ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 129-2 กามโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ให้กำเนิดบุตรชาย

 

 

เขาเลิกคิ้ววางชามลงชั่วคราวและมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น เห็นเพียงนางมีรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ข้าเห็นดอกฮว๋ายอยู่ในป่าเรือนกระจกหลังสวนผลซิ่ง ข้าขอให้แม่อวี๋เด็ดมาสักสองสามดอก”

 

 

อวี๋ซื่อยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอวิ๋นให้ข้าเด็ดเกสรของดอกฮว๋าย บดเป็นผงและใส่ลงไปในยาหม้อ ว่ากันว่าเกสรของดอกฮว๋ายมีรสหวาน กินได้และสามารถระงับรสขมได้ มันดีกว่าน้ำผึ้ง นอกจากนี้ดอกฮว๋ายยังมีฤทธิ์ในการทำให้เลือดเย็นลง ซึ่งตรงกับอาการขององค์ชายสาม ไม่ทราบว่าองค์ชายสามรู้สึกเช่นไรบ้างเจ้าคะ แม้ว่ายาดีจะขมแต่หากขมเกินไป ดื่มเป็นเวลานานก็จะทำให้ปวดกระเพาะได้ หากคุณชายสามคิดว่าเป็นไปได้ รอให้ข้าน้อยพูดกับหมอหลวงเหยา ต่อไปยาขององค์ชายสามจะเพิ่มสมุนไพรบางส่วน”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น มองไปที่ถ้วยยาหม้ออีกครั้งและขมวดคิ้ว “รสชาติมัน…”

 

 

“รสชาติทำไมรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเขา

 

 

“มีบางอย่างผิดปกตินิดหน่อย…” เสียงเขาเบามากจึงฟังไม่ออก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยกชามยาที่เขาดื่มขึ้นจิบ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกลิ่นของดอกฮว๋าย สดชื่นไม่ระคายเคืองจมูกและลำคอ มีอะไรผิดปกติที่ไหนกัน!

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยกริมฝีปากขึ้นจิบยาในถ้วยจนแห้ง หยิบผ้ามาเช็ดปาก “มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ…มีรสหวานอยู่ในยาน่ะ”

 

 

ที่แท้ก็จงใจแกล้งกัน อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบกริบไม่พูดไม่จา! เขานี่นับวันก็ยิ่งตีสองหน้า…กับตนเองอย่าง กับคนอื่นอีกอย่าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

 

อวี๋ซื่อมองลักษณะท่าทางขององค์ชายสาม ไม่ต้องบอกว่าคุณหนูอวิ๋นเพิ่มดอกฮว๋ายเข้าไป ต่อให้ในยาเพิ่มหญ้าหางสุนัขลงในหนึ่งหยิบมิ เกรงว่าองค์ชายสามก็ยังพยักหน้าแล้วกลืนมันลงไป นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาดื่มจนหมดอย่างเชื่อฟังและไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วจึงพูดว่า “จากนี้ไปอาการบาดเจ็บของท่าน มีข้าและหมอเหยาช่วยกันรักษา รอยแผลบนร่างกายของท่านข้าจะรักษาเอง” พูดจบก็เดินตามอวี๋ซื่อออกไป

 

 

คำพูดนี้ ทำไมถึงน่าดึงดูดถึงเพียงนี้เล่า ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงรอให้ถึงหลังวันแต่งงานไม่ไหวแล้ว ความคิดพลันผุดขึ้นในสมอง นางจะใช้วิธีการใด…กับแผลบนร่างกายของตนหนอ คิดแล้วก็ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะออกจากจวน แต่ได้ยินเสียงเขาเรียกจากข้างหลัง ได้ยินแค่เสียงเบาๆ ของเขา “วันที่เหลือก็ออกจากเรือนให้น้อยลงหน่อย” เรื่องไม่คาดคิดในวันนี้ เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง สุดท้ายตัวเองก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างดูแลนางได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน หากมีครั้งหน้า ไหนเลยจะโชคดีเช่นนี้อีก วันนี้ยังไม่ทันได้เข้าประตูจวนอ๋อง เขาก็ยังพะวงใจอยู่ตลอด กังวลว่าจะเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นกับนางอีกครั้ง

 

 

นางเข้าใจความหมายของเขา จึงพยักหน้า และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านทำอะไรกับมู่หรงไท่บ้าง”

 

 

ดวงตาของเขาสะท้อนแววล้ำลึก “เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่คุ้มค่าให้ข้าลงมือ ยิ่งไม่มีคุณสมบัติพอจะให้ข้าไปเอาใจเขา ข้ามีความคิดของข้าเอง ฟ้ายังไม่เช้าแล้ว รีบกลับเถิด มิเช่นนั้นที่บ้านจะว่าเอา”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเม้มปาก ที่ท่านไม่ลงมือ เพราะถ้าลงมือทำด้วยตัวเองยังจะร้ายแรงกว่าน่ะสิ คงไม่ใช่มีชีวิตอย่างอวี้เฉิงกังคนนั้นหรอกนะ ที่ท่านไม่เคยลงมือ เพราะให้คนตาบอดจัดการแทนท่าน สุดท้ายก็จับคนตาบอดกลับมา ให้มีความดีความชอบอีกครั้ง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่สิ้นเปลืองดีละสิท่าน

 

 

ออกจากสวนผลซิ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นไปบนรถม้า ซือเหยาอันยกแส้ขึ้นและควบม้าออกไป

 

 

สวนผลซิ่ง ในห้อง ซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่หลังหน้าต่างบานใหญ่ มองดูรถม้าขับออกไป จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันตัวเดินไปที่เตียง แสงอาทิตย์ตกดินที่สาดส่องจากนอกหน้าตาเข้ามาจนเกิดเงาร่างสูงอันหล่อเหลาจากมุมมองทางด้านหลัง โค้งตัวลงไป

 

 

หรุ่ยจือตอนนั้นคิดแค่เขาคงอยากจะนั่งเท่านั้น จึงลองถามดู “องค์ชายสามท่านเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ ท่านพักผ่อนเถิด บ่าวจะให้เรียกให้คนเตรียมรถม้ามาอีกคัน จะรีบกลับจวน…”

 

 

ระหว่างที่พูด ร่างของชายหนุ่มพลันคดงอ มือข้างหนึ่งหยันเตียงเอาไว้ ยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดปาก

 

 

“องค์ชายสาม!” หรุ่ยจือสะดุ้งเฮือก อวี๋ซื่อที่ส่งคนเสร็จอยู่ข้างนอกก็เห็นเช่นกัน

 

 

ไม่ต้องคิดอะไร รีบเข้าไปช่วยด้วยกัน จับชายหนุ่มนั่งลง และเห็นว่ามีเลือดสีดำเปื้อนอยู่ระหว่างฝ่ามือของเขา เลือดที่เพิ่งจะอาเจียนออกมา

 

 

“ไม่เป็นไร” ซย่าโหวซื่อถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อวี๋ซื่อมอบให้ เช็ดเลือดออกจากปากของเขาอย่างใจเย็น

 

 

น่าจะเหน็ดเหนื่อยจนทำให้โรคกำเริบขึ้นจริงๆ! หรุ่ยจือกัดริมฝีปาก อย่างที่พูดไว้ เวลานี้จะออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน เห็นสภาพองค์ชายสามเช่นนี้แล้ว เกรงคงจะรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพราะเห็นว่าคุณหนูตระกูลอวิ๋นยังอยู่ จึงพยายามอดกลั้นไว้

 

 

อวี๋ซื่อตรวจชีพจร พบว่าปกติไม่มีปัญหาอะไร จึงวางใจลงมากขึ้น แล้วเอ่ยว่า “อาจจะเพราะวันนี้ตอนเช้าโอสถอสรพิษล้างไปได้ครึ่งเดียว ยังไม่ทันชะล้างให้สะอาดก็รีบออกมา กอปรวิ่งไปวิ่งมาด้วย ใจร้อนเกินไป ส่งผลกระทบ…ไม่มีอะไร ข้าจะไปต้มยาให้องค์ชายสามอีกรอบก่อน กดเอาไว้ก่อนล่ะ หลังกลับจวนไปค่อยให้หมอดูอีกทีก็ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะไปบอกเหยาย่วนพั่น ให้เขามาที่นี่” พูดจบก็รีบออกไปทันที

 

 

หรุ่ยจือนำยาให้ซย่าโหวซื่อถิงดื่ม กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจึงรีบเรียกรถม้า ยามราตรีได้เยื้องกรายมาถึงแล้ว ต้องกลับจวนฉินอ๋องเสียก่อน

 

 

*

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมาจวนสกุลอวิ๋น พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว

 

 

ชูซย่าก็มารอที่หน้าประตูก่อนแล้ว พอเห็นคุณหนูอยู่เบื้องหน้า ก็เล่าเรื่องทางด้านเรือนของอวิ๋นหว่านเฟยให้อวิ๋นหว่านชิ่นได้วางใจ และบอกว่าได้เก็บของมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ คนขับรถม้าตระกูลอวิ๋นที่ไปก็เป็นชายชรา ซึ่งตอนนั้นรอที่หน้าปากซอย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งหลังจากที่ชูซย่ากลับจวนสกุลอวิ๋นคนเดียวไปก่อนนั้น ก็ได้กำชับเด็ดขาดให้เก็บเป็นความลับไว้ คนขับรถม้าจะไม่พูดอะไรแน่นอน

 

 

ชูซย่าก็เล่าสถานการณ์ของปี้อิ๋งและอวิ๋นหว่านเฟยอีกครั้ง จนสุดท้ายก็เอ่ยว่า “…เหล่าไท่ไท่กลับมานานแล้ว ต้องรู้ที่ท่านไม่อยู่แน่ๆ เลย เคยถามบ่าวไป บ่าวก็บอกว่าคุณหนูรองล้มป่วย ท่านจึงไปเยี่ยมนางที่เรือน เพิ่งจะขอให้ฮูหยินไปดูสักครั้ง พอถามว่าไฉนท่านยังไม่กลับ ก็รีบส่งคนให้ไปตามท่าน โชคดีที่บ่าวกลับมาเร็วหน่อย จึงพูดแค่ว่าท่านไปเยี่ยมคุณหนูรองเสร็จ ก็ไปที่จวนท่านลุงต่อ หากตอนนี้เหล่าไท่ไท่รอจะซักถามอยู่ คุณหนูใหญ่ก็อย่าพูดอะไรผิดแผกไปนะเจ้าคะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นผงกศีรษะ ยิ่งคนรู้เรื่องนี้น้อยมากเท่าไรก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น โดยเฉพาะคนภายในครอบครัวสองสามคนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ โดยเฉพาะไอ้คนที่แทบอดใจรอฟังเสียงตนพ่ายแพ้ไม่ไหวนั่นน่ะ ขณะที่ฟังชูซย่าเล่าไปด้วย นางก็เดินเข้าเรือนตัวเองไปด้วย พอเล่าจบ ก็ขมวดคิ้วว่า “แล้วอวิ๋นหว่านเฟยตอนนี้เล่า”

 

 

“ถูกสาวใช้ส่วนตัวของฉินอ๋อง ที่นามว่าหรุ่ยจืออะไรนั่นน่ะเจ้าค่ะ วาดจนราวกับมีตะขาบไต่บนหน้า เสียโฉม เลือดไหลไม่น้อย ตอนที่บ่าวออกมา ยังสลบเหมือดอยู่เลยเจ้าค่ะ ให้เจ็บเจียนตายเช่นนี้แลดีที่สุด!” แล้วชูซย่าก็สบถอย่างร้ายกาจออกมา

 

 

เจ็บเจียนตายรึ น่าเบื่อจะตายไป! เดิมทีตอนนี้อวิ๋นหว่านเฟยก็ดูเป็นแค่อนุนอกเรือนที่ไม่ต้องการให้ใครพบเห็น ที่ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นระหกระเหินขนาดนี้ กรรมตามสนองแล้วก็แล้วไป ในเมื่อนางยังต้องการจะกดดัน วันนี้ยังคิดจะทำเรื่องชั่วๆ เช่นนี้อีก…เช่นนี้แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นนับว่าเป็นคนมีความยุติธรรมผู้หนึ่ง เจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ข้าก็ยิ่งจะมอบแก่เจ้าอย่างสาสม พร้อมกับใส่เครื่องปรุงเพิ่มด้วย ให้เจ้าได้ลิ้มรสมากขึ้นอย่างไรเล่า

 

 

แต่ว่าในขณะนี้ ต้องไปรับมือกับท่านย่าเสียก่อน ยังมีอีกคนหนึ่ง…

 

 

ในขณะที่คิดอยู่ สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นก็หม่นหมองลง ความเคลือบแคลงบนทางเดินก่อนหน้าก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว รู้สึกเย็นวูบที่ขาอ่อน เป็นไปตามคำกล่าวโบราณที่ว่า เสือที่ไม่คำราม ก็คิดว่าเป็นแมวป่วย ไร้ซึ่งการแต่งแต้มหมึกและสีสัน จนตนเองสมควรต้องเปิดโรงย้อมผ้า ก้าวฝีเท้าไปอย่างเชื่องช้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบา “ชูซย่า หลังจากท่านย่าจุดธูปไหว้พระกลับมาที่จวน ใครเป็นคนไปพูดคนแรกว่าข้าไม่อยู่จวน”

 

 

ชูซย่าพลันครุ่นคิด แล้วนึกย้อนกลับไป “เหมือนจะเป็น…อนุรองกระมัง จำได้ว่าเหมือนอนุรองจะเตือนฮูหยินอาวุโสให้เรียกตะโกนหาท่าน นำคำทำนายที่เสี่ยงเซียมซีมาให้ท่าน” 

 

 

เป็นดังที่คาดไว้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset