ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 151.1 บทลงโทษของหย่งจยา (1)

“ใครว่าเราจะกำจัดนาง” อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบซองกระดาษเล็กที่พับไว้ออกมาจากถุงหอมที่แขวนไว้ตรงหน้าอก มันเล็กเท่าเปลือกเล็บจนคนอื่นแทบจะมองไม่เห็น แม้ว่าจะถูกค้นตัวก่อนเข้าวังแต่ก็ยากที่จะค้นเจอ มันจึงถูกนำเข้ามาได้อย่างง่ายดายเหมือนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ นางหนีบมันไว้ระหว่างนิ้วและเขย่าไปมา “จัดการเจ้านกกระตั้วของนางต่างหาก มันร้ายนัก กล้าเรียกองค์หญิงเจ้าโง่ได้อย่างไรกัน”  

 

 

ซย่าโหวถิงหัวเราะชอบใจและรับเอาไว้ “นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ”  

 

 

“องค์หญิงพูดเองไม่ใช่หรือเพคะ ว่านางพานกไปเดินเล่นในสวนทุกวัน นำผงนี้ใส่เข้าไปในอาหารนกที่อยู่ในกรง คงทำให้นกนั่นท้องเสียหลายวัน ดูซิ เจ้านกตัวดียังกล้ากำเริบเสิบสานอีกหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปถาม “ทำไมหรือเพคะ หรือองค์หญิงไม่กล้า”  

 

 

“เรื่องนี้ห้ามให้บุคคลที่สามรู้เป็นอันขาด” อวิ๋นหว่านชิ่นออกปากเตือน  

 

 

แน่นอนสิ! แม้พี่สะใภ้สามไม่พูด นางก็รู้ ซย่าโหวถิงพยักหน้าหงึกๆ  

 

 

แล้วทั้งสองคนก็คุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง ฟ้ามืดแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นออกจากตำหนักองค์หญิง  

 

 

ซย่าโหวถิงมองแผ่นหลังของพี่สะใภ้ที่กำลังเดินออกไป เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ เป็นช่วงเวลาที่หย่งจยาจะนำกรงนกไปที่สวนพอดี นางกลั้นยิ้มไม่อยู่อีกต่อไปและกล่าวว่า “อิ๋นเชวี่ยไป ไปเดินเล่นที่สวนกัน!”  

 

 

วันนั้นเวลาย่ำค่ำ นกกระตั้วสุดที่รักของท่านหญิงหย่งจยากินอาหารเสร็จ เพิ่งพากลับตำหนักหลวนอี๋ไม่นาน มันก็เริ่มท้องเสีย แรงด่าคำว่าเจ้าโง่ก็อ่อนระทวยจนแทบจะไม่มีเหลือ  

 

 

ซย่าโหวถิงขำกลิ้งเมื่อเห็นนางกำนัลตำหนักตรงข้ามเข้าออกไม่หยุด ได้ข่าวว่าท่านหญิงหย่งจยาร้อนรุ่มราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ภายในใจ และยังเชิญแพทย์หลวงไปดูนกปากเสียตัวนั้นอีกด้วย นกไม่ใช่คน แม้จะมีแพทย์หลวงที่ชุบชีวิตได้ ก็ไร้ประโยชน์ เพราะแพทย์หลวงไม่ใช่แพทย์รักษาสัตว์  

 

 

ช่วงเช้าในวันที่สอง ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ช่วงเช้าของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมีหมอกจางๆ ทำให้ถนนหนทางยิ่งดูเงียบเหงา  

 

 

ณ ตลาดดอกไม้และนก  

 

 

ตลาดยังไม่เริ่มขายของ ไม่มีแขก ร้านค้าที่เปิดร้านแล้วก็ยังมีไม่มากนัก บรรยากาศเงียบสงัด  

 

 

เถ้าแก่ถานยืนอยู่หน้าร้าน กำลังจัดแจงให้คนใช้ทำความสะอาดขั้นบันใดหน้าร้าน ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับเข้าร้าน เขาก็เห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินทะลุกลุ่มหมอกตรงนั้นมา จากนั้นคนนั้นก็กล่าวว่า “เถ้าแก่ อูโถวที่เถ้าแก่ขายให้ข้าครั้งก่อนคุณภาพเปลี่ยนไป หรือเถ้าแก่นำของไม่ดีมาขาย นกข้ากินแล้วท้องเสียงทั้งคืน!”  

 

 

พอเห็นหน้าคนที่มาหา ก็นึกออกทันทีว่าเป็นคนที่เพิ่งมาซื้อหนอนอูโถวจำนวนมากเมื่อหลายวันก่อน แถมยังทำให้ตนเกือบตกเป็นนักโทษของหลี่ฝานย่วน ในใจนั้นหวาดกลัว แต่ปากนั้นกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไร เจ้าไม่ได้มาซื้อครั้งแรกเสียหน่อย!”  

 

 

เฉี่ยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นกกระตั้วเริ่มมีอาการหลังจากกินอาหารเข้าไปจริงๆ นางดึงเถ้าแก่เข้าไปข้างในและพูดพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นกข้าท้องเสีย เถ้าแก่เป็นผู้มากประสบการณ์ พอจะมียาบ้างไหม——” เดิมที ช่วงนี้นางไม่ค่อยอยากออกมาเท่าไหร่ แต่นกกระตั้วตัวนั้นราคาแพงมาก จะปล่อยให้ป่วยไม่ได้ แถมยังเป็นของกำนัลจากฮ่องเต้ ท่านหญิงจึงให้ความสำคัญกับมันมาโดยตลอด ถ้าเกิดรักษาไม่หายหรือป่วยตายคงแย่แน่ หลังจากตกลงเจรจากันเสร็จ นางจึงถือโอกาสช่วงที่ฟ้ายังไม่รุ่งสางออกจากวังเพื่อมาที่ตลาดนกอีกครั้ง   

 

 

เฉี่ยวเย่ว์ยังพูดไม่ทันจบ เจ้าหน้าที่ที่ซ่อนตัวอยู่สี่ทิศก็พุ่งตัวออกมายืนอยู่ตรงหน้าและล้อมเฉี่ยวเย่ว์เอาไว้ ทุกอย่างจัดการง่ายดายราวกับหมูในอวย  

 

 

สีหน้าของเฉี่ยวเย่ว์เปลี่ยนไปทันที นางตกตะลึงไปหมด แล้วก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น  

 

 

เถ้าแก่ถานรักษาชีวิตตัวเองด้วยการถอยไปข้างหลังสามก้าวอย่างรวดเร็วด้วยความชาญฉลาด เขาชี้ไปที่เฉี่ยวเย่ว์และกล่าวว่า “ท่านครับ! ไม่เกี่ยวกับกระผมนะขอรับ! นางคนนี้แหละ! เมื่อวันแรมสิบ นางคนนี้มาซื้อไข่แมลงกับข้าเป็นจำนวนมาก!”  

 

 

ณ ตำหนักหลวนอี๋  

 

 

ภายในห้องโถงอันกว้างขวาง ตรงระเบียงมีกรงนกสีทองทำด้วยมือแขวนอยู่ นกกระตั้วที่อยู่ในกรงพับหัวและซุกตัวอยู่ในนั้นด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก  

 

 

ท่านหญิงหย่งจยามองอาหารกับน้ำในขวดกระเบื้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก  

 

 

“ท่านหญิงอย่าเป็นกังวลเลยเพคะ” มอมอที่คอยรับใช้คนหนึ่งกล่าวปลอบใจ “แม่นางเฉี่ยวเย่ว์ออกไปตลาดนกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว เถ้าแก่ถานเปิดร้านนก ประสบการณ์เลี้ยงสัตว์ก็มีมาก ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ”  

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาสบถออกมาด้วยความโมโห “ถ้าข้ารู้ว่าพวกมันกล้าขายของไม่ดี จนทำให้นกกระตั้วของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะไปถล่มร้านมัน”  

 

 

และในเวลานั้น ด้านนอกห้องโถงเสียงดังวุ่นวายเต็มไปหมด เสียงที่ดังขึ้นมีเสียงความหวาดกลัวของนางกำนัลปะปนกับเสียงรองเท้าเหล็กดังตึกตักรวมอยู่ด้วย  

 

 

มอมอสังเกตเห็นสีหน้าของท่านหญิงไม่ค่อยดีนัก จึงบ่นออกไปว่า “พวกไร้มารยาท เสียงดังอะไรกัน!” นางพูดไปเดินไปดูว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ทหารองครักษ์หลายนายกับขันทีอีกหลายคนก็ย่ำเท้าเข้ามาพอดี  

 

 

“ที่นี่เป็นตำหนักองค์หญิงฝ่ายใน พวกเจ้าจะทำอันใด” มอมอตระหนกตกใจ ที่อาศัยขององค์หญิงเป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย นอกจากขันทีแล้ว มีผู้ชายน้อยคนที่จะเข้ามาได้ นี่มันเกิดเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว  

 

 

ทหารองครักษ์คนหนึ่งยื่นป้ายอนุญาติออกมาจากเอวและแสดงสีหน้าจริงจัง “ขอเชิญท่านหญิงหย่งจยาไปกับกระหม่อมด้วยขอรับ”  

 

 

“เหลวไหล! พวกเจ้ามาหาผิดคนแล้วกระมัง!” มอมอพูดด้วยความโมโห “ท่านหญิงหย่งจยาเป็นลูกสาวคนโตของท่านอ๋องลี่หยาง เป็นหลานสาวที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูมากที่สุด! พวกเจ้าจะพาท่านหญิงไปที่ใด! ทหาร ทหาร——” นางชูคอตะโกนเรียกอย่างเสียงดัง  

 

 

แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ขันทีที่ยืนอยู่หน้าตำหนักเป็นประจำตอบกลับด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ว่า “มอมอลองดูดีดีสิขอรับ พวกเขามีป้ายอนุญาติของฝ่าบาทเชียวนะขอรับ——”  

 

 

ฝ่าบาทจะจับท่านหญิงหย่งจยาอย่างงั้นรึ มอมอยิ่งตระหนกตกใจใหญ่  

 

 

เหล่าองค์หญิงออกมายืนมองเพราะเสียงดังรบกวน แม้ว่าพวกนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ตอนแรกก็เพียงรู้สึกมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นเท่านั้น แต่พอคำว่า ‘หลานสาวที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูมากที่สุด’ ออกจากปากของมอมอเท่านั้นแหละ แต่ละคนต่างก็รู้สึกโมโหกันใหญ่ หย่งจยาเป็นคนที่เสด็จพ่อรักมากที่สุด แล้วพวกนางที่เป็นลูกแท้ๆ ในไส้ล่ะ!  

 

 

“ลากคนหน้าไม่อายออกไป! ทำให้เรื่องของเสด็จพ่อล่าช้า เจ้ารับผลที่จะตามมาได้อย่างงั้นรึ!” ซย่าโหวถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ  

 

 

องครักษ์หลายนายไม่รีรอ เดินไปคว้าตัวมอมอที่กั้นประตูเอาไว้และลากออกไปทันที  

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกตั้งนานแล้ว พอองครักษ์เดินเข้ามา นางเดาเรื่องได้บ้าง แต่กลับแสดงออกว่าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยการทำตาโต “พวกเจ้าทำอะไรรึ เสด็จลุงเรียกข้า ด้วยเรื่องอันใดหรือ”  

 

 

ขันทีผู้ดูแลหลักท่านหนึ่งเดินเข้ามากล่าวว่า “เดือนนี้ ราชสำนักทำการพาณิชย์กับต้าเซวียน สินค้าที่เตรียมส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ถูกส่งไปยังที่พักของทูตต้าสือเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ท่านหญิงทราบใช่ไหมขอรับ”  

 

 

ท่านหญิงหย่งจยากลอกลูกกะตาอย่างไม่ให้ทันสังเกต และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”  

 

 

ขันทีกล่าวต่อ “ปรากฏว่าพบไข่แมลงในสินค้า ท่านหญิงก็ทราบด้วยใช่ไหมขอรับ”  

 

 

“บังอาจ” ท่านหญิงหย่งจยากัดริมฝีปาก ดวงตาเริ่มเป็นสีแดง “นี่พวกเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนทำอย่างงั้นรึ?”  

 

 

“ข้ายังไม่ได้พูดเลยนะขอรับ” ขันทียื่นมือออกไป “ฝ่าบาทและคนที่เกี่ยวข้องกับคดีทุกคนกำลังเดินทางไปยังพระที่นั่งอี้เจิ้ง ขอเรียนเชิญท่านหญิงไปด้วยขอรับ”  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset