ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 122-2 ละโมบสินเดิมเจ้าสาว? ฝันไปเถอะ!

 

 

โอ้ ใช่แล้ว ยังมีชุดผลึกจินเฝ่ย พอได้ฟัง คิ้วถงซื่อก็หายขมวด

 

 

ในใจของเหลียนเหนียงก็เกิดเสียงกึกก้องขึ้นมา ยังซาบซึ้งที่อวิ๋นหว่านชิ่นจ่ายเงินจำนวนสี่พันตำลึงให้ หลายวันก่อนเห็นขบวนล่าสัตว์วสันตฤดูของอวิ๋นหว่านชิ่นกลับมา ไม่เพียงแต่ได้สานสัมพันธ์กับท่านอ๋อง ยังได้ของโบราณหายากจำนวนหนึ่งมาอีกด้วย จึงยิ่งครุ่นคิดหนัก คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไยดูดทรัพย์ได้ขนาดนี้นะ จนสามารถสะสมทรัพย์สินได้จากทั่วทุกหัวระแหง

 

 

ทว่าชุดผลึกจินเฝ่ยนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นต้องนำมาเป็นสินเดิมเจ้าสาวแน่ สีหน้าเหลียนเหนียงหม่นหมองเล็กน้อย

 

 

หากสามารถอยู่แบบนี้ต่อไปได้ ตอนนี้รอบๆ สวนหลังเรือนสกุลอวิ๋น ก็จะไม่สามารถพูดถึงเรื่องฮูหยินได้ เหล่าไท่ไท่ไม่ช้าก็เร็วคงได้กลับบ้านเกิด อนุฟางก็อ่อนแอลง ส่วนฮุ่ยหลานก็เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง จึงคิดว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้รับความเอ็นดู นายท่านพูดกับตนคำไหนคำไหน ที่ยอมตามใจ ราวกับเป็นเป็นคนสำคัญ…จึงเจ็บปวดไปถึงข้างในกระดูก สิ่งของเหล่านั้น อาจจะตกมาอยู่ในกำมือตนเองก็เป็นได้…เหลียนเหนียงคิดพลางกัดริมฝีปาก เกิดความฮึกเหิมขึ้นเล็กน้อย

 

 

 

 

 

เรื่องน่ายินดีก็มาเยือนในเวลาเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้รับข่าวคราวจากบิดา ในคดีหลินรั่วหลาน แม้อวี้โหรวจวงจะเป็นผู้ต้องสงสัย ทว่าในตอนนี้ได้กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว เนื่องจากที่อวี้เหวินผิงขอความเมตตา ในที่สุดหนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงกดดันคดีนี้ ให้สรุปคดีว่าเป็นอุบัติเหตุไป

 

 

แม้หลินต้าเยี่ยจะไม่พอใจนัก ทว่าประการแรกองค์ฮ่องเต้รับสั่งมาแล้ว ประการที่สองมองดูสภาพของอวี้โหรวจวงนั่น ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการตายสักเท่าไหร่ ก็ถือว่ายังพอใจได้บ้าง ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

 

 

ในตอนนี้อวี้โหรวจวงถูกดูแลอยู่ที่ในเรือนที่ถูกแยกออกจากเรือนใหญ่สกุลอวี้อย่างโดดเดี่ยว ห่างไกลฝูงชน ไม่ออกจากนอกเรือน ซึ่งจะมีแค่ลวี่สุ่ยคอยดูแลคนเดียว

 

 

แต่ก่อนเยี่ยจิงรวบรวมสตรีผู้ดีที่งามเพรียบพร้อมมามากมาย พอยามค่ำคืน ไก่ที่ขนร่วงในสถานที่ลับตาคนก็เปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครสนใจ ทุกวันนี้ก็เอาแต่ยังยิ้มน้ำไหลเท่านั้น อวิ๋นหว่านชิ่นที่ได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบ

 

 

แต่ชูซย่ากลับยังไม่หายโกรธ “สมน้ำหน้าอวี้โหรวจวง! ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่นางยังไม่โดนตัดหัว ก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้ว “หากนางไม่ได้ฆ่าเล่า?”

 

 

“นางไม่ได้ฆ่าหรือเจ้าคะ?” ชูซย่างงงวย คุณหนูจะบอกว่ายัยอวี้โหรวจวงถูกปรักปรำรึ แต่ก็เป็นไปได้ จากที่โดยปกติแล้วอวี้โหรวจวงไม่ว่าจะการการใดก็จะมีหลักการที่ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ยิ่งไปกว่านั้นการโดนปรักปรำก็ไม่ได้น่าเห็นใจด้วย “เป็นไปได้ที่จะโดนปรักปรำ แล้วใยไม่ปรักปรำคนอื่นกันเล่า ใยต้องปรักปรำนาง? หรือเพราะว่าคนเกลียดนางเยอะ! หรือว่า อวี้โหรวจวงไม่ได้เจตนาจะให้คุณหนูใหญ่กันใส่รองเท้าเล็ก[1]กัน เมื่อเย็นนั้นไม่ใช่ว่ายังไปที่ห้องคุณหนูใหญ่เพื่อตัดไม้ข่มนาม ที่ตบหน้าเมี่ยวเอ๋อร์รึ หากนางไม่ได้ร้ายกาจ ผู้อื่นก็คงไม่สงสัยนางกันหรอก! ก็อย่างที่ผู้คนว่ากัน สองคำ กรรมเวร!”

 

 

ยังไม่ทันกล่าวจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปที่เรือนนอกของจวนอวี้” จวบใกล้งานแต่งเร็วๆ นี้แล้ว อีกทั้งขบวนล่าสัตว์วสันตฤดูก็เพิ่งกลับมา ถงซื่อก็กลัวนางจะเหนื่อย จึงให้นางพักอยู่ที่เรือนอิ๋งฝูดูแลเอาใจใส่ให้มีชีวิตชีวา แล้วให้เลี่ยงการน้อมทักทายวันสองวัน และไม่ให้ใครมารบกวนนาง ช่วงนี้จึงเงียบสงบ เลยแอบออกไปอย่างไม่ให้ใครทราบ

 

 

ชูซย่าที่เห็นคุณหนูใหญ่จริงจัง จึงไม่ได้ซักถามให้มากนัก แล้วนำเสื้อคลุมและหมวกเหวยเม่า[2]ให้นางเปลี่ยน แล้วพานางออกไป

 

 

 

 

 

ธุรกิจครอบครัวสกุลอวี้ใหญ่มาก เรือนนอกจวนยังมีจนนับไม่ถ้วน เกินครึ่งจะเป็นที่ได้รับพระราชทานรางวัลจากองค์ฮ่องเต้สองสามรุ่น อวิ๋นหว่านชิ่นรู้จากคำพูดบิดาว่าอวี้โหรวจวงพักอยู่จวนที่ติดกำแพงทิศตะวันตกที่ตั้งอยู่ลับตาคน

 

 

สกุลอวี้ที่กำเนิดสตรีสติฟั่นเฟือนผู้นี้ ย่อมขายขี้หน้าอยู่แล้ว จึงส่งไปในที่ลับตาคนมากที่สุด

 

 

ด้านในจวน มีหญิงสาวผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนศีรษะปักดอกเสาเย่า[3]สีแดง ที่ในมือถือข้าวฟ่างหางหมา ปล่อยผมสยาย กำลังยิ้มแย้มอย่างทึ่มทื่อ พลางพูดจาไม่รู้เรื่อง “…เจ้าเป็นข้าวฟ่างหางหมาที่อยู่ในหินที่แตก ส่วนข้าคือดอกโบตั๋น เหอะเหอะ…ข้าคือดอกโบตั๋น!” พูดจบก็โยนข้าวฟ่างหางหมาลงพื้นอย่างแรง พร้อมกับเหยียบย่ำสองสามที แล้วเน้นเสียงเอ่ยว่า “ฮึ! เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้าได้! สตรีสกุลชั้นต่ำจากบ้านนอก บิดาที่เป็นขุนนางก็มีสายเลือดคนบ้านนอก! แล้วข้าคือใครน่ะรึ? ท่านป้าของข้าเป็นถึงฮองเฮาแห่งต้าเซวียน ท่านปู่ของข้าเป็นขุนนางใหญ่ บิดาของข้าก็เป็นถึงสมุหนายก! ฮึ! ข้าจะเหยียบย่ำข้าวฟ่างหางหมาอย่างเจ้าจนเน่าเปื่อย!”

 

 

 

 

 

ด้านนอกลาน ชูซย่าที่กำลังมองท่าทางของอวี้โหรวจวงในตอนนี้ ก็ส่ายศีรษะ “สภาพเช่นนี้ ยังจะทำสันดานหมาชอบกลับไปกินขี้[4] นางที่นิสัยเสียเช่นนี้ ที่คนอื่นสามารถแย่กว่านางได้ แต่ไม่สามารถดีกว่านางได้ มีวันนี้แหละที่ไม่ได้แปลกอะไร”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พูดอะไร เพียงจับจ้องอย่างเคร่งเครียดไปที่หญิงสติฟั่นเฟือนที่อยู่ด้านในกำแพง

 

 

สิบวันก่อน อวี้โหรวจวงยังยโสโอหังและไม่มองคนที่อวดเงินทองแม้แต่น้อย ไปก่อเรื่องทุกที่ แล้วกดดันตัวเองไม่ให้ไปยอมแพ้ บัดนี้กลายมีสภาพเช่นนี้ สุดท้ายแล้วบนโลกก็ไม่มีสิ่งใดจีรังอย่างโดยแท้จริง จุดสำคัญคือ ชาติที่แล้วเดิมทีผู้นี้ควรจะได้เป็นฮองเฮาที่วังหลังต้าเซวียน

 

 

ในใจของนางก็เต้นแรงขึ้นมาโดยฉับพลัน เกิดใหม่อีกครั้ง ก็พยายามยับยั้งพวกเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว อาทิเช่นฮูหยินไป๋ที่ตั้งครรภ์ หลีกเลี่ยงการฉากแต่งงานที่แสนเศร้าโศกที่จวนโหวได้ รวมถึงคว้าตัวน้องชายกลับมาดูแลได้ ป้องกันน้องชายจะถูกเลี้ยงเอาแต่ใจ ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมในจวน กลับคาดไม่ถึงว่า ประวัติศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจากเดิมทีที่อวี้โหรวจวงควรจะเป็นฮองเฮา

 

 

อวี้โหรวจวงจะไม่ได้เป็นฮองเฮาจริงๆ รึ?

 

 

ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิด เสียงสตรีที่น่ารำคาญก็ปลิวตามกระลมออกมาจากด้านในกำแพง

 

 

ลวี่สุ่ยที่นั่งบนบันได ถกแขนเสื้อขึ้น เห็นอวี้โหรวจวงไม่เข้าห้องเสียที จึงส่งเสียง “คุณหนู ด้านนอกหนาวจะตายนะเจ้าคะ เข้าไปข้างในเถอะ”

 

 

“เจ้าโวยวายอะไร!” อวี้โหรวจวงที่ก้มลงเด็ดข้าวฟ่างหางหมาก้านหนึ่ง มองอาฆาตใส่ลวี่สุ่ย “ข้าไม่เข้าไป! ข้าจะเหยียบข้าวฟ่างหางหมา เหยียบจนตาย!”

 

 

แต่เดิมลวี่สุ่ยเป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายของสมุหนายกผู้มั่งคั่ง ก็นับว่าได้อยู่ดีกินดี บัดนี้โดนผลกระทบกับนางไปด้วย กลัวแค่ว่าจะอีกครึ่งชีวิตจะต้องอยู่ในจวนเล็กๆ คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ นาง ก็ทนมามากพอแล้ว จึงลุกขึ้นยืน คร้านจะยุ่งกับนางแล้ว ตนเองจึงเข้าไปข้างใน

 

 

เมื่อเห็นชานเรือนไม่มีคน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบอกให้ชูซย่ารออยู่ที่ด้านนอก แล้วเข้าไปด้านใน

 

 

นางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองดูอวี้โหรวจวงอย่างเงียบๆ ในมืออวี้โหรวจวงถือข้าวฟ่างหางหมาอยู่ พอเห็นมีหญิงสาวเข้ามา ก็จ้องอยู่สักพัก กลับมีสีหน้าที่งงงวยอย่างเห็นได้ชัด

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเด็ดข้าวฟ่างหางหมามาหนึ่งก้าน หนีบเล่นระหว่างนิ้วอย่างไม่สนใจ เดินเข้าใกล้นาง แล้วนั่งลงบนตอไม้ มองไปยังที่ข้างหน้า ราวกับพูดกับตัวเอง “งูที่อยู่ใต้ผ้าห่มของหลินรั่วหนาน เจ้าเป็นคนเอาไปวางใช่หรือไม่”

 

 

“งู…งู…” มืออวี้โหรวจวงอ่อนแรง จนข้าวฟ่างหล่นลงมา ลูกตาดำที่หดเล็ก ก็ขยายใหญ่ขึ้น สมองที่ได้รับการกระตุ้น ก็ราวกับนึกถึงอดีตอย่างกระท่อนกระแท่น กลับเสมือนเชือกได้ขาดผึ่ง แล้วพลันปิดศีรษะ ฟุบตัวลงพลางคำรามว่า “งู! พวกเขามาเจองูที่กระเป๋าของข้า! ฮองเฮาบอกว่าข้าฆ่าคน! ไม่ใช่ข้านะ ไม่ใช่ข้า…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ใส่รองเท้าเล็ก  ใช้แสดงถึงการใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือเบียดเบียนผู้ที่มีสถานะต่ำกว่า

 

 

[2] หมวกเหวยเม่า  เดิมเป็นเครื่องแต่งกายของชาวหู แรกเริ่มเรียกว่ามี่หลีทำจากผ้ามัสลินสีดำ ขอบห้อยม่านตาข่ายจนถึงคอ ปิดบังบริเวณใบหน้าไว้

 

 

[3] ดอกเสาเย่า  เสาเย่าเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม ดอกของพืชชนิดนี้มีขนาดใหญ่และสวยงาม มีสีม่วงอมแดง ขาวอมแดง และสีขาว ปลูกไว้เป็นไม้ประดับ ใช้รากเป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวด ทำให้เลือดลมเดินสะดวก

 

 

[4] สันดานหมาชอบกลับไปกินขี้  หมายถึงคนที่แก้นิสัยเดิมที่ไม่ดีของตัวเองไม่ได้ พอเวลาผ่านไปก็หวนกลับไปทำนิสัยเดิมๆ อีก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset