ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 345 “กอดน้องสาวสุดที่รัก”

นางไม่เคยมองดูเมืองกู่เย่วจากมุมมองเช่นนี้มาก่อน
 
 
ถึงได้ไม่เคยรู้ว่า ตลอดหลายปีมานี้ท่านปู่ดูแลที่นี่จนงดงามเช่นนี้
 
 
จวนจวิ้นอ๋องยิ่งทียิ่งไกลตาออกไป ใจของนางก็ลอยห่างออกไปด้วย
 
 
ฉู่เจียงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของนาง หากพิศดูให้ละเอียด นางและตู๋กูซิงหลันก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
 
 
ตอนนั้นที่พบกันบนภูเขาฝูซางซาน นางยังตัวเล็กเป็นต้นถั่วงอก ตัวสูงไม่เกินเข่าของเขา
 
 
ร่างของนางดูดซับไอทิพย์ได้โดยธรรมชาติ เป็นที่ดึงดูดทั้งวิญญาณและภูติผีปีศาจ ดังนั้นเขาจึงได้ประทับคำสัญญาของปีศาจเอาไว้บนร่างของนาง จะได้เอาไว้ครอบครองแต่ผู้เดียวในภายหลัง
 
 
บางที….หากดูดซับไอทิพย์จากร่างของนาง แล้วฝึกฝนต่อไปอีกพันปี เขาก็อาจจะทำลายผนึกออกไปได้ ไปให้ไกลจากกรงแห่งนี้
 
 
ช่วงสั้นๆ ในตอนนี้ ก็ให้เด็กสาวนี้มาเป็นเครื่องคลายเหงาก่อนแล้วกัน
 
 
ต้องเลี้ยงเอาไว้ดีๆ ไม่ให้นางตายหรอก
 
 
……………….
 
 
ขณะที่เมืองหลวงได้รับหิมะแรกของฤดูนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงนำไทเฮากลับมาแล้ว
 
 
ทุกคนต่างก็ได้ยินข่าวว่า เหลียงจวิ้นอ๋องเมืองกู่เย่วก่อกบฏไม่สำเร็จ ถึงแก่ความตาย
 
 
ฝ่าบาทไม่เพียงแต่ไม่สั่งประหารทั้งตระกูล หนำซ้ำยังให้เขาได้รับการฝังกลบเฉกเช่นท่านโหวผู้หนึ่ง
 
 
หลังจากนั้น กองกำลังของเมืองกู่เย่วทั้งหมดก็สวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ต่อไปจะไม่มีกองกำลังของอ๋องแห่งเหมืองกู่เย่วอีกแล้ว
 
 
ระบอบประมุขศักดินาจึงถูกผลักดันขึ้นมาอีกครั้ง ขุนนางคนสำคัญจากฝ่าบาทถูกส่งไปสอดส่องดูแลเมืองกู่เย่ว
 
 
เหล่าชนชั้นสูงและอ๋องต่างๆ ในแคว้นต้าโจวที่ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่ยอมมอบอำนาจในท้องที่ออกมา ตอนนี้ก็พากันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
 
 
บิดาของพระสนมเอกซูหวงกุ้ยเฟย นำมาก่อนเป็นคนแรก เขานำที่ดินในครอบครองทั้งหมดทูลถวายแก่ฝ่าบาท ยามออกจากวังมาสองผู้ชรายังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด การจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจาก เจ้ารัฐ  [1] ไปเป็น ประมุขศักดินา  [2]  ถือเป็นงานใหญ่ จีเฉวียนไม่เพียงแต่มีพระทัยทะยานอยาก แต่ว่าพระองค์ทรงมีพลังและความสามารถที่จะกระทำได้ด้วย
 
 
ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การจะไปขวางทางจีเฉวียนก็มีแต่จะต้องตายเท่านั้น
 
 
มิสู้ยอมศิโรราบอย่างอ่อนน้อม อย่างน้อยๆ ลูกหลานที่อยู่ถัดไปอีกสามรุ่นก็ยังได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
 
 
เมื่อกลายเป็นเช่นนี้ บัลลังก์ฮ่องเต้ของจีเฉวียนจึงยิ่งมั่นคงกว่าเดิม
 
 
นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงเสด็จกลับมาจากแคว้นกู่เย่ว สีพระพักตร์ก็ดีขึ้นทุกๆ วัน พระวรกายที่ผ่ายผอมจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูกก็ดูจะหนาและบึกบึนขึ้นมา
 
 
ยามนี้ฮ่องเต้ผู้ทรงสูงส่งและงดงามดังเทพเซียนได้กลับคืนมาแล้ว
 
 
ส่วนไทเฮาน้อยที่อยู่ในวังหลังผู้นั้น
 
 
ฟังว่านับตั้งแต่เสด็จกลับมา ก็ประทับอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิง ไม่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
 
 
การที่เหลียงจวิ้นอ๋องก่อกบฏไม่สำเร็จในครั้งนี้ ไทเฮาทรงสร้างผลงานเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่
 
 
เดิมทีต่างก็นึกกันว่าไทเฮาทรงหายไปในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือแล้ว…. คิดไม่ถึงเลยว่านางกับลุยออกไปก่อนหน้าแล้ว
 
 
และเพราะในพระทัยของพระนางถือเอาแคว้นต้าโจวเป็นสำคัญ จึงได้บุกไปเมืองกู่เย่วอย่างไม่หวั่นเกรง เสาะหาคลังลับของเหลียงป๋อที่เก็บสะสมอาวุธไว้จนพบ ทำลายแผนการกบฏของเหลียงป๋อลงไปในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
 
 
ถึงคนในวังหลังจะไม่ยอมพูดอะไรออกมา แต่สายตาของขุนนางในราชสำนักที่มีต่อนางก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
 
 
ที่อดีตฮ่องเต้สิ้นเพราะได้เห็นความงามของนาง…..ก็ได้แต่โทษว่าเป็นเพราะคนเขาเกิดมามีใบหน้างดงามตามธรรมชาติ
 
 
อดีตฮ่องเต้ไม่อาจควบคุมพระองค์เอง ตื่นเต้นเกินไปจนสิ้นพระชนม์ นี่ย่อมไม่อาจไปถือโทษใส่ตู๋กูซิงหลันได้
 
 
ยิ่งเรื่องที่ก่อนหน้านี้หาว่านางไปล่อลวงฮ่องเต้พระองค์ใหม่นั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าถูกใส่ความต่างหาก
 
 
ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เหล่าขุนนางต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปกับตู๋กูซิงหลันในตอนนั้นออกจะเกินไปแล้ว พอคิดให้ละเอียด บุตรสาวของตนเอง หลานสาวของตนเอง ต่างก็อายุไล่เรี่ยกัน พวกนางยังเอาแต่ปักผ้าเก็บดอกไม้เลี้ยงปลาอยู่เลย
 
 
แต่ดูไทเฮาน้อยสิ คนสามารถบุกเข้าไปทำลายแผนการของขุนนางกบฏได้ด้วยตนเอง
 
 
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ชื่อเสียงของตู๋กูซิงหลันในราชสำนักก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก
 
 
ดังนั้นในวังหลัง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
 
 
มีพระสนมไม่น้อยที่เห็นว่า วันนั้นที่หิมะตกลงมาครั้งแรกๆ ฮ่องเต้ทรงอุ้มไทเฮาน้อยเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหมิงกงด้วยพระองค์เอง
 
 
และแม้แต่สายพระเนตรของฮ่องเต้เองก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
 
 
นั่นเป็นสายตาที่พวกนางเองก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ราวกับว่ากำลังทอดพระเนตรดูสมบัติล้ำค่า ด้วยความระมัดระวัง ปกป้องและทะนุถนอม
 
 
แต่กับพวกนางเหล่านางสนมที่ได้แต่เฝ้ามองตาละห้อยด้วยความหวังนั้น ฝ่าบาทกลับมิได้ทรงเหลือบพระเนตรมองแม้แต่ครั้งเดียว
 
 
ราวกับว่าในสายพระเนตรในพระทัยมีแต่ไทเฮาน้อยเพียงผู้เดียว
 
 
สตรีในวังหลังล้วนมิใช่คนโง่ ….ย่อมรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องบางประการขึ้นในเมืองกู่เย่วเป็นแน่
 
 
ตู๋กูซิงหลันเดิมทีก็มิใช่สตรีที่ไร้เดียงสาอยู่แล้ว
 
 
เดิมตั้งแต่ตอนที่อยู่ในวังหลวง นางก็มักจะหาหนทางดึงดูดและล่อลวงฝ่าบาทอยู่แล้ว
 
 
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เคยสนใจนาง ครั้งนี้ถึงได้งัดเอากระบวนท่านี้ออกมา เริ่มจากการไปหาสมบัติที่แคว้นเซอปี่ซือก่อน หลังจากนั้นก็ไปปราบความไม่สงบในเมืองกู่เย่ว ทั้งหมดนี้คือแผนการที่นางวางเอาไว้อย่างดิบดีแล้ว ที่นางลงทุนทำไปทั้งหมดก็เพื่อให้ได้มาซึ่งฝ่าบาท
 
 
ตอนนี้ดูท่า นางคงจะทำได้สำเร็จแล้ว
 
 
เหล่านางสนมคลี่ยิ้มกันแต่บนใบหน้า ในใจกลับก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด
 
 
หากนับเรื่องฝีมือและการวางแผนแล้ว พวกนางสู้ตู๋กูซิงหลันไม่ได้จริงๆ
 
 
……………
 
 
ฤดูหนาวปีนี้เย็นยะเยือกเป็นพิเศษ ขาที่ไม่อาจเดินได้ของตู๋กูซิงหลันยิ่งกลัวความหนาว
 
 
ช่วงหลายวันมานี้นางเอาแต่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ขาทั้งสองขาถูกพันผ้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
 
 
คนบางคนอายุก็ยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่กลับเป็นโรคคนชราที่ขาเย็นแข็ง คนผู้นั้นก็คือนางนั่นเอง
 
 
นับตั้งแต่ที่นางกลับมา เชียนเชียนก็คอยจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลาทั้งวี่ทั้งวัน ด้วยความกลัวว่าแค่กระพริบตานางก็จะหายไป
 
 
พี่ใหญ่พี่รองต่างก็เข้ามายกน้ำชาเทน้ำขับไล่ความหนาวเติมความอบอุ่นอย่างวุ่นวายอยู่ในวังทั้งวี่ทั้งวัน ตู๋กูซิงหลันแค่ขาเสีย แต่ในสายตาของพวกเขาเหมือนดั่งโดนเอาชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
 
 
พี่ใหญ่สวมเกราะที่เย็นเป็นน้ำแข็งตัวหนึ่ง สีเงินบนเกราะมีหิมะเกาะเป็นชั้นๆ อยู่เต็มไปหมด
 
 
พอเขาเข้าประตูมาก็วางดาบเล่มใหญ่เอาไว้ด้านข้าง ส่งกล่องอาหารในมือวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน
 
 
“น้องเล็ก นี่คือขาหมูร้านเหล่าสวีตรงกำแพงเมืองทิศใต้ พึ่งออกจากเตาเลย เสร็จใหม่ๆ ยังร้อนๆ อยู่เลย” ตู๋กูจุนตักเอาขาหมูที่หั่นเอาไว้ดีแล้ววางไว้ข้างหน้าตู๋กูซิงหลัน
 
 
ขาหมูพะโล้ของร้านเหล่าสวีถือเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ขายหมดแต่เช้าทุกวัน เขาไปรอตั้งแต่ตอนที่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อให้น้องสาวได้กินเป็นคนแรก
 
 
พี่รองตู๋กูเจวี๋ยถอดชุดคลุมหนาหนักของตนเองออกถือน้ำค้างเอาไว้ในมือ ส่งมาถึงตรงหน้าของนาง “น้องเล็ก นี่เป็นน้ำที่พี่รองต้มจากน้ำค้างของดอกสาลี่ สดชื่นมากเลย ลองดื่มสิ”
 
 
สองบุรุษตัวโตนั่งลงบนข้างเตียงของนาง
 
 
ยกมาให้ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ถึงกับจะป้อนเข้าปากของตู๋กูซิงหลัน
 
 
“อ้า น้องเล็กอ้าปาก” ตู๋กูจุนที่ร่างกายบึกบึนโครงหน้าคมเข้มยามจะดูแลเอาใจใส่น้องสาวของตนเองขึ้นมานั้น จึงจะได้เห็นเขามีความอดทนสักครั้ง
 
 
“น้องเล็ก ดื่มน้ำสาลี่หิมะ” ตู๋กูเจวี๋ยตักน้ำสาลี่มาช้อนหนึ่ง เพราะกลัวจะร้อนลวกนาง เป่าอยู่หลายครั้งค่อยส่งให้นางถึงปาก
 
 
เชียนเชียนเห็นจนไม่เป็นที่ประหลาดใจอีกแล้ว ถึงภายในห้องจะจุด ถ่านหยินซือ  [3] นางก็ยังไปเอาเตาอุ่นมือใบน้อยมาให้ตู๋กูซิงหลันอีก
 
 
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่เอาใจใส่ดูแลตนเองของพี่ชายทั้งสอง ในใจก็บังเกิดความละอายขึ้นมา
 
 
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าเพียงแต่ขาพิการ มือยังไม่พิการเสียหน่อย….ข้าทำเองก็ได้” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองอายุขนาดนี้แล้วยังต้องให้คนมาคอยป้อนอาหาร ช่างน่าละอายมากแล้ว
 
 
“เรียกว่าแค่ขาพิการที่ไหนกัน!” สองพี่ชายส่งเสียงด้วยความขุ่นเคือง
 
 
น้องเล็กขาพิการ รู้หรือไม่ว่าสำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่าฟ้าถล่มลงมาอีก?
 
 
นางไม่รู้หรือว่า ตอนที่นางหายสาบสูญไปนั้น พวกเขาค้นหาจนแทบจะพลิกแคว้นต้าโจวขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
 
 
พอรู้ว่านางยังไม่ตาย สองบุรุษตัวโตถึงกับหลั่งน้ำตาร้องไห้ใหญ่โตออกมาในทันที
 
 
ทั้งยังขี่ม้ากลับมาเมืองหลวงโดยไม่มีหยุดพัก เพราะเพียงแค่อยากจะกอดน้องสาวสุดที่รักของพวกเขาเท่านั้น
 
 

 
 
——
 
 
ตอนต่อไป “วังหลังของตู๋กูซิงหลัน”
 
 
——
 
 
[1] เจ้ารัฐ อ๋องแคว้นต่างๆ มีกองทหารและอำนาจในการปกครองท้องที่ของตนเองโดยเด็จขาด แต่ให้ความเคารพฮ่องเต้ในฐานะประมุขของบ้านเมือง
 
 
[2] ระบบรวมอำนาจที่ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้นำสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว ที่เหลือคือขุนนางซึ่งอยู่ใต้อำนาจฮ่องเต้
 
 
[3]  银丝炭 :ถ่านไหมเงิน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset