสบายแน่นอน อีกทั้งเสิ่นเวยชอบปู่นางจริงๆ ความคิดเปิดกว้างไม่คร่ำครึ แม้ว่าจะเป็นเพียงแผนการนางก็ยังเปิดเผยให้เห็น
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเขกหลานสาวอีกครั้ง “คุณชายใหญ่สวีมีผู้อาวุโสของตัวเอง ไหนเลยจะมีที่ให้ปู่เจ้าเข้าไปอยู่ อีกทั้งเจ้าจะเป็นใหญ่แทนคุณชายใหญ่สวีได้หรือ” เขาชายตามองเสิ่นเวยแล้วกล่าว
“ผู้อาวุโสของเขาไม่ใช่มีจวนอ๋องหรือไร ไหนเลยจะสนใจจวนจวิ้นอ๋องเล็กๆ ได้” เสิ่นเวยย่นจมูกเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่สนใจ “เหตุใดจะเป็นใหญ่ไม่ได้เล่า หลานท่านหน้าตางดงามราวกับบุปผา ทั้งฉลาดทั้งเก่ง นิสัยก็ดี จัดการชายแก่ป่วยเรื้อรังคนหนึ่งไหนเลยจะทำไม่ได้ เขาแต่งข้าเป็นภรรยาได้ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วจุดธูปไปมากน้อยเพียงใด ทำไมเล่า ยังกล้าไม่เชื่อฟังด้วยหรือ” ศีรษะของเสิ่นเวยเชิดสูง ท่าทางพอใจอย่างยิ่ง ‘เขา’ ผู้นี้ย่อมต้องหมายถึงคุณชายใหญ่สวีแน่นอน
หากคำพูดนี้สวีโย่วได้ยินเข้า จักต้องพยักหน้าด้วยสีหน้าโปรดปรานทั้งใบหน้าแน่นอน ‘ใช่แล้วๆ น้องสี่พูดอะไรก็ถูก’ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด สวีโย่วเองก็บอกไม่ได้ว่าเหตุใดเขาถึงชอบเด็กปีศาจคนนี้มากขนาดนั้น
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวก่ายหน้าผาก ไม่อยากยอมรับเลยว่าเด็กสาวขี้อวดตนคนนี้เป็นหลานสาวของเขา
สุดท้ายเสิ่นเวยก็ไม่ได้ขนมรดกของปู่นางกลับเรือนเฟิงหวา และไม่ได้ส่งคนมารับ เพียงแค่เก็บกุญแจไว้ เสิ่นเวยมั่นอกมั่นใจ “ในเรือนของท่านปู่ มีคนของท่านดูแล หลานยังมีอะไรให้ไม่สบายใจอีก”
พระราชโองการพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้สวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋องมาถึงเรือนจิ้นอ๋องแล้ว ทั้งยังได้ยินว่าฝ่าบาทพระราชทานสวนชิงหยวนที่มีชื่อแห่งนั้นให้เขาเป็นจวนจวิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องสีหน้ายิ้มแย้มยินดี แต่เล็บในแขนเสื้อลับจิกเข้าเนื้อแล้ว
สวนชิงหยวน คือบ้านพักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชสมัยก่อน ข้างในงดงามหรูหรา เพียงแค่สร้างเรือนหลังนี้ก็ใช้เงินไปกว่าล้านตำลึงแล้ว ตอนนั้นฝ่าบาททรงมิอาจตัดใจให้ได้แม้แต่องค์หญิงใหญ่ ตอนนี้กลับพระราชทานให้สวีโย่วเป็นจวนจวิ้นอ๋อง นี่จะไม่ทำให้นางริษยาเคียดแค้นได้อย่างไร
“พี่ใหญ่ น้องยินดีกับท่านด้วย” สวีเยี่ยซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องยิ้มให้สวีโย่วแล้วกล่าว ไม่ว่าในใจเขาจะคิดอย่างไร สีหน้ากลับจริงใจอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วยกมุมปาก กล่าว “ขอคุณมาก” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
โชคดีที่สวีเยี่ยรู้ว่าพี่ใหญ่ของตนมีนิสัยไม่ชอบพูดคุย กลับไม่ได้สนใจ ยุ่งอยู่กับการช่วยขันทีผู้ประกาศพระราชโองการ
สวีเหยียน สวีฉั่งและสวีสิงเองก็เข้ามาแสดงความยินดี โดยเฉพาะสวีฉั่ง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา ทั้งยังหงุดหงิด หากรู้ก่อนว่าคุณูปการสร้างง่ายเพียงนี้เขาเองก็คงจะตามไปซีเจียงด้วย ดูพี่ใหญ่สิ เป็นเพียงแค่คนป่วยออดแอด ไปซีเจียงเที่ยวเดียว กลับมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงจวิ้นอ๋อง เขาร่างกายแข็งแรงกว่าพี่ใหญ่ตั้งเยอะ พี่ใหญ่ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง แล้วเขาจะไม่ได้ได้อย่างไร