ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 131-1 ส่งน้ำแกงเชียนจิน อวิ๋นเอ้อร์เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

อวิ๋นหว่านชิ่นและเหลียนเหนียงพาชูซย่าและตงเจี่ยไปยังด้านหลังของหอบรรพบุรุษ  

 

 

หลังจากที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทางจวนก็ได้มีการซ่อมแซมและขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น หอบรรพบุรุษทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เบี่ยงออกจากเรือนหลักไป เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนึงได้ทำลายความเงียบสงบที่ไร้ชีวิตชีวามานานลง  

 

 

หลังคาแคบๆ สีน้ำตาลเข้ม บานประตูไม้หยาบหนามีร่องรอยด่างดำเป็นจุดๆ ที่หน้าประตูมีแปลงผักเล็กๆ อยู่สองแปลง ที่มีผักปลูกไว้เล็กน้อยเพียงพอให้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้มีอาหารกินครบสามมื้อ ที่มุมนึงของเรือน มีอ่างล้างเท้าที่ใส่จานชามที่ยังไม่ได้ล้างไว้ บนผิวน้ำมีคราบมันลอยอยู่ อีกด้านหนึ่งมีเสาไม้ไผ่สกปรกปักอยู่ บนนั้นมีเสื้อผ้าฤดูหนาวของหญิงสาวสองสามชิ้นตากอยู่ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในรอบปี แต่เสื้อนอกที่ตากอยู่กลับเป็นเสื้อนอกชั้นเดียวที่บุด้วยผ้าสีหม่นหมองที่มีปุยฝ้ายหลุดรุยออกมา  

 

 

กลิ่นของไม้จันทน์บางเบาลอยออกมาจากร่องรอยแตกของประตู ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงาวังเวง ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่เป็นตำหนักซางซูที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็คงคิดว่าที่นี่เป็นอารามชีในป่ารกร้างเป็นแน่  

 

 

คนกลุ่มนั้นหยุดที่หน้าประตู เมื่อการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวหายไป ทำให้อากาศในบริเวณนั้นเหมือนจะหยุดนิ่งลง  

 

 

เหลียนเหนียงมองไปที่ประตู พลางนึกถึงครั้งแรกที่ตนได้ก้าวเข้ามาที่จวนนี้ ในตอนนั้นฮูหยินท่านนี้ก็ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ มันไม่ใช่ที่ๆ คนจะอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ แต่พูดไปแล้ว ถ้าฮูหยินไม่ถูกจับขังล่ะก็ ตัวนางเองก็คงไม่มีโอกาสได้แต่งเข้าบ้านตระกูลอวิ๋นด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจที่สั่นระลอกเหมือนก้อนหินที่โยนลงในทะเลสาปก็สงบลง มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่แฝงด้วยความดูถูกเล็กน้อย หากเป็นตนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นเหมือนไป๋ฮูหยินล่ะ จะพาตนเองมาถึงจุดนี้เช่นนั้นหรือไม่ ช่างโง่งมนัก  

 

 

เมื่อตงเจี่ยเห็นอนุภรรยาหยุดเดิน และ จ้องมองไปที่ห้องที่เก่าทรุดโทรมด้วยสายตาซับซ้อน ก็นึกว่าคงประหม่าที่ได้เจอไป๋ฮูหยินครั้งแรก ก็ก้าวเข้าไปใกล้หูที่ประดับต่างหูผีเสื้อหยกสีกล้วยไม้สีม่วงพลางปลอบประโลมว่า “เอ้อร์เหนียงวางใจเถอะ ฮูหยินท่านนี้ของเราไม่ได้ถือตัว ไม่ได้มียศศักดิ์อะไร ไม่ต้องกลัวนะ”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองเหลียนเหนียง หลังผ่านเข้าสู่ฤดูหนาว ตู้เสื้อผ้าและกล่องเครื่องประดับของนางก็เต็มปรี่ไปด้วยของล้ำค่ามากมาย เรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนก็เหมือนกับอนุฟางและฮุ่ยหลาน และ ในบางครั้งบิดาก็มักจะแอบมอบของดีๆ ให้นางเป็นครั้งคราว นอกจากนี้นางยังพาตงเจี่ยไปย่านการค้าเพื่อซื้อของใช้สำหรับผู้หญิงที่ร้านค้าดังหรูหราเหล่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็ลงบัญชีของเขาไว้  

 

 

ตั้งแต่กลับมาจากวัดในวันนั้น บิดาทั้งรักและทะนุถนอมเหลียนเนียงเป็นอย่างมาก ฮุ่ยหลานกล่าวกับนางแบบลับๆ ว่า แม้แต่เครื่องประดับที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเก็บไว้เป็นสินสอดให้กับอวิ๋นหว่านเฟยก็ยกให้นางไปจนหมด  

 

 

ในวันนี้เหลียนเหนียงแต่งกายด้วยเสื้อคลุมผ้าแพรต่วนสีแดงที่เต็มไปด้วยลายผีเสื้อสีเงินนับร้อย กระโปรงยาวจับจีบผ้าแพรต่วนสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ปักลายดอกอวี้หลัน ริบบิ้นผ้าไหมสีฟ้าไพลินผูกติดอยู่ที่เอวเรียวเล็กราวกิ่งหลิวที่ยังไม่ผลิดอก เครื่องประดับบนผมยิ่งขับเน้นใบหน้าให้ดูงดงาม —— ตรงกับความตั้งใจของอวิ๋นหว่านชิ่นพอดี  

 

 

เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้น อาเถาเดินออกมาจากห้องมาต้อนรับคุณหนูใหญ่และเอ้อร์เหนียงเข้าไปในห้องด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ   

 

 

สภาพภายในห้องนั้น เลวร้ายกว่าที่ทั้งสองคาดคิดไว้นัก ห้องขนาดเล็กที่มีเพียงเตียงแคบๆ ติดกับผนัง ผ้าห่มบางๆ และมีโต๊ะไม้สี่ขาสำหรับรับประทานอาหาร และเก้าอี้หนึ่งตัว และ ยังมีศาลเจ้าแขวนอยู่บนกำแพงหันหน้าไปทางทิศเหนือ บนศาลมีพระโพธิสัตว์และธูปสองสามดอกเสียบอยู่ในกระถางด้านหน้า  

 

 

กลิ่นหอมของไม้จันทน์ภายในห้อง ก็ไม่สามารถลดกลิ่นอายความตายที่เหมือนอยู่ในสุสานนี้ได้  

 

 

เปียผมของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ไม่มีแม้แต่เครื่องประดับซักชิ้น นางสวมเสื้อคลุมเนื้อหยาบ เพราะว่าสถานที่อยู่นี้ ทำให้การซักผ้าไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ นางจึงสวมใส่แต่เสื้อผ้าสีเข้มแลดูเหมือนหญิงชรา ในตอนนั้นเองนางก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งที่อยู่หน้าศาลเจ้า เอียงหน้าไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น พยายามยกยิ้มบางเบาดูเจียมเนื้อเจียมตัว  

 

 

“คุณหนูใหญ่มาแล้ว อาเถา ยังไม่ไปเอาเก้าอี้มาอีก”  

 

 

เพราะว่าทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำมายาวนาน และหลังการแท้งก็ไม่ได้ดูแลบำรุงสุขภาพให้ดี ทำให้น้ำเสียงที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยใช้ทั้งบางเบาและอ่อนแอ ไร้พลังเฉกเช่นวันวาน และเหมือนว่าจะลืมคำสาปแช่งครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกับอวิ๋นหว่านชิ่นไป  

 

 

เมื่ออาเถายกเก้าอี้มา อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองไปด้านหลังเห็นสาวน้อยที่อยู่ข้างหลังนั้นมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น สาวน้อยที่เสมือนดอกไม้แรกแย้ม แต่งกายงดงาม ใบหน้าดูอ่อนหวานและนุ่มนวล แต่พอดูลึกๆ แล้ว ช่วงคิ้วกลับรวมเอาไว้ซึ่งความใจร้อนและเสน่ห์ของนางจิ้งจอก ตามแบบฉบับของอนุภรรยา  

 

 

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า นี่คือม้าผอม[1]ที่นายท่านรับเข้ามาภายหลัง ได้ยินมาว่ามีสามคน นอกจากคนที่โชคไม่ดีที่ถูกขายไปนั้น ก็มีเหลืออีกสองคนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นอนุภรรยา และนี่ก็คงเป็นหนึ่งในสองคนโปรดของนายท่านนั่นเอง  

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกะพริบดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกแห่งความตาย ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและไอสองครั้งด้วยทสีหน้าไร้อารมณ์  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองดวงตาของฮูหยินไป๋ที่มองผ่านตนเองไปยังเหลียนเหนียง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “คนที่มาเยี่ยมมารดากับข้าในวันนี้ คือเอ้อร์เหนียงคนใหม่ของบ้าน มารดาคงจะไม่เคยเจอ การที่ข้ามาในครั้งนี้เพื่อมาบอกกล่าวเรื่องการแต่งงานให้มารดาฟัง ถือว่าเป็นการช่วยข้าเตรียมงานแต่งงานเสีย” พูดจบพลางหันกลับไป “เอ้อร์เหนียง คาระวะฮูหยินเสียสิ”  

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกยิ้มบางเบา อนุภรรยาคนนี้คนนี้เพิ่งจะมาบ้านอวิ๋นได้ไม่กี่วัน นางก็สามารถทำให้คุณหนูใหญ่ออกมาช่วยจัดงานแต่งงานให้เสียใหญ่โตได้ ย้อนนึกถึงเมื่อตอนที่ตนเจริญรุ่งเรือง ในตอนนั้นทำได้เพียงแค่ย่อตัวลงข้างหลังนายท่าน ทำหน้าที่ของนางบำเรอที่จะต้องอุ่นเตียงเพียงเท่านั้น ไม่มีที่ว่างให้เข้าไปก้าวก่ายเรื่องที่ภรรยาพึงกระทำ จนกระทั่งสวี่ฮูหยินสิ้นชีวิตถึงจะมีโอกาสเข้าไปจัดการดูแลเรื่องในจวนได้  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูปฏิกิริยาของแม่เลี้ยงและเหลือบมองไปที่เหลียนเหนียงอีกครั้ง  

 

 

เหลียนเหนียงเห็นแก้มตอบผอมแห้งราวกับกระดูกเดินได้ของไป๋ฮูหยิน ดูอ่อนแอและสงบเสงี่ยม ถูกขังไว้ราวกับแกะตัวนึง พอคิดได้เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในแง่ของอายุ นางอยู่ในวัยแรกรุ่น ส่วนฮูหยินมีอายุแทบจะเป็นสาวรุ่นแม่ ในแง่ของความงามใบหน้า ตนเองนั้นเรียกว่างดงามหมดจด ส่วนฮูหยินท่านนั้นเกือบจะสูญเสียความงามไปกับการแท้งบุตรและสภาพที่อยู่ในตอนนี้ไปเกือบทั้งหมด ใบหน้าเหลืองอมโรค ผอมแห้งราวกับกระดูก ผมแห้งกร้าน ดูหดหู่ถึงที่สุด  

 

 

แม้แต่อวิ๋นหว่านชิ่นยังกล่าว “บอกกล่าวทักทาย” ก็แสดงสถานะของไป๋ฮูหยินได้อย่างดีไม่ใช่หรือ  

 

 

เหลียนเหนียงผ่อนคลาย ขยับเอวเรียวบาง โน้มตัวไปข้างหน้า ดวงตาสีนวลคู่นั้นจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้า น้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลดั่งน้ำ แต่แววตาแผงไว้ด้วยความดูถูกอยู่เล็กน้อย “อนุเหลียนเหนียง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบฮูหยิน ฮูหยินถ่อมตนเกินไปแล้ว” แม้ว่านางจะเป็นเพียงสะใภ้ที่เหล่าไท่ไท่และนายท่านทอดทิ้ง แต่อย่างไรก็มีชื่อเป็นถึงฮูหยินของแห่งเจ้ากรม เหลียนเหนียงรู้สึกเช่นนี้ก็ถือว่าให้เกียรตินางแล้ว  

 

 

แค่มารยาทพื้นฐานยังไม่ได้แสดงต่อนางเลย จะมาชมว่าถ่อมตัวได้อย่างไร ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองไปยังอนุภรรยาคนนี้อย่างไม่แยแส สีหน้าไม่มีความหึงหวงหรือความโกรธ แล้วก็ยิ้มและพูดว่า “อาเถา ในเมื่อเอ้อร์เหนียงอยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่รีบเอาเก้าอี้มาให้อีก”  

 

 

เก้าอี้เพียงตัวเดียวภายในห้อง ก็มีอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่แล้ว อาเถาจึงไปเอาเก้าอี้ที่จากเรือนด้านนอกเข้ามา “เอ้อร์เหนียง เชิญนั่ง”  

 

 

เหลียนเหนียงเห็นคราบที่น่าสงสัยบนเก้าอี้ เพราะกลัวว่าจะเปื้อนเสื้อผ้าของนาง ขมวดคิ้ว ตะโกนเรียกสาวใช้ที่ประตู “ตงเจี่ย มานี่หน่อย”  

 

 

ตงเจี่ยเข้ามาอย่างเร่งรีบตามคำสั่งของเจ้านาย ตงเจี่ยเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดบนเก้าอี้ เหลียนเหนียงเห็นว่าเก้าอี้สะอาดดีแล้วจึงนั่งลง  

 

 

สีหน้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูแปลกไป แต่เพียงแวบมาแล้วผ่านไป ภายใต้แขนเสื้อที่หยาบกร้าน กำปั้นที่ผอมซูบกลับบีบไว้แน่น  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บสายตาที่สังเกตไป๋ฮูหยิน มองไปทางเหลียนเหนียง จึงหัวเราะแล้วพูดคุยอย่างสนิทสนม “เอ้อร์เหนียง ดูเสื้อตัวนี้สิ ตัวโคร่งใหญ่ มีการเย็บลวดลายที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม รูปแบบแตกต่างจากของผู้หญิงเมืองหลวงเล็กน้อย เหมือนจะไม่เคยเห็นเอ้อร์เหนียงใส่มาก่อน น่าจะซื้อมาจากร้านผ้าอี๋เจินสินะ ถ้าเปื้อนเข้าล่ะก็คงซักออกยากแน่ๆ จะระมัดระวังเป็นพิเศษก็ไม่แปลกนัก”  

 

 

เหลียนเหนียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็แหม ตอนต้นเดือนนายท่านว่าจ้างช่างตัดชุดที่มีชื่อเสียงในแถบทางใต้ ช่างคนนั้นชำนาญในการทำชุดที่ทันสมัยเป็นที่นิยม แม้แต่สาวๆ ในเมืองหลวงก็ยังต้องจองคิวกัน นายท่านจึงได้สั่งให้พ่อบ้านโมไปสั่งซื้อให้ข้า เพิ่งไปรับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง”  

 

 

 “โอ้โห เสื้อผ้าที่งดงามนี้ถูกตัดเย็บอย่างประณีต แต่ถึงจะมีวัตถุดิบพร้อมแล้วก็ตาม แต่ยังคงต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน นี่ไม่กี่สิบวัน เพิ่งจะวางมัดจำต้นเดือน ตอนนี้ก็เสร็จจนนำมาสวมใส่ได้แล้วหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นแสร้งทำเป็นแปลกใจเล็กน้อย  

 

 

เหลียนเหนียงแก้มแดงระเรื่อ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตัวข้าเองก็บอกนายท่านว่าอย่าได้เร่งรีบ แค่เสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวนี้ในตู้ก็มีจนใส่ไม่หมดแล้ว ขาดไปชุดนึงก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่นายท่านกล่าวว่าช่างตัดเสื้อที่มีฝีมือนั้นหายากมาก เสื้อผ้าที่ทำได้แต่ละปีก็มีจำกัด นายท่านกลัวว่าอนุภรรยาจะเสียใจจึงยอมที่จะจ่ายเงินก้อนโต…ให้ช่างตัดเสื้อตัดชุดให้อนุภรรยาในชั่วข้ามคืน” พอพูดถึงตรงนี้ แม้นว่าเหลียนเหนียงจะมีน้ำเสียงเขินๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ  

 

 

 

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1] ม้าผอม  เป็นคำที่ใช้ดูหมิ่นผู้หญิง หมายความว่าเป็นที่ผู้หญิงสามารถถูกทรมานและถูกทารุณเฉกเช่นม้าที่อ่อนแอ ไม่สามารถปริปากบ่นหรือต่อต้านได้  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset