หากไม่ใช่เพราะว่าห่วงใยฮ่องเต้ต้าโจว มีหรือนางจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้?
มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ตนเองไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกมนุษย์
แต่ว่าถ้าหากเป็นตัวนางเอง จะทำอะไรก็ต้องเป็นเพราะเพื่อคนที่ตนรักและห่วงใยเท่านั้น
ยามนี้ สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับเปลี่ยนเป็นย่ำแย่เสียแล้ว เขาจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่ายามสาวน้อยผู้นี้พูดจามีที่มาที่ไปมีน้ำหนักอยู่เสมอ จึงไม่รู้จะหาเหตุอะไรมาจับผิดนาง
เสียดายที่นางอยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังหันหลังให้แสงสว่าง จึงได้แต่เห็นโฉมหน้าของนางเพียงลางๆ
เหลียงจวิ้นอ๋องจึงคิดเอาว่านี่จะต้องเป็นนางปีศาจจิ้งจอกที่มาทำร้ายผู้คนเป็นแน่
คนเช่นจีเฉวียน ถึงได้ถูกปั่นให้ลุ่มหลงจนไม่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้
ยิ่งเมื่อเขามองไปยังกองทัพของตนเอง ก็เห็นในมือของแต่ละคนล้วนว่างเปล่า สีหน้าสลดอดสู
จนเมื่อผู้นำกองทหารค่ายที่สามเข้ามารายงานตัว ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาสับสนวุ่นวายใจ กระซิบเสียงเบาที่ริมหูของเหลียงจวิ้นอ๋องว่า “ท่านอ๋อง อาวุธหายไปหมดแล้ว”
เพียงไม่นานก็เห็นนายกองหลายคนเข้ามารายงานข่าวแบบเดียวกัน
หัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องกระตุกไปทันที เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังได้ไปตรวจดูด้วยตนเอง เห็นว่ามีอยู่ชัดๆ
อาวุธจำนวนมากมายถึงเพียงนั้น จะถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงได้อย่างไร?
คราวนี้ เขาถึงได้เชื่อถือคำพูดของนางปีศาจผู้นั้นขึ้นมา นางทำได้อย่างไรกัน?
เมืองกู่เย่วตรวจสอบผู้คนที่มาจากภายนอกอย่างเข้มงวด หากว่านางมีปัญหา แล้วจะหลบพ้นการตรวจสอบของพวกทหารได้อย่างไรกัน?
“เห็นไหม ก็บอกกับเจ้าแล้ว เจ้าก็อยากไม่เชื่อเอง มีคนเยอะแยะแล้วอย่างไร จะต่อยกันมือเปล่าๆ หรือ?”
ตู๋กูซิงหลันเชิดปลางคางขึ้นด้วยความหยิ่งผยองเหมือนดั่งนกยูง
จีเฉวียนหันไปทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระพาหา ก็ทรงรู้สึกว่านางน่ารักอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นนาง มิว่าเป็นยามขื่นขม ขุ่นเคือง เศร้าสร้อยหรือว่าร่าเริง ทุกความเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่น่าดู
“นางปีศาจเจ้าทำอะไรลงไป?” เหลียงจวิ้นอ๋องขบฟันอย่างเกรี้ยวกราด อยากจะจับสตรีผู้นี้เคี้ยวกลืนลงไปทั้งเป็น
ต่อให้เขามีคนมากมายเพียงไร แต่เมื่อปราศจากอาวุธ เกรงว่าไม่อาจจัดการกับองครักษ์ลับของจีเฉวียนได้
“คำก็นางปีศาจ เหลียงจวิ้นอ๋อง เจ้าไม่อยากจะรักษาลิ้นของตนเองเอาไว้อีกแล้วใช่ไหม?” จีเฉวียนกวาดสายพระเนตรเย็นยะเยือกลงไปยังด้านล่าง
จากนั้นพอหันมาทางตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปในทันที “นางคือนางเซียน”
เขาไม่เคยคิดเลยว่า ตู๋กูซิงหลันอยู่ในเมืองกู่เย่ว ทำเรื่องทำหมดนี้เพื่อตัวเขา
พระทัยของจีเฉวียนยิ่งเปี่ยมล้มไปด้วยความสุขที่เพิ่มพูนจนล้นออกมา
ได้รับการปกป้องจากผู้ที่เป็นยอดปรารถนาในหัวใจ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีเกินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นจะต้องถูกปกป้องก็ตาม
ผู้คนทั้งหลาย “!!!”
วิญญาณทมิฬ “นางเซียนอะไรที่ไหนกัน!”
ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ชักจะเกินไปแล้ว ทำราวกับว่าหากไม่ได้แสดงความรักออกมาก็จะต้องตายเสียอย่างงั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป อยู่อยู่ก็มาพูดว่านางเป็นเซียนทำเอานางแทบจะลอยขึ้นสวรรค์ไปแล้ว
ชือหลีแทบจะพ่นน้ำออกมา นางทำผิดอะไรถึงต้องมาทนดูฉากงิ้วเช่นนี้
สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องย่ำแย่กว่าเดิมลงไปอีก ยามนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าจีเฉวียนถูกนางปีศาจนี้ล่อลวงจนสูญสิ้นจิตวิญญาณไปแล้ว
จีเฉวียนเองก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป พระองค์โบกพระหัตถ์เพียงเบาๆ หลงเซียวก็นำพาองครักษ์ลับรุกคืบเข่นฆ่าเข้ามา
องครักษ์ลับแต่ละคนจีเฉวียนอบรมบ่มเพาะด้วยตนเอง เหล่าทหารของเหลียงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะเทียบเคียงได้กัน
ยิ่งตอนนี้ไม่มีอาวุธ ทหารเหล่านี้ก็ยิ่งไม่อยู่ในสายตาขององครักษ์ลับเลยเสียด้วยซ้ำ
ภายใต้แสงไฟ เสียงฆ่าฟันดังระงมไปทั่วจวนจวิ้นอ๋อง
พวกชาวบ้านพากันหลบหนีไปด้วยความแตกตื่น
ใครก็คิดไม่ถึงว่า คืนนี้ที่นี่จะเกิดการฆ่าฟันประหัตประหารกันขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจำนวนทหารของเหลียงจวิ้นอ๋องจะได้เปรียบมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจเทียบได้กับองครักษ์ลับของฮ่องเต้อยู่ดี
เหลียงจวิ้นอ๋องประมืออยู่กับหลงเซียว เนื่องเพราะเคยเป็นผู้ติดตามปฐมฮ่องเต้ออกรบมาก่อน วรยุทธ์ของเหลียงป๋อจึงมิใช่ชั่ว
ถึงแม้ว่าจะต้องปะทะกับหลงเซียว แต่ก็ยังมิได้เสียเปรียบสักเท่าไร
ทางด้านฮ่องเต้ ก็เอาแต่โอบกอดตู๋กูซิงหลันมองลงมาจากบนหลังเมียเมียเท่านั้น
ด้านล่างกำลังเข่นฆ่าฟาดฟัน ด้านบนกลับแต่งเติมความหวานระหว่างหนุ่มสาว
“ซิงซิง เจ้ามาที่เมืองกู่เย่ว ก็เพื่อเราหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับปวดฟัน “ฝ่าบาท หม่อมฉันมาเพื่อรักษาขา”
“ที่สุดแล้วเจ้าก็ยังทำเพื่อเรา”
ตู๋กูซิงหลัน “เวลาเช่นนี้ ฝ่าบาทสมควรออกไปนำการสู้รบด้วยพระองค์เอง”
จีเฉวียน “เราเกรงว่าพอลงมือ ก็จะทำให้คนมากมายต้องตาย”
ไม่ใช่ว่าจีเฉวียนไม่คิดลงมือ เพียงแต่ว่าหากเขาลงมือ ประชาชนคนบริสุทธิ์ในเมืองกู่เย่วคงต้องล้มตายไปด้วย
พระองค์มิใช่คนแล่เนื้อ เพียงต้องการปราบปรามผู้ที่คิดก่อกบฏเท่านั้น ย่อมไม่อยากทำร้ายผู้ที่บริสุทธิ์
ตู๋กูซิงหลัน “…..” พระองค์เก่งเกิน พระองค์ช่างเก่งกาจ!
ถึงแม้ว่านางยังไม่ยอมรับ จีเฉวียนก็ยังคงมีความสุขมากอยู่ดี พระองค์ยื่นพระหัตถ์ไปทัดผมที่ริมหูตู๋กูซิงหลัน จูบลงหนักๆ ลงไปบนศีรษะของนาง
“ซิงซิง เราจะต้องสู่ขอเจ้ามาแต่งงานให้ได้”
บนศีรษะให้ความรู้สึกเย็นๆ แต่คำพูดท่ามกลางกองเพลิงของเขากลับดังชัดอยู่ในหูของนาง
หนักแน่นและชัดเจนอย่างยิ่ง
ราวกับว่าจะทะลวงเข้าไปภายใน สลักลึกลงไปในหัวใจของนาง
อยู่อยู่หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เกิดอาการเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง นางครางเบาๆ ก็ผินหน้าไปทางอื่น ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้รู้สึกดีขึ้น ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงแม่ม่ายน้อยที่พระองค์ไม่อาจเกี่ยวข้อง”
จีเฉวียน “เช่นนั้นพวกเรามาคอยดูกันต่อไป”
พอตรัสแล้ว ก็พบว่าหมอกสีแดงที่อยู่ด้านหลังกำลังเคลื่อนไหว ฉู่เจียงที่ถูกละเลยไปเหยียบหมอกสีแดงใต้ฝ่าเท้าเหาะมาทางนี้
เขาหยุดอยู่ที่ด้านข้าง เปลือยท่อนแขนข้างหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นกวาดมองมาที่จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
ตอนนี้ไอสังหารในแววตาจางหายไปหมดแล้ว
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?” จีเฉวียนประทับนั่งลงบนหลังของเมียเมียแล้ว ด้วยท่าทางประหนึ่งขุนศึกผู้องอาจบนหลังม้าเช่นเคย ตู๋กูซิงหลันถูกพระองค์โอบเอวเอาไว้ เอนอยู่บนตักของพระองค์
คนที่แสนงดงามทั้งสอง เมื่ออยู่ในท่วงท่าเช่นนี้ก็ยิ่งดูงดงามจนน่าตื่นตะลึง
ฉู่เจียงมองดูพวกเขา ในสมองก็อดไม่ได้ที่จะเกิดภาพบางอย่างขึ้นมา
“โอรสสวรรค์แคว้นโจว เจ้าไม่รู้จักข้าเลยสักนิดหรือ?” ฉู่เจียงจดจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างตรงๆ ตอนนี้เขาก็ยังจำได้ถึงความรู้สึกที่เมื่อครู่ร่างกายของเขาต้องการให้เขายอมศิโรราบ
“เราสมควรจะรู้จักเจ้า?”
ท่าทางเช่นนั้น มิได้เสแสร้ง
ฉู่เจียงเงียบงันไป พลางหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน
คืนนี้เขาก่อเรื่องน่าขายหน้าเสียใหญ่โต นึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ก็คือเหลียงเซิงเซิง แถมยังไล่ตามฮ่องเต้จะสับเขาทิ้งเป็นหลายท่อน
เกือบจะพลาดตกหลุมพรางของเหลียงจวิ้นอ๋อง ถูกเผาตายอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องแล้ว
หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้แคว้นโจว เขาก็ไม่อาจกลับออกไปจากจวนจวิ้นอ๋องโดยไร้บาดแผลเช่นนี้
หากพูดถึงที่สุด เขาติดค้างน้ำใจจีเฉวียนอยู่ครั้งหนึ่ง
“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า ฮ่องเต้แคว้นโจวท่านมีบางอย่างที่ดูคุ้นเคย” ฉู่เจียงพูดต่อไป ชายเสื้อบนร่างและเส้นผมสีเงินโบยโบกตามสายลม
“หากว่าวันหน้าโอรสสวรรค์แคว้นโจวนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็สามารถไปเสาะหาข้าที่เขาฝูซาง”
จีเฉวียนมิได้ตอบคำเขา เรื่องของอนาคต พระองค์เองก็ไม่อาจตรัสได้อย่างชัดเจน ย่อมไม่จำเป็นจะต้องรีบปฏิเสธผู้คนออกไป
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังฉู่เจียง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ลง “ข้ามีเรื่องที่สงสัยอยู่บ้าง ทำไมฉู่เจียงผู้เป็นอันดับสองในสิบยมราช ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?”
ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันกล่าวออกมา สีหน้าของฉู่เจียงก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
หลายปีมานี้ เขาถูกเรียกว่าเป็นมารปีศาจจนชินชาเสียแล้ว อยู่อยู่ก็ได้ยินคำเรียกหาว่าเป็นสิบยมราชขึ้นมา ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยสักเท่าไร
——
ตอนต่อไป “สตรีผู้นั้น……นางคือ?”