ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 289 ยันต์คุ้มจิตวิญญาณ

สำหรับคนที่ต้องถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาชาติหนึ่ง เขานับว่าได้แสดง ‘มิตรภาพ’ มากเกินไปแล้ว  
 
 
เป็นมิตรภาพที่ดีงามเสียจนตู๋กูซิงหลันเกิดความสงสัยขึ้นมา  
 
 
เสินฟางที่ถูกจิตมารครอบงำไปแล้วไม่มีทางเป็นตัวดีๆ ไปได้!  
 
 
ข้อนี้นางกระจ่างใจดี  
 
 
วิญญาณทมิฬเองก็เก็บความระแวงเอาไว้ เพียงแต่ว่าเรื่องการใช้โลงทองแดงเป็นพาหนะและหยกสรรพชีวิตนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องโกหก พอคิดว่าโอกาสสำคัญที่จะได้กลับไปโลกเดิม ในใจของมันก็ปิติขึ้นมาเช่นกัน  
 
 
สถานะคู่แค้นนั้นสามารถวางเอาไว้ก่อนได้ ในเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ตอนนี้ก็สามารถเป็นพันธมิตรได้ชั่วคราว  
 
 
ทันทีที่โลงทองแดงปิดสนิทลง มันก็ปิดกั้นตนเองออกจากน้ำที่อยู่ภายนอก เมื่อปราศจากแรงดันน้ำลึกตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกสบายขึ้นมาก  
 
 
เมื่อสลายอาณาเขตของลูกแก้ววารีออกไป นางก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งของร่วมกลบฝังที่ส่องประกายในมุมหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของนางฉาบไล้ด้วยแสงสีทองจางๆ  
 
 
พอยื่นมือออกไป ชิ้นส่วนทั้งหกของหยกสรรพชีวิตก็หล่นสู่ใจกลางฝ่ามือของนาง  
 
 
ทันทีที่พวกมันสัมผัสกับฝ่ามือของนาง ก็บังเกิดหมอกสีดำกำจายออกมา ราวกับหยดน้ำที่ไหลไปรวมกับท้องทะเล ซึมซาบเข้าสู่ตราประทับในจิตวิญญาณของนาง  
 
 
ร่างกายของคนธรรมดาไม่สามารถรองรับพลังงานของหยกสรรพชีวิตได้ นอกเสียจากว่านางจะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดหนุนนำ อีกทั้งในโลกก่อนโน้นนางก็ยังเป็นเจ้าของหยกสรรพชีวิต แต่การที่เศษหยกทั้งหกชิ้นจะพากันพุ่งเข้าสู่ดวงจิตของนางพร้อมๆ กัน เกรงว่าอาจจะทำให้จิตและร่างของนางถูกฉีกออกได้  
 
 
เสินฟางรักษาคำพูด เขาเพียงแต่ยืนมองอยู่ด้านข้างโดยมิได้ฉวยโอกาสชิงลงมือ  
 
 
การจะรับหยกสรรพชีวิตเข้าไปเป็นขั้นตอนที่ทุกข์ทรมาน แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับรับเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักคำเดียว  
 
 
ผู้อื่นเมื่อได้รับเศษหยก ต่างก็ไม่อาจผนึกพลังสร้างตราประทับลงไปได้ ดังนั้นจึงแสดงพลังออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน  
 
 
หากไม่ระวังก็อาจถูกพลังของหยกสรรพชีวิตย้อนกลับอีกด้วย  
 
 
แต่สำหรับนางกลับไม่เหมือนกัน  
 
 
ทันทีที่นางลืมตาขึ้นมา ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างก็มีหมอกสีดำกำจายออกมา  
 
 
แต่ทั้งหมดก็ถูกบังคับให้สลายไปอย่างรวดเร็ว  
 
 
เสินฟางเห็นจนมิได้ประหลาดใจอีกต่อไป เขายื่นนิ้วออกไปสัมผ้สกับแผนที่ดวงดาวบนผนังโลงศพ กล่าวเสียงเย็นชาออกมาสองคำ “เริ่มเลย”  
 
 
ในโลกปัจจุบันบนพื้นแผ่นดินของจีนแผ่นดินใหญ่ มีสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลับไป  
 
 
เขาไม่อาจปล่อยให้นางตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่อาจให้นางต้องรอคอยอย่างเนิ่นนาน ในเมื่อเคยสัญญากันเอาไว้แล้ว ต่อให้โลกมนุษย์กลายเป็นแดนชำระบาป เขาก็จะต้องช่วยนาง  
 
 
เขาจะใช้ทุกสิ่งที่เขา ต่อให้ต้องทำลายล้างทุกชีวิตในแผ่นดิน ก็จะต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้  
 
 
“เสินฟาง จะอย่างไรเจ้าและข้าก็คือศัตรูกัน เมื่อกลับไปแล้ว ยังคงเป็นเจ้าหลบหนีข้าวิ่งไล่ เจ้าจงคิดให้ดี?” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาด้วยความสงบนิ่ง  
 
 
“ข้าทำให้เจ้าตายได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมต้องสามารถทำให้เจ้าตายได้เป็นครั้งที่สอง” น้ำเสียงของเสินฟางมิได้บ่งบอกอารมณ์เลยสักนิด “ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งข้าได้ หากเจ้ายังแหย่เท้าเข้ามา จุดจบก็จะไม่มีทางดีไปกว่านี้”  
 
 
ชาติก่อน เป็นเพราะมีซื่อมั่วเป็นสาเหตุ เขาถึงได้ถูกบีบคั้น  
 
 
เย่วซิงหลัน….เป็นคู่มือที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวจนต้องยอมถอยให้  
 
 
เห็นนางยังรีรอไม่ลงมือ เสินฟางก็กดดันนางเพิ่ม กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ที่เจ้าลังเลเช่นนี้ เพราะว่ามีสิ่งเหนี่ยวรั้งที่ไม่อาจละทิ้งอยู่ในโลกนี้หรือ?”  
 
 
เพียงแค่ประโยคเดียว แต่กลับแทงเข้าไปในใจของตู๋กูซิงหลัน  
 
 
นางรู้ดี นี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้กลับไปยังโลกเดิม  
 
 
แต่พอโอกาสนี้มาวางอยู่ตรงหน้าจริงๆ นางกลับลังเล  
 
 
ในสมองผุดศีรษะหนึ่งขึ้นมา …..เพ้ย เป็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่น  
 
 
นอกจากฮ่องเต้สุนัข ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง พี่ใหญ่ พี่รอง หยวนเฟยน้อย ไปจนถึงซูคนงาม …..ยังมี ‘ท่านปู่’ ที่นางไม่เคยแม้แต่จะได้พบหน้า  
 
 
ยังมีเจ้าติ๊งต๊องขนฟูเหมือนสุนัขฮัสกี้ตัวนั้นอีกด้วย  
 
 
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงสิ่งลวง เจ้าคือเย่วซิงหลัน ไม่ใช่ฐานะที่มีอยู่ในตอนนี้”  
 
 
เสินฟางสาดน้ำเย็นใส่อย่างเต็มที่  
 
 
“ที่โลกนั้น มีซื่อมั่ว เพื่อเขาแล้วเจ้าจะสามารถละทิ้งทุกสิ่งในโลกนี้ไปได้”  
 
 
ซื่อมั่ว…..ท่านอาจารย์  
 
 
ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดใจอย่างแรง  
 
 
ที่นางตั้งใจจะกลับไปโลกปัจจุบันก็เพื่อท่านอาจารย์อยู่แล้ว  
 
 
“เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่ ว่าเจ้าตายไปแล้วแต่ทำไมถึงได้กลับมามีชีวิตในโลกนี้ได้?”  
 
 
“ก็เพราะว่าซื่อมั่วใช้อายุขัยของตนเองเป็นเงื่อนไข ผนึกยันต์รักษาจิตคืนชีพเอาไว้บนร่างของเจ้า” เสินฟางหัวเราะเสียงเย็น “ในตอนที่เจ้าตายลงในโลกโน้น ข้าถึงได้รู้ว่า เขาทั้งรักและปกป้องศิษย์อย่างเจ้าถึงเพียงไหน”  
 
 
ผู้คนในโลกรู้ว่า ท่านผู้เฒ่าซื่อมั่วผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติ มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง เย่วซิงหลัน  
 
 
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ซื่อมั่วรักศิษย์ผู้นี้มากมายถึงเพียงไหน  
 
 
ยันต์รักษาจิตคืนชีพ  
 
 
แค่เพียงไม่กี่คำกลับทำให้ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างแรง  
 
 
นี่เป็น คาถาที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต  
 
 
ผู้ร่ายคาถาจำเป็นจะต้องสละอายุขัยของตนเอง ใช้ชีวิตเป็นเครื่องตอบแทน ถึงจะสามารถปกป้องจิตวิญญาณของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ได้  
 
 
หากผู้ที่ถูกคุ้มครองตายไปอย่างกระทันหัน ยันต์รักษาจิตคืนชีพนี้จะเคลื่อนไหวด้วยตนเองช่วยหาร่างที่เหมาะสมให้กับดวงจิต ทำให้คืนชีพได้อีกครั้ง  
 
 
ดังนั้นเมื่อนางตายไปแล้ว จึงได้กลายมาเป็น ‘ไทเฮาน้อยแห่งต้าโจว’  
 
 
ที่แท้ทั้งหมดนี้…..มีสาเหตุมาจากท่านอาจารย์  
 
 
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ท่านอาจารย์จะทำเพื่อนางถึงขนาดนี้  
 
 
วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงไป ….ความผูกพันฉันท์อาจารย์และศิษย์เช่นนี้ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องน้ำตาไหล  
 
 
เสินฟางยืนอยู่ด้านหนึ่ง สายตามีแต่ความเย็นยะเยือก  
 
 
เย่วซิงหลันคงจะไม่รู้สินะว่า ทุกช่วงเวลาที่นางรั้งอยู่ในโลกใบนี้ ก็จะยิ่งลดทอนอายุขัยของซื่อมั่ว  
 
 
เขาเป็นถึงผู้ปกครองเมืองผี แต่ก็ไม่เคยเห็นใครที่ทำเพื่อศิษย์ได้เช่นนี้มาก่อน  
 
 
คำพูดนี้ เขาย่อมไม่ได้กล่าวออกไป  
 
 
คราวนี้ ไม่ต้องรอให้เขากล่าวอะไรเพิ่มอีก ก็เห็นว่าบนใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันมีไอสีดำผุดขึ้นมา  
 
 
ในไอสีดำมีประกายสีทองปะปนอยู่ เป็นประกายสีทองที่ลึกลับและงดงาม เป็นสีที่จีเฉวียนชื่นชอบที่สุด  
 
 
ทันทีที่ไอสีดำนั้นเคลื่อนไหว เหล่าศพแห้งที่อยู่นอกโลงทองแดงคล้ายจะได้รับแรงดึงดูดบางอย่างพากันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว  
 
 
ทั่วทั้งสระสวรรค์พลันมีปฏิกริยาขึ้นมา เกิดกระแสน้ำวนมากมายหมุนเวียนอยู่ในนั้น  
 
 
ราวกับปากของมนุษย์ที่ดูดกลืนทุกอย่างลงไปปากแล้วปากเล่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าจิตวิญญาณล้วนถูกบดขยี้จนแหลกราน  
 
 
ท่ามกลางกระแสน้ำนี้เอง ปรากฏเงาร่างสีดำทองร่างหนึ่งผ่านลงไปอย่างรวดเร็ว  
 
 
สระสวรรค์มีขนาดกว้างใหญ่ ราวกับทะเลน้อยแห่งหนึ่ง ในจุดที่แสงสว่างส่องลงไปไม่ถึงนั้นหากคิดจะติดตามหาคนสักผู้หนึ่งยังยากเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร  
 
 
ยังดีที่……เขาผูกด้ายผูกชะตาเอาไว้กับข้อมือของนางตั้งแต่แรก จึงอาศัยด้ายนี้ตามหา  
 
 
ยามที่มองเห็นโลงทองแดงหลังนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะว่ายเข้าไปหาในทันที  
 
 
ถึงจะบอกว่าว่ายน้ำ…แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วพระองค์รู้สึกร้อนลนเหมือนดั่งเหาะเข้าไป  
 
 
น้ำวนที่อยู่ด้านหลังเสมือนดั่งหลุมดำ ที่ติดตามเข้ามาใกล้ และเตรียมจะดูดกลืนพระองค์เข้าไป  
 
 
ยังดีที่ระดับความเร็วของฝ่าบาทยังมากกว่านั้น พระองค์พุ่งออกไปดั่งลูกธนู ด้วยท่วงท่าที่สวยงาม เพียงครู่เดียวก็มาถึงด้านข้างของโลงทองแดง  
 
 
ทันทีที่เหยียบลงไป ก็เกิดเสียงทึบดังตึ้ง เหยียบโลงทองแดงที่กำลังจะลอยขึ้นมานั้นกลับลงไป  
 
 
พระองค์ไม่มีลูกแก้ววารี ฉลองพระองค์โบกโบย สีพระพักตร์อึมครึมหากเปรียบเทียบกับเสินฟางแล้ว ยังดูเหมือนถูกมารครอบงำยิ่งกว่าเสินฟางเสียอีก  
 
 
เหยียนเฉียวหลัวกอดโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่ผูกอยู่ข้างโลงทองแดงเอาไว้ ทันทีที่ได้เห็นจีเฉวียนก็ตะโกนออกไป “ฝ่าบาท นางไม่ใช่ตู๋กูซิงหลัน นางเป็นแค่วิญญาณร้ายภายใต้หนังแกะ!”  
 
 
“พระองค์ทรงถูกนางหลอกแล้ว นางไม่ใช่คนที่ท่านรู้จักเลยสักนิด! นางแย่งชิงร่างมา เป็นวิญญาณร้ายหลอกลวง ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป!”  
 
 
จีเฉวียนไม่เคยยอมให้ใครหลอกลวง! นังแพศยาผู้นี้ อย่าได้คิดเลยว่าจะได้เหลือภาพพจน์ดีๆ เอาไว้ในใจของจีเฉวียนอีก!  
 
 
 
 
 
——  
 
 
ตอนหน้าชื่อว่า “คนที่ฉีกโลงผู้นั้น”  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset