เสิ่นเสวี่ยมองพวกนางสามพี่น้องพูดคุยหัวเราะกัน แววตามีความอิจฉาแวบผ่าน โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่เอ่ยถึงสินเดิม พูดถึงสินเดิมเสิ่นเสวี่ยก็โมโหขึ้นมา
ของที่ให้พี่รองคือภาพวาดพู่กันลายคราม ของที่ให้พี่สามคือเงินจำนวนมาก ถึงตาตัวเองกลับเป็นเพียงกระเป๋าเงินไม่กี่ใบผ้าเช็ดหน้าไม่กี่ผืน อีกทั้งยังบอกว่าแม้ของขวัญจะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจอะไรนั่นอีก เหอะ ใครบ้างไม่มีกระเป๋าใส่เงินผ้าเช็ดหน้า สาวใช้ในเรือนนางยังทำสวยกว่าอีกรู้หรือไม่ โมโหจนนางแทบจะโยนกระเป๋าใส่เงินและผ้าเช็ดหน้าใส่หน้านางแล้ว
“พี่รองกับพี่สามพูดเช่นนี้ไม่ได้ พี่สี่ไหนเลยจะลำบากกัน ขอพรที่วัดต้าเจวี๋ยไม่กี่เดือนก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่แล้ว นี่ก็คุ้มค่ามากแล้ว” เสิ่นเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
เสิ่นเวยเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่รู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ อย่าไรเสียข้าก็รู้ว่าฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ก็เพราะว่าข้ามีคุณงามความดี น้องห้าไม่เห็นด้วยต่อฝ่าบาทหรือ หรือว่าเจ้าจะลองไปอยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยสักสองสามเดือน ดูว่าฝ่าบาทจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เจ้าเป็นจวิ้นจู่ได้หรือไม่”
หึ ตอนที่ข้าสู้ตายอยู่ที่ซีเจียงเจ้ายังไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนเลย แต่งงานแล้วยังเอาแต่พูดจาเสียดสีอยู่อีก คอยดูเถอะ มีฮูหยินอวี้แม่สามีผู้นั้น มีทุกข์รอเจ้าอยู่ ข้าไม่จัดการเจ้า ก็มีคนจัดการเข้าอยู่ดี
“เจ้า” เสิ่นเสวี่ย โกรธจนลุกขึ้นยืนทันที แต่กลับถูกเสิ่นอิงกดลงมา เสิ่นซวงเองก็กล่าวต่อ “น้องห้าใจร้อน นั่งลงค่อยๆ พูด นั่งลงค่อยๆ พูด ลุกขึ้นทำไมกัน อี่ชุ่ย ยังไม่รีบรินน้ำชาให้นายพวกเจ้าอีก”
ดวงตาของเสิ่นเสวี่ยดำดิ่ง รู้ว่าเสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นี้กลายเป็นจวิ้นจู่แล้ว ตนเอาใจไปก็ไม่มีประโยชน์แน่นอน ไม่เห็นหรือว่าพี่รองพี่สามต่างก็ประจบประแจงนาง นางลงมาตามบันไดที่พี่รองเสิ่นซวงยื่นให้ แต่ในใจกลับก่นด่า ก็แค่สวดมนต์ไม่กี่ประโยคคัดคัมภีร์พื้นฐานเฉยๆ มิใช่หรือ มีคุณงามความดีอะไรกัน
เสิ่นเวยชายตามองเสิ่นเสวี่ยปราดหนึ่งจากนั้นก็หันหน้าไปพูดคุยกับพี่สามทั้งสองต่อ เสิ่นเสวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งไม่ยินยอม เป็นลูกสาวตระกูลเสิ่นเหมือนกัน เสิ่นเวยมีสิทธิ์อะไรถึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทปูนบำเหน็จเพราะเห็นแก่ท่านปู่หรอกหรือ ท่านปู่ลำเอียงเกินไปแล้วจริงๆ
“อ้อจริงสิ ตอนนี้พี่สี่เป็นจวิ้นจู่แล้ว น้องยังมีเรื่องจะขอท่านอยู่หนึ่งเรื่อง” จู่ๆ เสิ่นเสวี่ยก็กล่าว เห็นสามคนมองตนพร้อมกัน ก็มองเสิ่นเวยอย่างยั่วยุ เอ่ยปากกล่าว “เรื่องเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะออกเรือนน้องชอบใจสาวใช้คนหนึ่งในเรือนพี่สี่ น้องห้ายืนกรานบอกว่าต้องรอพี่สี่กลับมาเท่านั้น เอาแต่บอกว่าไม่ยอมให้ ตอนนี้พี่สี่กลับมาแล้ว น้องยังอยากได้สาวใช้คนนั้นอยู่ พี่สี่คงไม่ใจแคบเพียงนั้นกระมัง”
ภายในห้องเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงมองหน้ากันปราดหนึ่ง ต่างก็คิดว่าหากอุดปากเสิ่นเสวี่ยได้ก็คงจะดี สร้างความหงุดหงิดให้ผู้อื่นเช่นนี้ วันมงคลกลับบ้านมารดายังหาเรื่องพี่น้องได้ นางต้องการจะสร้างปัญหาให้ใครกัน
เสิ่นเวยจ้องมองเสิ่นเสวี่ยครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา “น้องห้า เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกข้าสองคนพี่น้องมีใจเดียวกัน เจ้าก็บอกแล้วว่าน้องห้าไม่ยอมให้เจ้า เหตุใดเจ้าถึงมาเอ่ยปากขอข้าอีกเล่า คิดว่าข้าพูดง่าย หรือตนหน้าไม่อายกันแน่”
เสิ่นเสวี่ยไม่เอ่ยขึ้นมาเสิ่นเวยก็เกือบจะลืมไปแล้วว่านางอยากได้สาวใช้ของตน พอดีเลย ถือโอกาสนี้เรียกร้องความยุติธรรมให้ฉาฮวาเสีย หลังจากเรื่องครั้งนั้น ฉาฮวาก็ไม่ยอมออกจากประตูเรือนอีก วันทั้งวันเอาแต่หลบอยู่ในเรือนเฟิงหวา เพียงแค่ลมพัดยอดหญ้าก็ตกใจอย่างกับอะไรดี ฟังว่านางยังฝันร้ายอยู่หลายวันอีกด้วย
บนใบหน้าของเสิ่นเสวี่ยมีความโกรธแวบผ่าน “พูดเช่นนี้พี่สี่จะไม่ยอมใช่หรือไม่ พี่น้องในใจพี่สี่ยังไม่สำคัญเท่าสาวใช้เพียงคนเดียวงั้นหรือ” พูดไปพลางก็ยังไม่ลืมที่จะกวาดสายตามองเสิ่นซวงเสิ่นอิงครู่หนึ่ง เจตนายั่วยุชัดเจนอย่างถึงที่สุด
“น้องห้าเจ้าพูดจาเลอะเทอะอะไร ยังไม่รีบปิดปากขอโทษพี่สี่เจ้าอีก” เสิ่นซวงเห็นเสิ่นเสวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งแย่จึงรีบตะโกนตำหนินาง
มุมปากเสิ่นอิงมีความเหยียดหยาม แย่งสาวใช้น้องสี่หรือ เอาสิ เอาเลย รนหาที่ตายเองนะ!
“หรือข้าพูดอะไรผิด ก็แค่สาวใช้หนึ่งคนไม่ใช่หรือ แค่นี้ยังตัดใจไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับพี่น้อง” เสิ่นเสวี่ยกลับกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าว “นั่นสิ ก็แค่สาวใช่หนึ่งคน เหตุใดเจ้าถึงต้องยืนกราน แย่งของของข้าแย่งคนของข้าสนุกนักหรือ สามารถเติมเต็มจิตใจที่ดำมืดของเจ้า นำความสุขมาให้เจ้าได้หรือ สังเกตดูสิว่ามีใครบ้างไม่รู้แผนการในใจเจ้า เสิ่นเสวี่ย ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ของของข้า ต่อให้เป็นหญ้าเพียงต้นเดียวก็ไม่มีวันมอบให้เจ้าเด็ดขาด อ้อ นอกจากซื่อจื่อหย่งหนิงโหวนะ นั่นเป็นของที่ข้าไม่อยากได้เอง”
แววตาที่เหยียดหยามนั่นของเสิ่นเวยยุแหย่จนเสิ่นเสวี่ยขาดสติ นางลุกขึ้นกำลังจะวิ่งไปข่วนหน้าเสิ่นเวย แต่ถูกเสิ่นเวยยื่นมือบิดแขนนางไว้ เพียงแค่ผลักหนึ่งครา นางก็ล้มลงกับพื้นแล้ว “เสิ่นเสวี่ย ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เห็นแก่ที่มีพ่อคนเดียวกัน หาเรื่องข้าให้น้อยหน่อย มิเช่นนั้นเจ้าก็จะมีสภาพเช่นแม่เจ้า อี่ชุ่ย นายเจ้าไม่ค่อยสบาย ยังไม่รีบพยุงนางไปพักผ่อนอีก” เสิ่นเวยตะโกนเสียงสูง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เสิ่นเสวี่ยจึงสั่นระริก คาดไม่ถึงว่าไม่ทะเลาะไม่โวยวายยอมให้อี่ชุ่ยพยุงนางออกไปโดยดี กระทั่งกลับไปถึงเรือนของตนนางก็ยังตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ผิด นางมองไม่ผิด นางเห็นไอสังหารในแววตาของเสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นจริงๆ นาง นางกล้าดีอย่างไร
หลังเสิ่นเสวี่ยถูกพยุงออกไปแล้ว เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงก็มองหน้ากัน นางสองคนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าน้องสี่จะไม่ไว้หน้าน้องห้าเช่นนี้ ยังคงเป็นเสิ่นอิงที่ปราดเปรียว ถอนหายใจหนึ่งครา กล่าวตำหนิ “น้องห้าก็จริงๆ เลย ไม่สบายแล้วก็ไม่บอกก่อน โชคดีที่เป็นบ้านของตน หากอยู่ข้างนอกจะน่าอายเพียงใด”
เป็นน้องสาวเหมือนกัน นางย่อมเลือกที่จะพึ่งพาน้องสี่ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่น้องสี่เคยช่วยนางไว้ แค่บรรดาศักดิ์จวิ้นจู่นี้ของน้องสี่นางก็ต้องสร้างสัมพันธไมตรีกับนางอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่านางหวังประจบประแจง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจในบ้านสามีของนาง มีจวิ้นจู่น้องสาวที่สนิทสนมหนุนหลัง ก็มั่นใจได้ว่าชีวิตของนางจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ นางไม่ใช่คนโง่เหมือนน้องห้าผู้นั้นหรอก
คนที่มีความคิดเดียวกันยังมีเสิ่นซวง เดิมความสัมพันธ์ที่นางมีต่อเสิ่นเวยก็ดีอยู่แล้ว ตาชั่งแห่งมิตรภาพย่อมต้องเอียงไปทางเสิ่นเวย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฮูหยินสวี่ที่คอยเป่าหูอยู่ด้วย
มีเสิ่นซวงกับเสิ่นเวยตั้งใจปกปิดความจริงให้กลายเป็นความยุติธรรม ทั้งสามคนก็สนทนาอย่างมีความสุขอีกครั้ง เสิ่นเวยกระดกมุมปาก ดูสิ ดูสิ นี่ก็คือข้อดีของการมีความสามารถ ต่อให้เจ้าจะตบหน้าคนอื่น ทุกคนไม่เพียงแต่ไม่พูดว่าเจ้าหยาบคายไม่ได้รับการสั่งสอน อีกทั้งยังจะยกย่องว่าเจ้าตบได้ดีตบได้สวยอีกด้วย
บรรยากาศในห้องหนังสือเรือนนอกกลมเกลียวอย่างถึงที่สุด นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวมองหลานเขยที่โดดเด่นทั้งสามคน สีหน้าบนใบหน้าเป็นมิตรอย่างยิ่ง พูดคุยกับพวกเขาอย่างมีอัธยาศัยดี ให้กำลังใจให้พวกเขาตั้งใจเรียนหนังสือ ในภายหน้าจะได้รับตำแหน่งในราชสำนัก
สวี่หรงและคนทั้งสองไม่ใช่คนโง่ ในใจรู้ดีว่านายท่านผู้เฒ่าโหวที่นำทัพมาทั้งชีวิตสู้รบมาทั้งชีวิตไม่ใช่คนที่จะเป็นมิตรอัธยาศัยดีอะไรต่างก็รู้สึกตกใจที่ได้รับความโปรดปราน นายท่านผู้เฒ่าโหวปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้ได้จะต้องเห็นแก่ภรรยาของพวกเขาเป็นแน่ ชั่วขณะพวกเขาก็ยิ่งเคารพนายท่านผู้เฒ่าโหวมากขึ้น และตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะปฏิบัติตัวต่อภรรยาของตนเป็นอย่างดี
นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นคนเช่นไร เด็กผู้ชายที่ยังไม่รับราชการไม่กี่คนนี้อยู่ต่อหน้าเขาก็เท่ากับกระดาษขาวหนึ่งแผ่น ทุกอย่างล้วนเขียนไว้บนหน้า ด้วยเหตุนี้ท่าทีของเขาจึงเป็นมิตรมากขึ้น อีกทั้งยังถามคำถามพวกเขาไม่น้อย
ได้ฟังคำตอบของพวกเขาแล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวก็พยักหน้าช้าๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏเงาร่างของคุณชายใหญ่สวีขึ้นมาแวบหนึ่ง เฮ้อ! แม้ว่าคุณชายใหญ่สวีผู้นั้นจะทำให้คนรำคาญใจเล็กน้อย แต่นายท่านผู้เฒ่าโหวก็จำใจต้องยอมรับว่าในบรรดาหลานเขยของเขายังคงเป็นเขาที่โดดเด่นที่สุด เพียงแค่วรยุทธ์กำลังภายในนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็กผู้ชายสามคนนี้จะเทียบได้แล้ว
อันที่จริง นายท่านผู้เฒ่าโหวกำลังพาลใส่คนอื่นอย่างสิ้นเชิง คุณชายใหญ่สวีไหนเลยจะทำให้คนรำคาญใจ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่แต่งงานกับหลานสาวสุดที่รักของเขาหรอกหรือ