งานเลี้ยงกลางวันย่อมแบ่งเป็นสองโต๊ะ เหล่าไท่จวินพาเหล่าลูกสะใภ้หลานสาวนั่งโต๊ะหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าโหวนำลูกชายหลานชายกระทั่งหลานเขยนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ตรงกลางใช้ฉากกั้นแยกส่วน
หลิวรุ่ยฟังที่นั่งอยู่ข้างๆ เหล่าไท่จวินแม้ว่าจะพยายามอดทนอยู่ แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อก็ยังคงแสดงให้เห็นความตื่นเต้นของนาง พี่เขยของญาติผู้พี่ทั้งสามคนสูงสง่า นางมองจนหัวใจเต้นตึกตัก นางแอบมองคนบนโต๊ะเล็กน้อย เห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นที่นางเสียกิริยาจึงแอบถอนหายใจเงียบๆ แต่ดวงตาคู่งามกลับมองไปตรงฉากกั้นอย่างอดไม่ได้
นางคิดว่าตนหลบซ่อนดีแล้ว แต่ความจริงการกระทำนี้ของนางกลับตกอยู่ในสายตาที่เฉียบแหลมของฮูหยินสวี่นานแล้ว ใคร่ครวญเล็กน้อยนางก็รู้ความคิดของหลิวรุ่ยฟัง เด็กสาวคนนี้ถึงวัยที่จะมีความรักแล้วไม่ใช่หรือ แต่ว่า คนเหล่านั้นที่นั่งอยู่หลังฉากไม่ใช่คนที่นางจะใฝ่ฝันได้ ฮูหยินสวี่เบ้มุมปากลง แววตามีความเหยียดหยาม จวนโหวมีลูกสาวตระกูลหลิวสองคนแล้ว นางจะไม่ยอมให้มีคนที่สามอีกเป็นอันขาด เชื่อว่านายท่านผู้เฒ่าโหวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
“วันมงคลของพี่สี่ใกล้เข้ามาแล้ว ชุดแต่งงานต่างๆ ปักเสร็จแล้วหรือยัง หากยุ่งเกินไปก็บอกได้ น้องสามารถช่วยได้” เสิ่นเสวี่ยมองเสิ่นเวยที่ซดน้ำแกงอย่างงามสง่า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกหงุดหงิดใจ อดเอ่ยปากยุแหย่ไม่ได้ นางจำได้ว่าพี่สี่ผู้นี้ของนางไม่เคยทำงานเย็บปักมาก่อน
เสิ่นเวยขี้เกียจแม้แต่จะชายตามองนาง วันดีเช่นนี้นางไม่อยากให้อะไรมากระทบจิตใจ คนอื่นไม่ต้องผู้ถึง แต่อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าท่านปู่หน่อยหรือไม่
โหวฮูหยินฮูหยินสวี่อยากจะตบเสิ่นเสวี่ยสักฉาดหนึ่งยิ่งนัก แต่กลับจำใจต้องยิ้มแย้มปกปิดความรู้สึก “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ลองชิมเผือกนี่สิ เป็นอาหารที่ครัวใหญ่คิดค้นออกมาใหม่ รสชาติไม่เลวเลย ป้าใหญ่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพี่น้อง วางใจก็ดีแล้ว มีป้าใหญ่อยู่ จะต้องจัดการทุกด้านให้เหมาะสมแน่นอน”
ทว่าเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับแสดงสีหน้าน้อยใจ สายตาที่มองเสิ่นเวยก็เศร้าโศกอย่างยิ่ง “เหตุใดพี่สี่ถึงไม่สนใจข้า ข้าเพียงแค่อยากช่วยจริงๆ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ร่ำรวยเท่าท่านพี่ แต่ช่วยท่านพี่ทำงานปักเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มของขวัญแต่งงานสวยๆ ไม่กี่ชิ้นก็ยังคงทำได้” คำว่าสวยๆ สองคำนี้นางตั้งใจเน้นเสียง ราวกับกลัวใครจะฟังไม่ออก
เสิ่นเวยแพ้ให้เสิ่นเสวี่ยแล้วจริงๆ เจ้าโง่เช่นนี้ดีจริงๆ หรือ เจ้าแสดงความโง่ต่อหน้าสามีของเจ้าจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ นางวางถ้วยแกงในมือลงช้าๆ ชายตามองเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่สนใจเจ้า แต่อย่างไรเสียตอนนี้พี่ก็เป็นจวิ้นจู่ที่ราชวงศ์พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แล้ว ชุดแต่งงานชองข้าย่อมต้องรอให้กรมพิธีการส่งมา ต่อให้ของที่ตัวเองเตรียมไว้จะงดงามประณีตเพียงใดก็ใช้ไม่ได้ ส่วนงานอื่นๆ ย่อมมีสาวใช้ทำอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะเลี้ยงพวกนางไว้ทำอะไรเล่า ข้าเป็นนายยังต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนอีกงั้นหรือ น่าขันตายเลย ส่วนคุณชายใหญ่สวีจะรังเกียจที่ข้าไม่ได้ทำเองกับมือหรือไม่ น้องห้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ ไม่สู้เจ้าไปถามแทนข้าว่าเขาแต่งภรรยาหรือแต่งช่างเย็บผ้ากันแน่”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “พูดถึงของขวัญแต่งงาน น้องรังเกียจของขวัญแต่งงานที่ข้าให้เจ้าน้อยไปหรือไม่ นั่นเป็นของที่ข้าเย็บเองกับมือ ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจไม่ใช่หรือ เจ้าวางใจ พี่ไม่เหมือนเจ้า ต่อให้เจ้าจะให้หญ้าพี่ต้นเดียว พี่ก็จะทะนุถนอมมันแน่นอน”
คำพูดที่ไม่รีบไม่ร้อนแต่กลับทำให้เสิ่นเสวี่ยเบ้าตาแดงก่ำได้สำเร็จ ใบหน้าเว่ยจิ่นอวี้หลังฉากกั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ
เหล่าไท่จวินโมโหเล็กน้อยแล้ว ถลึงตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดมากอะไร เจ้าเป็นพี่สาว ใจกว้างหน่อยไม่ได้หรือ จะหาเรื่องน้องสาวเจ้าทำไม” วันดีเช่นนี้ เป็นบาปกรรมอะไรถึงได้สร้างเรื่องวุ่นวายอีก
เมื่อเหล่าไท่จวินพูดออกไป มือซ้ายข้างลำตัวของเสิ่นเจวี๋ยหลังฉากกั้นก็กำหมัดอย่างอดไม่ได้ สีหน้าคนอื่นๆ ก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสวี่หรงกับเหวินเทา ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ท่านย่าไม่เป็นธรรมจริงๆ เห็นๆ กันอยู่ว่าน้องเสวี่ยเอ่ยขึ้นก่อน เหตุใดถึงเป็นข้าที่พูดมากเล่า ข้าไม่ใจกว้างงั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าไม่สนใจนางงั้นหรือ เหยียบจมูกขึ้นหน้า[1]ก็ช่วยไม่ได้ อย่าไรเสียข้าก็เป็นจวิ้นจู่ จะรังแกง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ” เสิ่นเวยไม่ยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ใครทำให้นางไม่มีความสุข นางก็จะตบหน้ากลับไปทันที “หากตกลงไม่ได้ก็ไปให้ท่านปู่ตัดสิน ดูว่าแท้จริงแล้วใครผิดกันแน่” อย่างไรเสียน้ำสกปรกๆ นี้ก็ไม่อาจสาดมาบนตัวนางได้
ใบหน้าของเหล่าไท่จวินอึมครึมลงในชั่วขณะ นี่ไม่เท่ากับโต้เถียงนางต่อหน้าคนทั้งครอบครัวรวมถึงหลานเขยด้วยหรือไร ไม่ได้เด็ดขาด นางกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เรียบเฉยของนายท่านผู้เฒ่าโหวดังขึ้น “ทานข้าวดีๆ เดี๋ยวนี้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ หากเจ้าไม่สบายก็ไม่ต้องกลับมา ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมา จวนโหวเป็นตระกูลฝั่งเจ้า จะตำหนิเจ้าไม่ได้หรือไร”
แม้จะไม่ได้เอ่ยว่าใครถูกใครผิด แต่เจตนาในคำพูดใครฟังก็เข้าใจหมดแล้ว สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยไม่น่าดูอย่างยิ่ง แทบจะนั่งไม่ติดแล้ว แต่กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามออกไป เว่ยจิ่นอวี้เองก็อึดอัดอย่างถึงที่สุด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ภรรยาที่อ่อนโยนมีความสามารถถึงได้หาเรื่องพี่สาวเช่นนี้ เขาลุกขึ้นพยายามจะอธิบายอะไร แต่กลับถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวโบกมือห้ามไว้ สวี่หรงดึงเขานั่งลงอย่างมีไหวพริบ “จิ่นอวี้ มา ชนแก้วกับพี่หน่อย”
เหวินเทาเองก็เขยิบเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “ข้าด้วยๆ วันนี้พวกเราพบกันครั้งแรก ต้องดื่มกันหลายๆ แก้วหน่อย” เหล่าคุณชายจวนโหวเองก็ครึกครื้นตามกัน บรรยากาศรอบโต๊ะก็ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ฝั่งเสิ่นเวยมีฮูหยินสวี่กวักมือเรียก แม้เหล่าไท่จวินจะไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าทะเลาะขึ้นมาต่อหน้าสามีจริงๆ ทำให้นางโกรธจนไม่อยากอาหาร ทานได้เพียงสองคำก็วางตะเกียบลงแล้ว
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ชูตะเกียบชิมอาหารแต่ละอย่าง อืม จานนี้อร่อย จานนั้นก็ไม่เลว เสิ่นเวยเคี้ยวด้วยท่าทางงามสง่า ตั้งแต่ที่ผ่านวันคืนอันขื่นขมที่ซีเจียงมา ตอนนี้เสิ่นเวยก็รู้สึกว่ากินอะไรก็อร่อยไปหมด เสิ่นซวงเสิ่นอิงเห็นเสิ่นเวยกินอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกอยากอาหารอย่างอดไม่ได้ กินเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ส่วนสีหน้าเหล่าไท่จวินกับเสิ่นเสวี่ยก็ยิ่งพะอืดพะอม ฮูหยินสวี่ทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่เอาใจแขกอย่างกระตือรือร้น โน้มน้าวให้ทานเยอะๆ ส่วนเจ้าจะกินหรือไม่ เรื่องนั้นนางก็ไม่สนใจแล้ว
ในขณะเดียวกัน คุณชายใหญ่สวีจวนจิ้นอ๋องกลับทอดถอนหายใจอยู่ในเรือนของตน เขารู้ว่าวันนี้เขยทั้งหลายของจวนจงอู่โหวจะไปเยี่ยมบ้าน เขาเองก็อยากมาเหมือนกัน ไม่ได้เจอหน้าเด็กน้อยนานแล้ว ความคิดถึงของเขาเยอะยิ่งกว่าน้ำในคูเมืองนั่นเสียอีก
ใครจะรู้เด็กน้อยทิ้งท้ายบอกเขาหนึ่งประโยค ‘คนสถานะไม่ชัดเจนเช่นท่านอยู่บ้านไปจะดีกว่า’
สวีโย่วได้ยินคำที่เจียงไป๋นำกลับมาบอก ร่างทั้งร่างก็สับสนวุ่นวาย กอดก็เคยกอดแล้ว จูบก็เคยจูบแล้ว เดือนหน้าก็จะสมรสแล้ว ตนคาดไม่ถึงว่ายังเป็นคนที่มีสถานะไม่ชัดเจนอยู่อีก สวีโย่วโมโหจนกัดฟันกรอด ในใจใคร่ครวญคิดหาวิธีไปสร้างความประทับใจให้เด็กน้อย มิเช่นนั้นด้วยนิสัยเย็นชาของเด็กน้อยคนนั้นจะต้องลืมเขาไปโดยเร็วแน่นอน
แต่ว่าวิธีใดจึงจะได้ผล หรือว่าจะส่งทรัพย์สินเงินทองส่วนตัวไปให้นาง ไม่ได้ วันสมรสนางยังต้องนำกลับมา ไม่สู้รอนางแต่งเข้ามาแล้วค่อยให้นาง อืม นางรักน้องชายนางยิ่งนัก หรือว่าจะเข้าทางเด็กโง่คนนั้นดี จะแนะนำแม่ทัพชื่อดังให้สักคนหรือว่าส่งอาจารย์สอนยุทธ์สักคนให้ดี
สวีโย่วลูบคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง
เจียงไป๋เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณชาย บ่าวชั้นล่างบอกว่าเห็นคุณหนูญาติผู้น้องบ้านฝั่งมารดาของพระชายาเดินเล่นอยู่นอกเรือนพวกเราขอรับ” เดือนหน้าคุณชายของเขาก็จะเข้าพิธีสมรสแล้ว คิดคำนวณแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่มาก อีกทั้งคุณชายยังชอบคุณหนูสี่จวนจงอู่โหวอย่างยิ่ง คุณหนูสี่ก็ยังมีนิสัยดื้อรั้น ไม่อาจให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดตอนนี้ได้ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้จึงรีบมารายงาน
สวีโย่วได้ยินแล้วคิ้วก็ขมวดมุ่น “พวกนางยังไม่ไปอีกหรือ” พิธีสมรสของเขากำหนดวันแล้ว คุณหนูญาติผู้น้องสองคนนั้นยังอยู่ในจวน พระชายามีเจตนาอะไร
“ฟังว่าส่งกลับไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับมาอีกแล้ว” เจียงไป๋รีบบอกข่าวที่ได้สืบมา
“ไล่ไป ให้นางอยู่ห่างจากเรือนพวกเราหน่อย” สวีโย่วรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาเห็นคนที่อยู่ข้างกายพระชายาแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดใจ
ทว่าเจียงไป่กลับหยุดชะงัก ถามอย่างระมัดระวัง “ไล่อย่างไรขอรับ” บ่าวเช่นเขา ไม่มีเหตุผลเหมาะสมจะไปไล่หลานสาวบ้านฝั่งมารดาของพระชายาได้ พระชายาคงจะถลกหนังเขาทิ้ง พระชายากำลังทุกข์อยู่กับการหาจุดอ่อนของคุณชาย หากนางฉวยโอกาสนี้ขึ้นมาไม่ใช่จะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือ
สวีโย่วเองก็คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ดวงตากะพริบวาบกล่าว “เช่นนั้นก็เฝ้าประตูเรือนของเราให้เข้มงวด” เขาคิดครู่หนึ่งจึงก้มกระซิบข้างหูเขาแล้วสั่งสองสามประโยค
ดวงตาของเจียงไป๋เปล่งประกายในชั่วขณะ ยังคงเป็นคุณชายใหญ่ที่มีวิธี ไล่โจ่งแจ้งไม่ได้ แล้วจะไล่ไปแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไร คนที่เหาะเหินเดินอากาศเช่นพวกเขาเหล่านี้มีวิธีรับมือกับสตรีอ่อนแอเยอะถมไป ขัดขา หรือว่าพรางตา ก็ทำได้หมดมิใช่หรือ
เร็วอย่างยิ่ง สวีโย่วก็รู้แล้วว่าพระชายาจิ้นอ๋องมีเจตนาอะไร
[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า การที่ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติ แต่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจ กลับวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น