ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 154.4 ตามหาสามี (4)

ชูซย่ายังจะพูดอะไรต่ออีก มองใบหน้าที่งดงามของนาง แต่กลับสงบเยือกเย็นเพียงชั่วข้ามวัน ได้สละความสุขุมอ่อนโยน และมีความมั่นคงหนักแน่นขึ้นไม่น้อย แต่ก็เข้าใจได้ พระชายาหากตัดสินใจทำอะไรแล้ว คงไม่เปลี่ยนพระทัยง่ายๆ เป็นแน่  

 

 

ขณะเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดกล่องเครื่องประดับ และถอดเครื่องประดับที่แสดงถึงยศถาบรรดาศักดิ์ออก แม้กระทั้งต่างหูมุกยังถูกถอดออกไป  

 

 

ชูซย่าแม้จะงงงวย แต่ก็เข้าใจว่าพระชายาจะทำอะไร หากเดินทางไปกับกองทัพ การแต่งกายเป็นหญิงคงไม่สะดวกนัก จึงรีบไปหาเครื่องแบบและเสื้อคลุมสีเข้มของผู้ชายมา และยังหาผ้ามาอีกผืนเพื่อนำมารัดหน้าอกอีกด้วย  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอยู่ภายในห้อง เกาจ๋างสื่อยกของกล่องกำนัลไม้จันทร์หอมเข้ามา วางมันไว้ที่ลานกว้าง โดยสั่งให้คนเปิดออก  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแต่งกายเสร็จสรรพ จึงเดินออกมาจากห้อง  

 

 

เกาจ๋างสื่อมองเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามภายใต้ร่างของพระชายา ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อครู่ ยังเป็นหญิงสาวอบอุ่นมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นชายหนุ่มผู้องอาจสง่าผ่าเผย หากไม่ใช่ชูซย่าเดินอยู่ข้างกาย ตัวเขาเองคงมองไม่ออกเป็นแน่แท้  

 

 

ภายในกล่อง มีปืนไฟสีเข้มอยู่สองกระบอก กระบอกหนึ่งยาว อีกกระบอกหนึ่งสั้น ปรากฎต่อหน้าของทุกคน ภายในยังมีกระสุนดินปืนวางอยู่ข้างๆ อีกหลายกล่อง เหล่านี้คือาวุธต่อสู้ที่ทำจากโลหะของพวกชาวอาหรับ หรือเรียกอีกอย่างว่าปืนคาบศิลา เดิมทีปืนไฟมีองค์ประกอบที่ทำขึ้นอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ดีขึ้น จนถึงบัดนี้ได้พัฒนาจนใช้งานได้ง่ายมากขึ้นนัก  

 

 

นำกระสุนดินปืนเข้ารังเพลิง ยิงออกไปได้ในระยะไกล รวดเร็วและรุนแรง ทำให้คนยากที่จะหลบหนี อานุภาพอันไม่มีใครเทียบเคียงได้ และพกพาข้างกายได้อย่างสะดวก เอาชนะศรธนูคมดาบได้อย่างง่ายดาย ปืนนี้เป็นที่นิยมนักในประเทศแถบตะวันตก  

 

 

ความนิยมปืนไฟได้แพร่ขยายเข้าแถบดินแดนนี้นานแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงมีเก็บไว้อยู่หลายกระบอก พระองค์ทรงนำออกมาฝึกทรงปืนภายในวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง  

 

 

วันที่อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดกล่องของกำนัล พอเห็นของเข้าก็รู้สึกดีใจ แต่เพราะอาวุธชิ้นนี้มีพลังทำลายสูง กลัวจะเกิดประกายไฟ จึงมิได้เก็บไว้ในเรือน และให้คนนำไปเก็บไว้ที่คลัง ซึ่งก่อนที่จะนำไปเก็บ ก็ได้ลองนำออกมาใช้ในลานธนูหลังจวนอ๋อง ลองยิงไปที่เป้าหลายครั้ง เหนี่ยวไกปืน ยิงออกไป เสียงดัง  ปัง  ควันขึ้นโขมง เสียงดังสนั่นไปทั่ว และยิงเป้าด้านหน้าพังราบ ได้ยินเสียงก็ยอมสยบอย่างราบคาบ  

 

 

เมื่อได้ลองฝึกยิงอยู่หลายหน นอกจากมีแรงสะท้อนที่แรงแล้ว บางครั้งก็คุมไว้ไม่อยู่ โดยรวมถือว่าใช้งานได้คล่องมือ แต่กลับทำให้เกาจ๋างสื่อกสั่นขวัญแขวน ร้องเรียกให้พระชายาทรงหยุดยิง รีบเก็บปืนไว้ และยังแอบด่าเฟิ่งจิ่วหลังอยู่หลายหน วาถวายของเช่นนี้มาได้อย่างไร  

 

 

เวลานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเลือกปืนไฟกระบอกสั้น และนำกระสุนทั้งหมดไปด้วย โดยเรียกเจินจูให้นำไปเก็บรวมกับของที่จะนำไป เพื่อนำไปป้องกันตัว บัดนี้ ทางหมออิงก็เตรียมจัดเตรียมพระโอสถเรียบร้อยแล้ว จึงนำของทั้งหมดห่อเป็นห่อกระเป๋าเล็กๆ ส่งมาให้  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสะพายของไว้ข้างตัว ชูซย่านำผ้าคลุมขนแกะสีเงินผืนใหญ่มาคลุมให้พระชายา เพียงพริบตาเดียว นางก็เปลี่ยนเป็นคุณชายที่รูปหล่อและองอาจ  

 

 

พระชายาเงยหน้าขึ้นมอง อีกไม่ถึงสามสี่ชั่วยาม เฉินจ้าวก็จะนำธงพากองทัพมุ่งหน้าไปเขตฉังชวนเมืองเยี่ยนหยาง พระชายากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เรื่องภายในจวน ต้องฝากให้พวกเจ้าทั้งสี่ดูแลแล้ว เกาจ๋างสื่อ เจ้าเตรียมรถม้าพร้อมแล้วหรือไม่”  

 

 

ชูซย่าเติบโตมาพร้อมกับพระชายา ตั้งแต่เป็นเด็กหญิงจนบัดนี้เป็นถึงพระชายาฉินอ๋อง ทั้งการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงอยู่ในสายตานางทั้งนั้น แต่ทว่า สิ่งที่พระชายาทำในวันนี้ กลับเป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตของตนก็คาดเดาไม่ถึง นางบีบฝ่ามือของตนอย่างเด็ดเดี่ยว สร้างความกล้าหาญ และทำจิตใจให้สงบ นางเองก็ห้ามทำตัวเป็นภาระให้แก่พระชายาและองค์ชายสามเด็ดขาด จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ขอให้พระชายาเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ บ่าวจะดูแลรื่องในเรือนไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อรอองค์ชายสามและพระชายาเสด็จกลับมา!”  

 

 

เมื่อได้ยินเพียงเท่านี้ เจินจูและฉิงเสวี่ยต่างอดกลั้นไว้ไม่ไหว ดวงตาแดงก่ำ “พระชายาไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ!”  

 

 

เกาจ๋างสื่อได้แต่ถอดหายใจเฮือกใหญ่ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะพูดอะไรต่อมิได้แล้ว “รถม้าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะเป็นคนส่งพระชายาด้วยตนเอง” พูดถึงเพียงเท่านี้ ก็พาอวิ๋นหว่านชิ่นไปทางด้านหลังเรือน ขึ้นรถม้าที่จัดเตรียมไว้ ดึงบังเหียน มุ่งหน้าไปจวนของแม่ทัพ  

 

 

***  

 

 

ยามค่ำคืน ณ จวนท่านแม่ทัพ  

 

 

เมื่อกลับถึงที่จวน เฉินจ้าวไปกล่าวอำลาท่านปู่   

 

 

แม่ทัพเฉินครั้งนี้ให้หลานชายเป็นคนนำทัพ ใจหนึ่งเพียงเพราะเขายังไม่หายป่วยจากลมหนาว ใจหนึ่งก็อยากให้โอกาสหลาน ซึ่งมีอายุเหมาะสมที่จะสร้างรากฐานทางการงานแล้ว หลายปีที่ผ่านมา หลานชายคนนี้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งยิงธนูและขี่ม้าอย่างหนัก ทุกการฝึกฝนอยู่ในสายตาของแม่ทัพใหญ่มาโดยตลอด เขามั่นใจในตัวหลานชายอย่างที่สุด ขาดเพียงแต่โอกาสเท่านั้น  

 

 

ครั้งนี้เหตุการณ์ในเขตฉังชวนเป็นโอกาสอันดี  

 

 

แม่ทัพใหญ่มองรูปร่างสูงใหญ่สง่ากำยำของหลานชาย ก็วางใจว่าเขาจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดได้ แค่พูดกำชับเพียงไม่กี่คำเพื่อให้เขาผ่อนคลาย เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วจึงกล่าว “อาจ้าว พรุ่งนี้ไก่ยังไม่ทันขัน เจ้าก็ต้องตื่นแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด จัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยามแล้ว เวลานี้ สุขภาพของเจ้าสำคัญที่สุด”  

 

 

ค่ำคืนในเมืองหลวง เงียบสงบนัก  

 

 

ถึงจะเป็นค่ำคืนในฤดูหนาว แต่บรรยากาศก็มิได้เงียบเหงานัก ทุกที่เต็มไปด้วยควันไฟให้ความอบอุ่น นอกกำแพงสูงของจวนแม่ทัพ มีเสียงเพลงบรรเลงจากร้านค้าที่ยังเปิดอยู่  

 

 

ใครก็คาดไม่ถึงว่าทิศตะวันตกจากเมืองหลวงอย่างเมืองเยี่ยนหยาง จะต่อต้านทางการอย่างหนัก และสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้   

 

 

เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ต้องออกเดินทางแล้ว แต่เฉินจ้าวยังคงไม่ได้นอน ยืนมือไขว้หลังอยู่หน้าโต๊ะที่วางแผนการไว้ ดวงตามองเขม็ง ตั้งใจศึกษาแผนที่เมืองเยี่ยนหยาง และดูตั้งใจจนคิ้วขมวดเป็นปม  

 

 

เมื่อศึกษาได้เพียงครึ่งเดียว เด็กรับใช้ด้านนอกส่งเสียง “นายน้อยรองขอรับ…”  

 

 

เฉินจ้าวเงยหน้าขึ้น นอกหน้าต่าง เฉินจื่อหลิงสั่งให้เด็กรับใช้ออกไป ยังไม่ทันได้เคาะประตู ก็เดินเข้ามาในห้องเลย  

 

 

บ้านตระกูลเฉินเต็มไปขุนนางทหาร กฎของบ้านจะต้องเคารพอย่างเข้มงวด แต่น้องสองถูกท่านปู่ตามใจจนเสียคน เฉินจ้าวก็มิได้ใส่ใจ คิดเพียงแค่นางคงอยากมาบอกลา จึงม้วนแผ่นที่เก็บ “จื่อหลิง”  

 

 

เฉินจื่อหลิงรีบเดินเข้ามากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ พระชายาฉินอ๋องเสด็จมา รออยู่นอกเรือนท่าน”  

 

 

เฉินจ้าวมือหยุดชะงัก ในใจสั่นสะท้าน เมื่อมั่นใจว่าน้องสาวมิได้ล้อเล่น อวิ๋นหว่านชิ่นมาโดยฉับพลันเช่นนี้มีเรื่องอะไรกันแน่ “ยังไม่รีบไปเชิญพระชายาเข้ามาอีก อย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด”  

 

 

เฉินจื่อหลิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป ผ่านไปชั่วครู่ ประตูก็ถูกเปิด มีบุคคลที่แต่งตัวเป็นชายหนุ่มผู้สง่างามปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า   

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ตรงหน้า ทำความเคารพแบบผู้ชาย “พี่ใหญ่”  

 

 

เฉินจ้าวคิดเพียงว่านางจะมาไถ่ถามเหตุการณ์ที่เขตฉังชวน หรือไม่ก็มากำชับให้ตนปกป้องฉินอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะแต่งกายเช่นนี้ ยิ่งเห็นภายใต้ผ้าคลุมมีห่อกระเป๋าอยู่ข้างกายด้วยแล้ว สีหน้าจึงเปลี่ยนไป “จื่อหลิง รีบประคองพระชายาขึ้นมาเร็ว! พระชายาท่านคิดจะทำอะไรหรือ”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปยังเฉินจื่อหลิง เพลานี้มิใช่วลาที่จะมาพูดอ้อมค้อม จึงเงยหน้ามองไปที่เฉินจ้าว แววตาเป็นประกายดั่งน้ำในทะเลสาป แลดูนิ่งสงบแต่มั่นคง “ขอร้องพี่ใหญ่พาชิ่นเอ๋อร์ไปเมืองเยี่ยนหยางด้วยเจ้าค่ะ”  

 

 

เฉินจ้าวใบหน้าเคร่งเครียด “เหลวไหล!”  

 

 

เฉินจื่อหลิงเอ่ย “ท่านพี่! ชิ่นเอ๋อร์มิได้เหลวไหล! สถานการณ์ที่เขตฉังชวนเป็นเช่นไร พวกเราเองก็ทราบกันดี ชิ่นเอ๋อร์อยากนำพระโอสถไปให้ฉินอ๋อง อยากไปดูแลปรนนิบัติข้างกายเท่านั้น!”  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset