ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 87-3 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องมงคลในสกุลอวิ๋น

ตัวรถด้านหลังส่งเสียงดังกุกกักๆ บางครั้งยังสั่นไหวจนม่านปลิว แทรกด้วยเสียงร้องโมโหของหญิงสาว ซือเหยาอันถือแส้ม้า พลางหน้าแดงใจเต้น ในหัวอดไม่ได้ที่จะคิดไปเรื่อยเปื่อย ดีที่มีลมตีให้สติคืนกลับ

 

 

แม้เรี่ยวแรงสู้เขาไม่ได้ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชนะตรงที่ยืดหยุ่นได้เหมือนไส้เดือน มุดไปทั่ว มีพลังเหลือเฟือ คราวนี้เปลี่ยนแผน ใช้เล็บทั้งข่วนทั้งขูด จนในที่สุด ซย่าโหวซื่อถิงก็ทนไม่ไหว

 

 

“พอแล้ว” เล่นสนุกพอหอมปากหอมคอ แหย่กันนานเกินจะกร่อยเอา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกผีบังตา พัวพันอีนุงตุงนังกับเขาจนได้ พอเห็นผมเผ้ายุ่งเหยิง ไหนเลยยังเหมือนกุลสตรีอยู่อีก เหมือนอาเม่ากับอาจู้เสียมากกว่า วิญญาณเด็กซนอายุเจ็ดแปดขวบถูกปลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนนั่งชิดไปอีกด้าน จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย แต่ก็รู้สึกแก้มร้อนผะผ่าว ทำไมถึงได้ทำอะไรมักง่ายเช่นนี้ไปได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นแบบนี้นี่

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางยิ่งมุ่งมั่นสืบหาความจริง ก็ยิ่งต้องสกัดกั้น แต่ก็เกรงว่าจะยิ่งกระตุ้นความสนใจของนางเข้า จึงไม่พูดอะไรมากอีก

 

 

บรรยากาศตึงเครียดอยู่สักพัก ก่อนที่จะผ่อนคลายลง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนึกอะไรขึ้นได้ จึงทำแก้มป่องก่อนว่า “ท่านสามช่วยส่งข้าไปถนนจิ้นเป่าหน่อย”

 

 

ข้อหนึ่ง ตอนนี้อารมณ์ตนไม่มั่นคง ไม่ต้องส่องคันฉ่องก็รู้ว่า ทั้งหน้าและคอต้องแดงไปหมด ถ้ากลับบ้าน คนที่บ้านอาจสงสัยได้ บวกกับ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขามาส่งตนกลับจวนด้วยตัวเอง ถ้าคนที่บ้านเห็นเข้า ก็คร้านจะอธิบาย ข้อสอง ตนอยากไปหาหงเยียนอยู่แล้ว เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่มีโอกาสถามไถ่นางสักคำ

 

 

หนังตาซย่าโหวซื่อถิงกระตุก แต่ก็มิได้ถามอะไร

 

 

“เหยาอัน เปลี่ยนจุดหมาย ไปถนนจิ้นเป่า”

 

 

ซือเหยาอันไม่พูดพล่ามทำเพลง จับบังเ**ยนบังคับม้าไปอีกทาง

 

 

พอมาถึงปากทางเข้าถนนจิ้นเป่า ก็จอดรถม้าให้อวิ๋นหว่านชิ่นลง แล้วจากไป

 

 

ด้านเมี่ยวเอ๋อร์ที่ตามอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยตั้งแต่เห็นรถม้าเบี่ยงออกจากเส้นทางกลับจวนรองเจ้ากรมแล้ว จึงบอกให้คนขับรีบตามไปติดๆ สุดท้ายพอเห็นคุณหนูลงจากรถม้าตรงถนนจิ้นเป่า ก็รีบบอกให้คนขับหยุดรถม้า แล้วตั้งใจเพ่งมองดู พอเห็นมือเรียวยาวและแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นออกมาปลดผ้าม่านลง รูปลักษณะของมือ บอกได้ทันทีว่าเป็นผู้ชาย ก็พลันตกใจ

 

 

พอเห็นรถม้าของจวนฉินอ๋องจากไป จึงรีบวิ่งลงจากรถม้า ดึงมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ พลางชี้ไปด้านหลัง

 

 

“คุณหนูใหญ่ อย่าบอกนะว่าคนในรถคือฉินอ๋อง”

 

 

ยังจะเป็นใครได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาบอกคนขับรถม้าให้รออยู่ปากทาง ก่อนหันเดินไปที่ร้าน

 

 

พูดก็พูด ร้านบนถนนจิ้นเป่า ตนซื้อมาได้สักพักแล้ว แต่ก็เคยมาดูแค่ครั้งเดียวตอนก่อนซื้อ โดยฉวย

 

 

โอกาสแว่บมาตอนไปจวนญาติผู้พี่ และต่อมาก็มอบหมายให้หงเยียนกับคนงานจัดการตกแต่งแบบครบวงจรใน

 

 

เบื้องต้น บวกกับเห็นญาติผู้พี่มาช่วยเป็นครั้งคราว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่กังวลใจอะไร

 

 

วันนี้พอมาเห็น ก็พิสูจน์ได้ว่า นางเชื่อคนไม่ผิด หงเยียนแต่งร้านและดูแลร้านได้เป็นอย่างดี จัดเรียงสินค้าในร้านได้อย่างทั่วถึง แม้ยังมีลูกค้าไม่มาก เงียบไปสักหน่อย แต่ทุกการเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้เพียงทดลองขายดูก่อน ไม่รีบอะไร

 

 

ปลายฤดูใบไม้ร่วง เต็มไปด้วยใบไม้แห้งร่วงหล่น ป้าสี่กำลังใช้ไม้กวาด กวาดใบไม้อยู่ด้านล่างบันได พอเห็นแม่นางน้อยสวมเสื้อผ้าสวยงามเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้คนหนึ่ง ก็แย้มยิ้มทักทาย “คุณหนูอวิ๋น”

 

 

แล้วจึงเดินเข้าไปบอกหงเยียนกับสวี่มู่เจิน

 

 

พอหงเยียนรู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นออกจากวังแล้ว ก็ดีใจ วางงานในมือลง วันนี้นางสวมชุดกระโปรงหน้าม้าสีฟ้าอมเขียวทับด้วยเสื้อคลุมลายดอกตัวเล็ก รวบผมมวยต่ำ ปักปิ่นหยกไว้อันหนึ่ง เห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก อากัปกิริยาสวยใสมีเสน่ห์ เปล่งรัศมีเถ้าแก่เนี้ยออกมาบ้างจริงๆ  

 

 

ตามด้วยผู้ช่วยที่มาเป็นประจำอย่างสวี่มู่เจิน

 

 

ทั้งหมดเดินเข้าหลังร้าน นั่งลงบนโต๊ะกลมที่ใช้ทานข้าว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นถามถึงเรื่องของหงเยียน ค่อยรู้ว่าเมื่อวานหลังจากที่นางออกจากวัง กลับถึงตรอกดอกบัว ช่วงเย็นก็มีเจ้าหน้าที่ศาลสูงสองคนมาเชิญนางไปที่ศาลก่อนฟ้ามืด พอได้พบผู้พิพากษา นางก็เล่าคดีความในปีนั้นให้ฟังอีกครั้ง และลงนามรับรองในคำให้การ จวบจนดึกดื่นถึงถูกปล่อยตัวออกมา

 

 

พอฟังถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโล่งใจ หนึ่งในอำนาจหน้าที่ของศาลสูงก็คือ รับผิดชอบเกี่ยวกับการรื้อฟื้นคดีเก่า โดยมีผู้พิพากษากำกับดูแล และเมื่อเขาลงมือสอบสวนนางด้วยตนเองเป็นขั้นแรก ก็แสดงว่าได้รับคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท จึงไม่กล้ารีรอ ทำให้การล้างมลทินให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ดังนั้นหงเยียนจึงมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดขณะพูด

 

 

“…ใต้เท้าผู้พิพากษาบอกว่า อีกสองวัน รอคำให้การจากพยานอย่างพระมาตุลา ก็จะนำพยานหลักฐานเก่าๆ ที่เก็บไว้เมื่อสามปีก่อน พร้อมกับรวบรวมคำให้การของชาวบ้านถังโจวที่มีต่อบิดาและแม่ทัพนายกองของถังโจว ขึ้นทูลเกล้าให้ฝ่าบาททรงพิจารณา แล้วขอความเห็นจากเหล่าขุนนางในท้องพระโรงอีกครั้ง จึงจะถือว่าพลิกคดีได้สำเร็จ”

 

 

“ดีจัง” เมี่ยวเอ๋อร์โล่งอก ดีใจแทนหงเยียน

 

 

หงเยียนตาเป็นประกายพลางยิ้มหวาน

 

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่ ข้าไหนเลยจะมีโอกาสได้ล้างความอัปยศ ได้มีวันฟ้าใสกับเขาบ้าง รอให้เรื่องตัดสินเรียบร้อย ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดการร้านให้คุณหนูใหญ่อย่างเต็มที่ ตอนนี้ที่ร้านยังเงียบอยู่ ก็ได้แต่โทษข้าที่ทุ่มเทให้ไม่มากพอ…”

 

 

การที่หนิงซีฮ่องเต้เข้ามาตรวจสอบและจัดการคดีนี้ด้วยองค์เอง แสดงว่าทรงให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก เช่นนี้เป็นอันว่า หงเยียนอาจต้องเข้าวังอีกครั้ง…มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมาทันที เหลือบมองป้ายชื่อหน้าร้านที่โล่งโจ้ง แล้วว่า

 

 

“ข้ามีวิธีที่จะทำให้ร้านเป็นที่รู้จักแล้ว ตอนเจ้าเข้าวัง ก็จัดการเองตามความเหมาะสมก็แล้วกัน เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าไม่ต้องแนะมากหรอก”

 

 

แล้วจึงหงายมือกระดิกนิ้วชี้เรียก พอหงเยียนจึงยื่นหน้าเข้าใกล้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

 

 

สวี่มู่เจินเห็นสองสาวกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้ยินอะไรสักคำจึงร้อนใจ

 

 

“พวกเจ้าคิดยั่วข้าหรือ พูดอะไรไม่ให้ข้าได้ยิน”

 

 

พอหงเยียนเห็นสวี่มู่เจินก่อกวน ก็ค้อนใส่เขาไปทีหนึ่ง ก่อนหันหาคุณหนูใหญ่ ขอตัวไปทำงานต่อ แล้วจึงลุกเดินไปหน้าร้าน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหงเยียนมีท่าทีเฉยๆ กับญาติผู้พี่ ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยเคยได้ยินเมี่ยวเอ๋อร์ว่า ขณะอยู่ในร้าน แม้ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ แต่ก็เป็นการแหย่กันเล่นสนุกๆ เท่านั้น ความจริงสามัคคีกันดี ท่าทีของทั้งสองในวันนี้จึงคล้ายไม่ถูกต้อง

 

 

หลังจากออกไปดึงป้าสี่มาถามดู ป้าสี่ก็รู้สึกแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ป้องปากว่า

 

 

“เมื่อวานตอนหงเยียนถูกคนในวังพาเข้าวัง คุณชายน่าจะเป็นห่วง จึงบอกให้คนที่จวนสกุลสวี่ขับรถม้าไปรอนางที่หน้าประตูวัง ตรงถนนย่านพระราชฐาน แต่พอทั้งสองกลับถึงร้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดจากัน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่มา เกรงว่าทั้งสองไม่มีทางนั่งโต๊ะเดียวกันหรอก”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย จึงดึงญาติผู้พี่ไปหลังบ้าน สำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถาม

 

 

“พี่รังแกหงเยียนใช่ไหม! ข้าขอบอกว่า อย่างไรหงเยียนก็เป็นลูกสาวขุนนาง และเป็นผู้จัดการในร้านข้า พี่จะหยอกเย้ากระเซ้าแหย่ลูกสาวบ้านไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่นาง สมภารไม่กินไก่วัด หรืออยากให้ข้าพูดซ้ำ”

 

 

จู่ๆ สวี่มู่เจินก็ถูกข่มขู่ซะงั้น

 

 

“ข้ารังแกนาง? ทำอย่างกับวรยุทธ์ของนาง ข้าไม่เคยลิ้มลองมาก่อนงั้นล่ะ เมื่อวานตอนข้าเห็นนางเข้าวัง ไม่รู้ทำไมใจถึงรู้สึกเหมือนหม้อโดนน้ำมันร้อนๆ เทใส่อย่างไรอย่างนั้น กลัวว่านางไปแล้วจะไม่หวนกลับ จะไม่มีใครดูร้านให้เจ้าอีก จึงบอกให้รถม้าไปรอนางที่หน้าประตูวังโดยเฉพาะ พอเห็นนางออกมา ก็รับนางกลับไง”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดสักพัก “ข้ารอบคอบขนาดนี้…ผลที่ได้ก็คือ พอถึงร้านแล้วนางกลับไม่สนใจข้า”

 

 

ช่วงที่หยุด เล่าข้ามเหตุการณ์ไป ต้องมีอะไรที่พูดไม่ออกแน่

 

 

พอเห็นสวี่มู่เจินกระพริบตา อวิ๋นหว่านชิ่นก็จ้องเขม็ง สวี่มู่เจินจึงเกาหลังศีรษะ กระพริบขนตายาวปริบๆ

 

 

“…นางกอดข้าทีนึง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ จ้องมองต่อ “แล้วพี่ล่ะ”

 

 

“…ผลักออก” น้ำเสียงกระอักกระอ่วน คล้ายเด็กที่ทำความผิด แต่ไม่เสียใจสักเท่าไหร่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset