ชือหลีนั่งอยู่บนต้นฮว๋ายก้มลงมองดูเขา บุรุษหนุ่มในชุดขาวอายุเพียงสิบเก้าปี สะอาดสะอ้านหมดจดและสดใส
ยามที่เขายิ้มออกมา มุมปากยังมีลักยิ้มทั้งสองข้าง เพียงได้เห็นก็ทำให้คนรู้สึกสนิทสนมน่าชิดใกล้
หนวดเคราบนใบหน้าถูกโกนจนสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้ว เส้นผมดำยาวที่พลิ้วไหวตัดกันกับชุดขาวบนร่าง คนดูราวกับภาพวาดที่สำเร็จขึ้นในพู่กันเดียว
หากว่าเขาสามารถปิดปากได้ละก็ ช่างเป็นหนุ่มน้อยที่งดงามบาดตานัก
ชือหลีพลิกตัวหันหลังให้กับเขา นางสะบัดปลายหางน้อยๆ อยากจะไล่เขากลับไปเร็วๆ
ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากจะเสวนากับเด็กน้อยที่ขนอ่อนยังไม่ขึ้น
” สุรานี้ข้าไปทูลขอมาจากฝ่าบาทเชียวนะ เป็นไห่ถางเหนียงจากเมืองหลวง ท่านจะไม่ดื่มสักจอกหรือ? ” ตู๋กูเจวี๋ยมิได้หมดกำลังใจ เขานั่งลงบนโต๊ะหินใต้ต้นฮว๋าย พอล้วงเอาจอกสองใบออกมาก็รินสุราลงไป
กลิ่นหอมของสุราที่เข้มข้น ทำให้กลิ่นของต้นฮว๋ายถูกกลบเกลื่อนไป
เขาไม่เหมือนกับพี่ใหญ่ นิสัยของเขารักอิสระเสรี ชอบอ่านหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของสิ่งลี้ลับตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวข้องกับเทพเซียนและมารปีศาจ ชือหลีเป็นเทพองค์แรกที่เขาได้พบเจอ ถึงแม้ว่าจะถูกนางจับไปทรมานมารอบหนึ่ง แต่ยังดีที่ไม่ถึงกับตะเกียงดับไส้เทียนขาด
ในเมื่อไม่ตายก็แสดงว่าเป็นวาสนา
ชือหลีได้กลิ่นหอมของเหล้า ในหัวใจก็รู้สึกคันขึ้นมานิดๆ ยามว่างนอกจากทรมานผู้คนแล้ว นางก็ชอบดื่มแต่สุรานี่ล่ะ
สุราที่เด็กน้อยนั่นเอามายังหอมจัดถึงเพียงนี้ นางส่ายหางเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหว ต้องหันกลับไปเหลือบดูเขาแว๊บหนึ่ง
หนุ่มน้อยชุดขาวนั่นดื่มไปแก้วนึง ใบหน้าก็ปรากฏสีแดงจางๆ ขึ้น เขาแลบลิ้นออกมา โบกมือโบกไม่ไปในอากาศ ” ว้า แรงมากเลยนะ “
ชือหลี “…….” ดื่มเหล้าไม่เป็นแล้วจะมาชวนนางทำไม? ไอ้ตัวยุ่งยาก
เห็นเขาดื่มไปอึกเดียวก็อาเจียนออกมาหมด นางค่อยพลิกตัวลงมาจากต้นฮว๋าย คว้าไหสุราขึ้นมาด้วยมือเดียว กรอกลงคอไปไม่กี่อึกก็หมด สุราของเมืองหลวงช่างหอมเข้มข้นดีจริงๆ พอลงท้องไปไหหนึ่งก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งร่าง สะใจยิ่งนัก
จากนั้นชือหลีค่อยปากเช็ดมุมปากอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสีแดงถลึงใส่เขาครั้งหนึ่ง ” เสียดายของดีๆ “
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูท่าทางของนาง ก็ยิ้มออกมา ” หากว่าเจ้าชอบดื่ม ทีหลังข้าจะไปเอามาจากเมืองหลวงให้มากหน่อยก็แล้วกัน เหล้าของคนธรรมดาถูกปากเทพเซียน นี่ถือเป็นวาสนาของสุรานี้แล้ว”
ชือหลีมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา ” เจ้ามันเป็นพวกชอบความทารุณหรือไง เราผู้เป็นเทพกักขังเจ้าเอาไว้เกือบครึ่งเดือน เจ้ายังจะกล้ากลับมาชวนข้าดื่มเหล้าอีก? “
ตู๋กูเจวี๋ย “ข้าก็ออกมาได้แล้วมิใช่หรือ? “
ชือหลีพูดอะไรไม่ออก
” ประเดี๋ยวข้าก็ต้องกลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้มาที่ลี่โจว มาถึงอารามเทพธิดาแล้วยังจะได้เจอเจ้าอีกไหม สุราไหนี้ถือว่าดื่มอำลาเพื่อเดินทางไกลแล้วกัน ” นัยตาของหนุ่มน้อยโศกเศร้าอย่างที่สุด
ชือหลีมองดูเขา อยู่ๆ ก็คิดไปถึงพวกกระต่ายที่ถูกนางฆ่าไปเหล่านั้น เจ้ามนุษย์ตัวยุ่งผู้นี้ ไม่ต่างอะไรกับกระต่ายพวกนั้นเลยสักนิด
” จะไปก็รีบๆ หน่อย อย่างได้มาพร่ำเพ้อกับเราผู้เป็นเทพ เราเห็นเจ้าแล้วก็รำคาญ ” ชือหลีวางไหสุราลง ปีนขึ้นไปนอนบนต้นฮว๋ายอีกครั้ง ส่ายหางเบาๆ ไม่หยุด
อีกาคู่หนึ่งพึ่งจะทำรังบนต้นฮว๋ายเสร็จ พอนางส่ายหางไปมาไม่กี่ครั้ง ทั่วทั้งต้นก็ไหวเอน ทำเอาไข่กาสองฟองกลิ้งออกจากรังหล่นลงมา
ตู๋กูเจวี๋ยสะบัดชายเสื้อผ้าออกไป อาศัยมือเท้าที่รวดเร็วรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ไข่กาที่มีเปลือกเขียวนวลกลิ้งอยู่ในอ้อมอก หัวใจของเขาตระหนกจนเกือบจะกระโดดโลดขึ้นมา
พอเห็นว่าไข่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ค่อยถอนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ” อามิตาพุทธ แม่นางเทพธิดา เจ้าเกือบจะทำร้ายชีวิตอีกแล้ว เจ้ากาน้อยๆ สองตัวนี้อีกเพียงไม่กี่วันก็จะกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว หากว่าเมื่อครู่แตกร้าวไป พวกมันยังไม่ทันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ต้องจากลาโลกที่สวยงามใบนี้ไปเสียแล้ว ทั้งน่าเสียดายและน่าสงสารออกนะ “
พูดแล้ว ก็เห็นเขาเอาไข่กาสองฟองนั้นใส่เข้าไปในเสื้อตัวใน ใช้มือและเท้าค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนต้นฮว๋าย
เขาเป็นพวกบัณฑิตอ่อนแอ ปีนต้นไม้ก็ไม่ได้เรื่อง ปีนขึ้นมาสองครั้งก็หล่นลงไปทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังอยากจะทำตนเป็นมารดา ปกปักษ์รักษาไข่ทั้งสองฟองอย่างสุดชีวิต
หลังจากที่ทดลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ปีนขึ้นมาได้แล้ว
เขาตัวสั่นสะท้านกอดอยู่บนลำต้นฮว๋ายด้วยความระมัดระวัง รังนกอยู่สูงมาก เขาต้องปีนสูงขึ้นมาถึงครึ่งต้นจึงจะมองเห็นรังของมัน เขาล้วงมือลงไปในอกเสื้อเตรียมจะเอาไข่สองฟองนั้นวางกลับไปในรัง
เดิมทีก็ต้องใช้สองมือปีนต้นไม้ขึ้นมา พอตอนนี้ปล่อยมือข้างหนึ่ง ตัวจึงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ชือหลีมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ในดวงตาของนางมีแต่ความเอือมระอา
พอเห็นว่าไข่ยังไม่ทันจะวางกลับลงไปในรัง เท้าของเขาก็พลันอ่อนแรงลื่นหลุด คนหงายหลังลงไปทั้งร่าง เกือบจะหล่นลงไปถึงพื้น
ชือหลีก็พลันขมวดคิ้ว หางงูกวาดออกไปเบาๆ ก็รับตัวเขาเอาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ” โง่จริงๆ “
ว่าพลาง นางก็ใช้หางงูพาตัวเขาขึ้นไปจนถึงรังนก
ตู๋กูเจวี๋ยวางไข่สองฟองนั้นลงไปในรังนก พอมองดูหางงูที่โอบรัดตนเองเอาไว้ ก็ยื่นมือออกมาลูบไล้ดูเบาๆ เย็นๆ เรียบลื่นให้สัมผัสที่ละเอียดมากๆ
ว่าแล้วเขาก็ลูบลงไปอีกครั้ง
ชือหลีรู้สึกขนลุก เส้นผมสีแดงทั่วศีรษะชี้ฟูราวกับตัวเม่น นางสะบัดตู๋กูเจวี๋ยทิ้งลงพื้นไปทันที ” เจ้ามนุษย์ขนอ่อน เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือไง? “
ปลายหางถือเป็นจุดอ่อนไหวของนาง เขากลับกล้าลูบ
นางไม่ตัดมือของเขาลงมา ถือว่าเห็นแก่น้องสาวที่เป็นตัวประหลาดของเขาแล้ว!
ตู๋กูเจวี๋ยหล่นลงบนพื้น แม้ว่าจะก้นกระแทก แต่ที่จริงชือหลีมิได้ใช้กำลัง เขาจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไร
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เขาถึงได้ลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นผงที่เกาะอยู่บนก้น ค่อยหันกลับมายิ้มกับชือหลีอีกครั้ง ” อีกแป๊บเดียวข้าก็จะอายุยี่สิบแล้ว นั่นเรียกว่าขนอ่อนที่ไหนกัน แม่นางเทพธิดา ถึงแม้ว่าว่าเจ้าจะเป็นเทพแห่งสายน้ำ แต่ดูจากหน้าตาแล้วก็ไม่เกินยี่สิบ หากว่าตามรูปลักษณ์ของมนุษย์แล้ว เจ้าและข้านับว่าอายุเหมาะสมกันมาก “
” หากว่าเจ้าไม่รังเกียจละก็ พวกเราสามารถสาบานเป็นพี่ชายน้องชายกัน”
พอเห็นสีหน้าของชือหลีถมึงทึงกว่าเดิม ก็ได้ยินตู๋กูเจวี๋ยเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็นว่า ” เป็นพี่สาวน้องสาวก็ได้ “
อย่างไรเสียเขาก็มิใช่คนที่ยึดถือสายตาของผู้อื่นอยู่แล้ว
ชือหลี “…….” ใครสักคนช่วยมาพาตัวคนปากมากผู้นี้ไปเสียที ไปแบบปัจจุบันทันด่วนเลยได้ไหม?
” ก็เจ้าเป็นงูอยู่เพียงลำพังไม่เหงาหรือ? มีพี่ชายน้องชายมากหนทางก็มาก มีพี่สาวน้องสาวมาก…..”
เขากล่าวยังไม่ทันจบ ชือหลีก็สะบัดมือออกไป สายลมจากฝ่ามือคมราวมีดดาบ ทำเอาโอ่งน้ำใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของเขาแตกออกเป็นสองส่วน
” เจ้าเด็กน้อย หากว่าเจ้ายังจะพูดมากอีก ต้องมีจุดจบเหมือนกับโอ่งน้ำนั่นแน่! ” นางถลึงดวงเนตรที่แดงฉานคู่นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูโอ่งน้ำด้านหลังที่แตกออกเป็นสองส่วน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามนางออกไปอย่างจริงจังว่า ” ถ้าหากว่าข้าพูดมากไปสองประโยค…..ก็จะถูกสับเป็นสี่ส่วนใช่หรือไม่? “
ชื่อหลี “……..” อ๊ากก!
” ในเมื่อจะสองส่วนหรือว่าสี่ส่วนก็ล้วนแล้วแต่ต้องตาย ถ้าเช่นนั้นก็รอให้ข้าพูดให้มากอีกสักหลายประโยค ถึงเจ้าจะสับข้าจนกลายเป็นไส้เกี้ยวก็ไม่เป็นไร “
ตู๋กูเจวี๋ยพูดให้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าตู๋กูเจวี๋ยววันนี้จะขอสาบานอยู่ที่นี่ ยินดีจะ……”
คำพูดยังไม่ทันออกมา ก็เห็นหนุ่มน้อยในชุดดำพุ่งเข้ามาทางนี้ ดั่งสายลมหอบหนึ่ง หยุดลงตรงข้างๆ กายเขา พลางตบบ่าเขาไปแรงๆ ครั้งหนึ่ง
” พี่รอง ท่านสมควรกลับบ้านไปกินยาได้แล้วเจ้าค่ะ “
ตู๋กูเจวี๋ยหันศีรษะกลับมามองดูนาง พลางส่ายหน้า ” น้องเล็ก ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย “
เขาป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงได้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย? “