ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 89-4 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่านต้นฤดูหนาว

ถ้าบอกว่า เรื่องเว่ยอ๋องสูญเสียอำนาจ ส่งผลกระทบต่อคนสกุลอวิ๋นต่างกันตามแต่ละบุคคล อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเป็นผู้ที่ได้เปรียบ ไม่มีใครมาเข้มงวดกวดขัน จึงฉวยโอกาสตอนไปบ้านท่านลุง แวะไปร้านที่ถนนจิ้นเป่าบ่อยครั้งขึ้น

 

 

พอหงเยียนนำอักษรพู่กันของฮ่องเต้กลับมาที่ร้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็บอกให้นางเอาไปทำเป็นป้ายอักษรสีทองบนพื้นดำที่ร้านตีเหล็ก เสร็จแล้วก็แขวนป้ายชื่อร้าน เซียงหยิงซิ่ว ขึ้น เป็นการเปิดร้านอย่างเป็นทางการ

 

 

การนี้ ประตูหัวล้านที่ว่างมานาน จึงมีป้ายชื่อร้านพระราชทานเสียที วันที่ทำป้ายเสร็จแล้วยกขึ้นแขวนนั้น ดึงดูดความสนใจจากคนที่อยู่ในร้านแถบนั้น ทั่วทั้งถนนและตรอกซอกซอย พากันวิ่งมาดูอย่างคึกคัก ทำเอาอาหลางเด็กในร้านยิ้มพลางว่า

 

 

“มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่เจ้าของร้านถึงไม่รีบเปิดร้าน ที่แท้ก็กั๊กของดีไว้ตอนท้ายนี่เอง”

 

 

ยังไม่ถึงสามวัน ป้ายชื่อร้านพระราชทานของร้านก็เป็นที่กล่าวขวัญถึงครึ่งเมืองหลวงเห็นจะได้ ทำให้สตรีบ้านผู้สูงศักดิ์หลายท่านเดินทางมากับบ่าว เพื่อเชยชมอักษรพู่กันของฮ่องเต้ กระทั่งยังมีกวีและบัณฑิตมาเที่ยวชมโดยเฉพาะด้วย

 

 

แรกเริ่มหงเยียนดีใจไม่หยุด แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ค้นพบว่า หลายต่อหลายคนมิได้มาซื้อของ แต่มารับพลังมังกรเป็นหลัก บางคนยืนอยู่ได้ทั้งวัน จนหงเยียนมีสีหน้าไม่สู้จะดี พออวิ๋นหว่านชิ่นรู้ ก็บอกว่าอย่าไปไล่พวกเขา ให้คิดเสียว่าพวกเขาช่วยทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น

 

 

ผ่านไปหลายวัน หน้าร้านก็ค่อยๆ เงียบลง ผู้ที่มามุงดูน้อยลง แต่ผู้ที่มาซื้อของ กลับมากขึ้นจริงๆ

 

 

พูดได้ว่า การค้าไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก หงเยียน ป้าสี่ และอาหลางยุ่งกว่าเมื่อก่อนมาก

 

 

วันนี้ พอเมี่ยวเอ๋อร์มา หงเยียนจึงลองถามเรื่องลงสินค้าเพิ่มดู

 

 

แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยับยั้งไว้ก่อน

 

 

ด้วยเห็นว่าผู้คนที่มากันมากมายในตอนนี้นั้น กว่าครึ่งเป็นเพราะสนใจในตัวป้ายพระราชทาน

 

 

ซึ่งนางเพียงยืมลมตะวันออกของราชวงศ์ หรือยืมความนิยมที่ผู้คนมีต่อราชวงศ์ เปิดร้านเอาฤกษ์เอาชัยเท่านั้น

 

 

นางเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยเฉพาะตอนนี้ ร้านกำลังเป็นที่รู้จัก จึงมีร้านประเภทเดียวกันไม่น้อยจับตาดูอยู่ แต่ละคนรู้ดีว่า ร้านเซียงหยิงซิ่วก็แค่มีป้ายชื่อร้านอักษรพู่กันพระราชทาน แต่ไม่ใช่ร้านของเชื้อพระวงศ์ ถ้าคุณภาพสินค้าไม่ดีพอ ลูกค้าก็จะไม่เข้าร้านอีก ค่อยๆ ดูกันก่อนดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี

 

 

และหนึ่งในผู้ที่มาชมอักษรพู่กันของฮ่องเต้ ก็มีเถ้าแก่อ้วน เจ้าของร้านคนเดิมรวมอยู่ด้วย เขากำลังจะกลับบ้านนอก จึงมาซึมซับรัศมีราชวงศ์เสียหน่อย

 

 

พอดีวันนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ร้าน พอเห็นเถ้าแก่อ้วนพูดคุยกับหงเยียน ก็เอะใจ เลิกผ้าม่านขึ้น บอกใบ้ให้

 

 

หงเยียนเชิญเขาเข้าไปหลังร้าน อยากจะลองถามถึงหุ้นส่วนอีกคนที่ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าดู

 

 

เถ้าแก่อ้วนเป็นตัวแทนที่อยู่ตรงกลาง ตอนรับส่งเอกสารลงนามน่าจะเคยเห็นหน้าค่าตากัน และรู้ดีว่าหุ้นส่วนอีกคนเป็นใคร

 

 

เถ้าแก่อ้วนเองก็เดาได้แต่แรกแล้วว่า มีคนอยู่เบื้องหลังหงเยียน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กสาว จึงมองใบหน้าเด็กสาวตรงหน้าให้ชัดๆ อีกครั้ง จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก ไม่แปลกใจแล้วว่า เหตุใดหุ้นส่วนอีกคนถึงได้แอบช่วยนาง แม้คนผู้นี้ไม่ได้ห้ามไม่ให้ตนพูด แต่ตนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงยิ้มแล้วว่า

 

 

“คุณหนูก็คิดเสียว่า ได้เจอกับผู้ใหญ่ใจดีที่ไม่ประสงค์ออกหน้าก็แล้วกัน”

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาไม่ยอมบอก ก็ไม่คิดบังคับ ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ นำเงินหนึ่งตำลึงทองยัดใส่มือเขา

 

 

เถ้าแก่อ้วนยิ้มยิงฟันอย่างชอบใจ “คุณหนูเพิ่งเป็นเถ้าแก่เนี้ยได้ไม่นาน ราศีของของนักธุรกิจก็จับเสียแล้ว แต่…” เขาผลักตำลึงทองกลับไป ยังคงยิ้มตาหยี “ไม่มีผลงานจะรับค่าจ้างได้อย่างไร”

 

 

ไม่รับค่าจ้าง ก็หมายความว่า เถ้าแก่อ้วนบอกไม่ได้จริงๆ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว เป็นบุคคลสำคัญล่ะสิ ถึงได้หลบๆ ซ่อนๆ อยู่เบื้องหลัง ทำเป็นไม่ออกหน้า

 

 

เถ้าแก่อ้วนเป็นคนชมชอบสาวงามอยู่เป็นทุนเดิม ช่วงแรกที่หงเยียนมาต่อราคา เขาก็เอาแต่มองหน้าสวยๆ ของนาง ตอนนี้พอเห็นสาวน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงเริ่มใจอ่อน ลูบคางไปมา ก่อนพูดเสียงต่ำ

 

 

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องมาจ้องข้า อย่างกับข้าติดค้างเจ้าอย่างไรอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวข้ากลับบ้านนอกไป จะไม่สบายใจเปล่าๆ จริงๆ นะข้าไม่เคยเห็นหน้าคนซื้อร้าน เคยเจอแต่คนสนิทของเขาสองครั้ง หงเยียนก็เคยเจอ คนสนิทของเขาเพียงกำชับข้าว่า แต่นี้เป็นต้นไป นายเขาหรือเจ้าของร้านอีกคนให้ข้าจัดการเรื่องทางนี้ทั้งหมด จัดการดีก็ดีไป ไม่ดีก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้จักนายเขาหรอก แต่ถ้าขาดทุน โดนเก็บภาษี หรือนักเลงแถวนี้มาหาเรื่อง ค่อยบอกเขา นายเขาพอจะช่วยเรื่องเงินและหาคนมาจัดการให้ได้”

 

 

เสียงของเถ้าแก่อ้วนเบาลงเล็กน้อย อมยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางว่า

 

 

“เอ่อ ถ้าคุณหนูเจอท่านผู้นี้เมื่อไหร่ ก็แนะนำให้ข้ารู้จักด้วยก็แล้วกัน”

 

 

ทั้งหมดที่พูดมา ก็เท่ากับมอบร้านทั้งหมดให้คุณหนูผู้นี้ดูแล และยังสามารถตามล้างตามเช็ดเรื่องต่างๆ ให้นางได้ทุกเมื่อ จัดการปัญหาที่น่าปวดหัวทุกประเภทในธุรกิจ ไม่สิ ไม่ใช่ท่าน นี่มันเทพเซียนมาจุติชัดๆ ถ้าบอกว่าไม่รู้จักคุณหนูผู้นี้ ใครจะเชื่อ

 

 

“กะล่อนละ พอเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เชิญท่านออกไปนั่งด้านนอก!”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าเถ้าแก่อ้วนยิ่งพูดก็ยิ่งทำท่าเจ้าชู้ จึงผายมือ ส่งเขาออกไป

 

 

เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยว่าเป็นรัชทายาท ตอนนี้ก็ยิ่งได้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า ธุรกิจเช่นนี้ ถ้าไม่มีเส้นสาย ทำไม่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ

 

 

พอพูดถึงรัชทายาท ก็นึกถึงเจี่ยงยิ่นขึ้นมา พอสวี่มู่เจินมาที่ร้าน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงลากเขาเข้ามาด้านใน พูดคุยไม่กี่คำ ก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องเจี่ยงยิ่น ถามเขาว่า ตอนนี้เจี่ยงยิ่นยังอยู่ที่เรือนเหยาหวาในตำหนักบูรพาหรือเปล่า

 

 

ตอนสวี่มู่เจินพบเจอรัชทายาท ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับอาการป่วยของพระมาตุลาเจี่ยงอยู่เหมือนกัน เพียงแต่แปลกใจ

 

 

“ญาติผู้น้อง เจ้าถามถึงพระมาตุลาเจี่ยงไปทำไม”

 

 

เรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดญาติผู้พี่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด

 

 

สวี่มู่เจินอ้าปากค้าง พอทำความเข้าใจเรียบร้อย ค่อยว่า

 

 

“เดี๋ยว…ตอนนี้เจ้า กำลังสงสัยว่าพระมาตุลากับท่านอาเป็น…”

 

 

แรกเริ่มเดิมที นางกลัวว่าจะถูกคนเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ จนส่งผลกระทบถึงตนกับอวิ๋นจิ่นจ้ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแต่เพียงว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่กระจ่าง ตนก็อึดอัดใจ

 

 

อย่าว่าแต่ตอนที่เบาะแสสำคัญปรากฏตัว ญาติผู้พี่ไม่ได้อยู่กับตน ตอนนี้ตนจึงกลัวว่าญาติผู้พี่จะปฏิเสธจึงดึงแขนเสื้อเขาไว้

 

 

“อย่างไรพี่ช่วยข้าสืบดูหน่อยได้ไหมว่า พระมาตุลาจะออกจากวังเมื่อไหร่ ข้าอยากจะพบเขาเป็นการส่วนตัวสักครั้ง”  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset