“นับตั้งแต่ที่ท่านจากไป ข้าก็คอยดูแลเอาใจใส่ต้นไห่ถางเหล่านี้ประดุจเป็นชีวิตตนเอง ตอนที่ดอกไม้ผลิบานนั้น เป็นสีแดงราวแสงไฟจับอยู่ทั่วไปหมด น่าชมอย่างยิ่งจริงๆ” เจียงเหม่ยหยู่พูดพลางก็วางสองมือลงบนบ่าของเขา
ตู๋กูถิงหันมาเหลือบมองดูนางแวบหนึ่ง ก็ได้ยินเจียงเหม่ยหยู่กล่าวต่อไปว่า “ข้าน่ะคิดถึงท่านเหลือเกิน คิดถึงท่านเสียจนใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว”
วันนี้นางแต่งหน้าแต่งตามาเป็นพิเศษ สวมชุดลายดอกไม้ผลิบาน ตู๋กูถิงเห็นแล้วกลับสงสัยว่าบนใบหน้าของนางใช่โปะแป้งลงไปถึงหนึ่งชั่งใช่หรือไม่
“นายท่าน สองปีที่ท่านไม่อยู่นี้ ข้าเป็นทุกข์จนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเสียจริงๆ” เห็นเขามิได้มีท่าทีปฏิเสธ เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งเคลื่อนไหวต่อไป นางเกาะยึดหัวไหล่ของตู๋กูถิงเอาไว้ แทบจะโผศีรษะลงไปซบ
ยังไม่ทันได้ซบลงไป ก็เห็นตู๋กูถิงยื่นมือขึ้นมาปัดผ่านใบหน้าของนางเบาๆ ก็ปาดเอาแป้งหนาๆ บนใบหน้าของเจียงเหม่ยหยู่ออกมา” เจ้าเล่นไร้สาระอะไร แป้งน่ะมีไว้สำหรับทำอาหาร อย่าได้สิ้นเปลืองเอามาพอกบนใบหน้าสิ สตรีสูงวัยก็สมควรจะมีลักษณะของสตรีสูงวัย”
เจียงเหม่ยหยู่ “…….”
นางอุตส่าห์ประทินโฉมเป็นพิเศษมาตั้งแต่เช้า กลับถูกเขาปาดทิ้งออกมาเช่นนี้!
แถมยังออกปากเรียกนางเป็นสตรีสูงวัยอยู่ทุกคำ?
เจียงเหม่ยหยู่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว
หากจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่มีอารมณ์อ่อนหวาน ตอนที่เจียงเย่วยังมีชีวิตอยู่ มิว่าจะเป็นเครื่องประทินโฉม หรือเครื่องบำรุงผิวใดๆ เขากลับซื้อเข้าบ้านมาเป็นกุรุส ยิ่งพวกชาดแต้มตาทาปากก็ยิ่งซื้อมาถมเอาไว้ในบ้านเป็น**บๆ
แม้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเจียงเย่วแทบจะไม่สนใจเสียเลยด้วยซ้ำ
ยามที่เจียงเย่วไม่แต่งหน้าทาปาก เขาก็ชมว่าเจียงเย่วเหมือนดั่งเทพธิดาดอกบัว บริสุทธิ์สะอาดเหนือโคลนตม ยามที่เจียงเย่วแต่งหน้าประทินโฉม เขาก็ชมว่านางงดงามเหมือนดั่งเทพธิดาดอกมู่ตาน
แต่ทำไมพอมาถึงนาง กลับกลายเป็นหญิงชราโปะหน้าด้วยแป้งทำกับข้าวไปได้?
“นายท่าน ท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าเสียใจแล้วนะรู้ไหม” เจียงเหม่ยหยู่ยังไม่ยอมถอดใจ “ข้าทำไปก็มิใช่เพราะเห็นแก่หน้าตาของท่านหรอกหรือ ถึงได้พยายามแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดี”
“หน้าตาของอ๋องเช่นข้ายังต้องให้เจ้ามาคอยค้ำไว้หรือยังไง?” ตู๋กูถิงไม่อยากจะสนทนากับนางเท่าไรนัก
เขาถอยมาก้าวหนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องโถง
หลานชายทั้งสองเข้าวังไปรับตัวหลานสาวสุดที่รักของเขาแล้ว เขาเองก็รออยู่นานแล้ว น่าจะใกล้มาถึงแล้วกระมัง
นับตั้งแต่ที่เขากลับมาเมืองหลวง ก็ยังไม่ได้พบกับหลานสาวสุดที่รักของตนเองเลย
จนถึงกับต้องทูลถวายฏีกา ขอให้ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้หลานสาวสุดที่รักได้กลับมาร่วมรับประทานอาหารของครอบครัวด้วยกัน
นับตั้งแต่ที่เจียงเย่วสิ้นไป เขาก็ได้สาบานเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่ก้าวเท้าเข้าวังอีกแม้แต่ก้าวเดียว
หลายปีมานี้ก็เอาแต่นำทัพออกรบมาโดยตลอด ถึงแม้ว่านานๆ ครั้งจะกลับมาเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในวังสักครั้ง
ไม่ร่วมประชุมขุนนาง ไม่ไถ่ถามเรื่องของราชสำนัก ไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ช่วงแรกๆ ยังมีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เขากันยกใหญ่ แต่ว่าพอเนิ่นนานไป ผู้คนต่างก็พากันคุ้นเคยเสียแล้ว
แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังลืมพระเนตรข้างหนึ่งหลับพระเนตรข้างหนึ่ง ขอเพียงแต่ว่าเขายังทำงานให้แคว้นต้าโจว พระองค์ก็ยังยอมปล่อยเขาเอาไว้
เจียงเหม่ยหยู่แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว นางยกกระโปรงหนาๆ ขึ้นมา รีบก้าวเท้าติดตามไป
“นายท่าน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นภรรยาน้อยของท่าน นับตั้งแต่ที่พี่สาวจากไป จวนตู๋กูนี้ก็เหลือแต่ข้าเป็นสตรีอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว”
“หากพี่สาวทราบว่านายท่านละเลยข้าเช่นนี้ มิรู้ว่ายามอยู่ในปรภพจะรู้สึกเสียใจเพียงไร”
เจียงเหม่ยหยู่ทางหนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ทางหนึ่งก็เหลือบมองดูตู๋กูถิง
พอนางพูดจบ ก็เห็นตู๋กูถิงหยุดเท้าลง เขาหันหน้ากลับมา คว้าข้อมือของนางเอาไว้ในทันที “เจ้ารู้หรือไม่ ที่เจ้าสามารถมีชีวิตสุขสบายปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะฮูหยินทั้งนั้น?”
เจียงเหม่ยหยู่ตกตะลึงไปแล้ว ตอนนี้นางอยู่อย่างสุขสบายหรือ?
นางถูกรังแกจนถึงขนาดนี้แล้วต่างหาก? นายท่านตาบอดไปแล้วหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องอยู่อย่างน่าอดสู ทั้งหมดนี้นางต้องต่อสู้แย่งชิงมาทั้งนั้น เจียงเย่วเคยทำอะไรที่ไหนให้กับนางกัน?
“ตอนนั้นหากมิใช่เพราะว่านางพยายามปกป้องเจ้าอย่างสุดชีวิต เจ้าก็คงตายไปในการสังหารหมู่ในแคว้นกู่เย่วไปแล้ว”
ตู๋กูถิงเค้นเสียงเบาอยู่ในลำคอ เขาแทบจะบีบของมือของเจียงเหม่ยหยู่หักไปอยู่แล้ว
เขากล่าวเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เจียงเหม่ยหยู่ตัวแข็งค้างไปในทันที พอคิดย้อนกลับไปถึงยามที่เลือดไหลนองดั่งท้องธารขึ้นมา นางก็ยังต้องขวัญผวาอยู่จนถึงตอนนี้
ใช่ นางยอมรับว่าตอนนั้นเจียวเย่วช่วยนางเอาไว้….
แต่ว่าดูเจียงเย่วสิ นางสกปรกโสโครกถึงเพียงไหน? ก็แค่เกิดมามีใบหน้าสะสวยเท่านั้นมิใช่หรือ ทำไมเหล่าบุรุษทั้งหลายต่างต้องพากันไปชอบพอนางด้วย?
นางมันก็เหมือนกับน้ำครำสกปรก ที่ใครไปสัมผัสโดนเข้าก็ล้วนไม่มีจุดจบที่ทั้งนั้น!
ฟ่านอิง ปฐมฮ่องเต้ แล้วก็ยังมีเหลียงจวิ้นอ๋อง ดูบุรุษเหล่านี้สิ มีใครที่มีจุดจบที่ดีบ้าง?
หึ ก็เหลือแต่ตู๋กูถิงเท่านั้น
แต่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าเขามีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ แต่ความจริงแล้วล่ะ? นอกจากทำสงครามก็คือทำสงคราม ราวกับเป็นศพเดินได้ที่ไร้ชีวิตจิตใจ เคยมีชีวิตอย่างมีความสุขที่ไหนกัน?
“จงจดจำความดีของฮูหยินที่ทำเพื่อเจ้าเอาไว้ให้ดี อยู่ในจวนก็อย่าได้คิดหาเรื่องทำร้ายตนเอง ข้าสามารถจะให้เจ้าอยู่อย่างไม่ลำบากไปตลอดชีวิต” ตู๋กูถิงสะบัดนางออกไป ทั้งยังปัดเศษแป้งที่อยู่บนหัวไหล่
ท่าทางที่รังเกียจเช่นนั้น ทำร้ายจิตใจของเจียงเหม่ยหยู่อย่างรุนแรง
นางเองก็เคยผ่านวัยเยาว์มาก่อน เคยเป็นสาวน้อยที่หวั่นไหวใจด้วยความหลงใหล
ตอนนั้นยามอยู่ในเมืองกู่เย่ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นตู๋กูถิง นางก็ถูกแม้ทัพหนุ่มน้อยผู้นี้ดึงดูดจิตใจไปแล้ว
เขาขี่ม้าตัวสูงใหญ่ รวบผมทรงหางม้าสูง สวมชุดเกราะสีเงินยวง ไพล่หอกเอาไว้ด้านหลัง สง่างามเหมือนดั่งเทพบุตรที่เดินออกมาจากในหนังสือ
ในตอนนั้น นางไม่สนใจความขัดแย้งของทั้งสองแคว้น เพียงแต่ต้องการได้อยู่ร่วมกับเขาเท่านั้น
ตลอดหลายปีมานี้ ไม่เคยมีเวลาไหนหรือเมื่อไรที่นางจะไม่ปรารถนาจะได้หัวใจของเขามา
แต่ว่าถึงแม้เจียงเย่วนางคนสวะนั่นจะตายไปหลายปีแล้วก็ตาม หัวใจของตู๋กูถิงก็ยังคงอยู่กับนาง
เจียงเย่วถือว่ามีดีอะไร?
เรื่องที่ถูกจีจ้านกระทำชำเราต่อหน้าผู้คนมากมาย ใครๆ ต่างก็ได้รู้ได้เห็น นางยังจะมีหน้ามาแต่งเป็นภรรยาหลวงของตู๋กูถิงอีก
ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตนชอบตู๋กูถิง แต่นางกลับทิ้งจีจ้าน มาแก่งแย่งตู๋กูถิงกับตน?
มีพี่สาวเช่นนี้ตนยังจะต้องขอบคุณนางอยู่อีกหรือ?
หัวใจของเจียงเหม่ยหยู่ยิ่งเกิดความชิงชังรังเกียจมากกว่าเดิม
นางยืนอยู่ข้างกายตู๋กูถิง ก้มศีรษะลงไป สายตามีแต่ประกายเคียดแค้น
ในตอนนั้นเอง ภายในสวนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมา เป็นตู๋กูสองพี่น้องกลับเข้ามาแล้ว
คนหนึ่งสวมเกราะสีเงิน คนหนึ่งสวมชุดสีขาว คนหนึ่งองอาจ คนหนึ่งหล่อเหลา ต่างก็เป็นลักษณะของคุณชายอันดับหนึ่ง
ตู๋กูถิงเดินออกไปอย่างเร่งร้อนอยู่บ้าง เขามองผ่านพวกเขาไปทางด้านหลัง “น้องสาวของพวกเจ้าล่ะ? ทำไมไม่รับกลับมา? พวกเจ้าทั้งสองที่เป็นบุรุษตัวโตมีประโยชน์อะไร?”
ว่าแล้ว ก็ไม่รอให้ทั้งสองได้เอ่ยปาก ก็ระเบิดอารมณ์ใส่หัวของพวกเขาแต่ละคน
ตู๋กูจุนและตู๋กูเจวี๋ยกระทั่งลมก็ยังไม่กล้าผาย ได้แต่ยอมให้เขาทุบตี
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ทุกเรื่องให้เห็นแก่น้องสาวเป็นสำคัญ น้องสาวยังไม่กลับมา พวกเจ้าสองคนกลับมาทำอะไร?”
ตู๋กูถิงระเบิดอารมณ์ไม่พอ ยังหันไปคว้าเอาไม้กวาดที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ฟาดตีลงไปบนร่างของทั้งสองรอยหนึ่ง
ตู๋กูเจวี๋ยเจ็บจนร้องโอดโอย รีบหลบไปอยู้ข้างหลังของตู๋กูจุน
ตู๋กูจุนก็ยืดร่างเอาไว้ รับการทุบตีอย่างตรงๆ
เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เขาเองก็ชินเสียแล้ว
“ท่านปู่ ฮ่องเต้ผู้นั้นกักตัวคนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเราจะไปทำอะไรได้ ตัดศีรษะเขาได้หรือไม่เล่า…โอ้ยๆๆ …..” ตู๋กูเจวี๋ยกระโดดออกไปสามครั้งติดๆ กัน หลบหนีไม้กวาดของท่านปู่ด้วยความรวดเร็วประหนึ่งงูเลื้อย
อย่าได้เห็นว่าเป็นแค่เพียงไม้กวาด ฟาดโดนคนขึ้นมาก็เจ็บเอาเรื่อง
เขาไม่ได้ถูกตีมาสองปีแล้ว อยู่ๆ ก็กระหน่ำลงมาเช่นนี้รับไม่ไหวจริงๆ
——
ไรท์: ในที่สุดท่านปู่ก็เผยโฉมแล้ว ท่านปู่ที่หล่อแบบรุ่นใหญ่แถมใส่ชุดเขียวทำให้ไรท์คิดถึงอึ้งเอี๊ยซือในดาบมังกรหยกเลย
ว่าด้วยเรื่อง อ๋อง: อ๋องเป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้มีหลายแบบนะจ๊ะ แต่จะขอกล่าวถึงกว้างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของเราเท่านั้น
ชินอ๋อง ( 亲王 ) : พระญาติสนิท เช่น พี่น้องร่วมบิดามารดา ส่วนใหญ่จะได้ตำแหน่งนี้ตอนที่ ไท่จื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ แล้วแต่งตั้งพี่น้องร่วมพระมารดาที่มีช่วยเหลือกันเป็นชินอ๋อง
จวิ้นอ๋อง ( 郡王 ) : อ๋องที่ปกครองแว่นแคว้น มณทลต่างๆ อาจเป็นญาติห่างๆ หรือขุนนางระดับสูงที่ถูกมอบหมายไปดูแลท้องที่ห่างไกล
ทั้งนี้บรรดาศักดิ์และทรัพย์สินของอ๋องสามารถส่งต่อให้กับทายาทของตระกูลได้เป็นการรักษาฐานะและอำนาจไว้กับตระกูลใหญ่เพียงไม่กี่ตระกูล
ตู๋กูถิงเรียกตนเองเป็นอ๋อง เพราะเขาเองก็เหมือนกับเหลียงป๋อ (เหลียงจวิ้นอ๋อง) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคุณงามความดีที่รับใช้แผ่นดิน
ตอนต่อไป “ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า!”