ตู๋กูจุน “ทำไมวันนี้ห้องโถงถึงไม่ได้จุดกระถางไฟ?”
ตู๋กูเจวี๋ย “จวนของพวกเรายากจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ? แม้แต่กระถางไฟก็ยังไม่มีจะจุด เคราะห์กรรมจริงๆ!”
พูดแล้วเขาก็เหลือบมองไปทางจีเฉวียน….
ในเมื่อวันนี้ฮ่องเต้สุดตระหนี่ผู้นี้กล้าก้าวเข้าถ้ำเสือมา ก็อย่าหวังเลยว่าจะกลับออกไปได้อย่างสบายๆ
จีเฉวียน “หลี่กงกง ไปนำถ่านไหมเงินในพระตำหนักตี้หัวกงส่งมาที่จวนตระกูลตู๋กูให้หมด”
ถ่านในตำหนักเฟิ่งหมิงกงเขาจะต้องเก็บเอาไว้ เดี๋ยวซิงซิงกลับเข้าวังไปยังจะต้องใช้
จีเฉวียนกลัวหนาวที่สุด ทุกปีในฤดูหนาวจะต้องใช้ถ่านไหมเงินจำนวนมากมาเพิ่มความอบอุ่น
เพียงแต่ตอนนี้พระองค์รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันจำเป็นจะต้องใช้มากกว่าพระองค์ ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะคิด ก็สั่งให้ส่งมาแล้ว
ที่จริงช่วงหลายวันมานี้ หลี่กงกงก็เห็นจีเฉวียนคอยเอาอกเอาใจตู๋กูซิงหลันอย่างบ้าคลั่งมากแล้ว แต่พอได้ยินรับสั่งเช่นนี้ออกมา เขาก็ต้องตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ราวกับว่าท่ามกลางฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกจนแทบจะทำให้พระองค์ตัวแข็งตาย กลับจะทรงส่งฉลองพระองค์คลุมที่มีอยู่เพียงตัวเดียวให้กับไทเฮาน้อย
ที่จริงแล้วถ่านเหล่านี้…สำหรับไทเฮาน้อยนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วกลับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
“รีบไปเบิกเอามา” ฮ่องเต้ทรงกำชับ หลี่กงกงไหนเลยจะยังกล้าลังเลอยู่อีก ได้แต่รีบทูลลานำคนออกไป
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็คิดไม่ถึง ว่าตนเองแค่กล้าวาจาเหลวไหลไปประโยคหนึ่งก็สามารถจะแลกเอาถ่านไหมเงินในพระตำหนักตี้หัวมาได้?
ถ่านไหมเงินเป็นถ่านที่แพงที่สุด ก้อนหนึ่งสามารถจุดได้ถึงสามวัน ให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง เพียงก้อนเดียวก็มีราคาถึงหนึ่งตำลึงเงิน คนทั่วไปไม่มีทางได้ใช้
เขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดมูลค่าอยู่ในใจ แค่ประโยคเดียวของเขา น่าจะแลกได้เงินมาพันตำลึงทองกระมั้ง?
ฮิฮิ……
ตู๋กูเจวี๋ยอดจะแอบดีใจไม่ได้
พอคิดถึงว่าเมื่อวันนั้นพระองค์รีบออกมายอมรับ ‘ลูก’ ในท้องของน้องเล็กว่าเป็นของพระองค์….
ตู๋กูเจวี๋ยก็ยิ่งเกิดความคิดคาดเดาอย่างอุกอาจ
พวกเขาเข้าใจจีเฉวียนผิดไปแล้ว
ที่พระองค์เสด็จมาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อใช้น้องเล็กมาบีบบังคับตระกูลตู๋กู วันนี้มาเพราะจะใช้น้องเล็กโน้มน้าวพวกเขา
ก็พระองค์กำลังอยากจะให้ท่านปู่ช่วยพระองค์โจมตีแคว้นเหยียนมิใช่หรือ?
ทันใดนั้น ในใจของเขาก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ แต่พอคิดว่าลูกชายเป็นฝ่ายส่งมอบทองคำพันตำลึงออกมาเอง แต่ทันใดนั้นความงกที่มีในหัวใจก็เข้ามาหักห้ามเอาไว้
ตู๋กูถิงยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง เขาเองก็ตกใจจนแทบจะถูเอาหนังมือของตู๋กูซิงหลันหลุดออกมาชั้นหนึ่ง
เจียงเหม่ยหยู่ก็ได้แต่ยิ้มอยู่ด้านข้างอย่างเก้อเขิน นังคนชั้นต่ำนั้นจงใจใช่หรือไม่ มันคิดจะแสดงให้เห็นว่าตนเองได้รับความโปรดปรานมากถึงเพียงไหนใช่ไหม?
ดูเอาเถอะ บุรุษเต็มห้อง มีคนใดบ้างที่ไม่รักนางปานแก้วตาดวงใจ?
ยิ่งได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของตู๋กูซิงหลัน เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งคิดไปถึงเจียงเย่ว
ตอนนั้นเจียงเย่วเองก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันชื่นชอบนาง หันไปแอบรักนาง ทำเหมือนคนอื่นที่เหลืออยู่ล้วนมิใช่ตัวดีมีคุณค่าอะไร
เจียงเหม่ยหยู่กัดฟันกรอดอยู่ในใจนับพันครั้ง แต่บนใบหน้าก็ได้แค่แย้มยิ้มหัวเราะฮิฮะออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจผู้อื่น “นายท่าน ในเมื่อตอนนี้พวกเด็กๆ ล้วนกลับมากันพร้อมหน้า สมควรเริ่มรับประทานกันได้แล้วกระมัง อาหารที่ห้องครัวตระเตรียมไว้ก็ใกล้เย็นหมดแล้ว”
ตู๋กูถิง “ใช่แล้ว ทำเอาดวงใจน้อยๆ ของข้าหิวจะแย่แล้ว”
เจียงเหม่ยหยู่ “……”
ฮ่องเต้ที่ทรงพระพักตร์หนาพอก็เข้าร่วมงานเลี้ยงไปด้วย ทั้งยังนั่งอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตู๋กูถิงจึงนั่งอยู่ข้างซ้ายของตู๋กูซิงหลัน ฮ่องเต้ประทับทางขวาของนาง ส่วนสองพี่ชายก็ได้แต่เขยิบออกไปข้างๆ
เจียงเหม่ยหยู่ยิ่งไม่มีสิทธิแม้แต่จะนั่งลง ได้แต่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง
ถึงแม้ว่าช่วงที่ตู๋กูถิงไม่อยู่บ้านนางจะถือโอกาสตั้งตัวเป็นประมุขฝ่ายหญิงของบ้าน แต่ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น
ว่ากันตามฐานะแล้ว อนุคนหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิรับประทานอาหารร่วมกับประมุขของบ้านและบุตรธิดาสายหลักอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังเพิ่มฮ่องเต้มาอีกพระองค์หนึ่ง นางยิ่งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ทั้งสิ้น
เจียงเหม่ยหยู่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจที่อึมครึมกว่าเดิม
ตู๋กูถิงเพียงสั่งให้นางกลับไปล้างเครื่องประทินโฉมออกให้หมดสิ้น กระทั่งกลิ่นเครื่องหอมที่รมผู้คนจนแทบสำลักตายนั้นก็ให้ล้างทิ้งไปด้วย
เจียงเหม่ยหยู่ถึงกับกระอักเลือดแล้วจริงๆ
จากนั้นท่านผู้เฒ่าก็หันกลับไปคีบอาหารให้กับตู๋กูซิงหลัน “ดวงใจน้อยๆ ปลาพวกนี้เจ้ากินให้มากๆ หน่อย”
ตะเกียบยังไม่ทันวางลงไป ก็ถูกฮ่องเต้ทรงยื่นตะเกียบมากันเอาไว้
ตู๋กูถิง “?” ฮ่องเต้น้อยผู้นี้จงใจหาเหตุหรือยังไง?
เขาตัดสินใจหันหน้าออกไปมองหาไม้กวาด มันไม่ใช่แค่พวกหลานชายเท่านั้นที่สมควรจะต้องโดนฟาด
ฮ่องเต้ “ปลานี่มีก้าง”
ตรัสแล้ว ก็เห็นพระองค์คีบเอาปลาชิ้นนั้นลงมาในชามของพระองค์เอง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทรงหยิบเอามีดขนาดเล็กออกมาจากที่ใด ค่อยๆ เลาะเอาก้างปลาทั้งหมดออกจนหมด ค่อยคีบคืนให้ตู๋กูซิงหลัน
ผู้คนทั้งหมด “???”
อยู่ๆ ตู๋กูถิงก็รู้สึกว่าไม้กวาดนั่นวางเอาไว้ก่อนก็ได้
สักพักหนึ่ง ตู๋กูเจวี๋ยก็เขี่ยๆ ไปที่จานปลา “ฝ่าบาท ปลานี่เป็น ปลาปาเป่าหยู [1] ผลผลิตชื่อดังของทะเลตะวันตก ก้างของมันอ่อนมาก สามารถรับประทานได้เลย….”
เขายังไม่กล้าขนาดจะพูดออกไปว่าฝ่าบาทคงจะไม่รู้จักกระมัง
ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็ตรัสโดยพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสีว่า “ก้างถึงจะอ่อนแต่ก็ตำคนได้อยู่ดี เอาออกหมดแล้วก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง”
ผู้คนทั้งหลาย “…….” พระองค์ตรัสเสียมีเหตุมีผล ทำเอาเถียงไม่ได้เลย
ตู๋กูซิงหลันมองดูปลาที่อยู่ในชามชิ้นนั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันสูญเสียจิตวิญญาณแห่งปลาไปแล้ว
ปลาที่ไม่มีก้าง ก็เหมือกับเมล็ดแตงที่ไม่มีเปลือก กินแบบนี้มันจะไปได้รสชาติอะไร?
วิญญาณทมิฬเป็นสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของนาง ย่อมรู้สึกได้ถึงความคิดในจิตใจของนาง
มันถึงกับกรอกตาขาวขึ้นมา ส่งเสียงคุยกับนาง ‘ในใจ’ ว่า “เจ้ากล้าพูดออกไปไหมเล่า?”
ครั้งนี้ไม่ใช่ว่ามันพูดจาช่วยเหลือฮ่องเต้สุนัข แต่ว่าสตรีผู้นี้ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทันรอให้นางได้กล่าวความในใจออกมา ก็เห็นท่านปู่คีบผักชิ้นหนึ่งมาให้อีก “ดวงใจน้อยๆ นี่เป็นผักสดกรอบที่เจ้าชอบกินมากที่สุด กินให้เยอะๆ หน่อย”
ครั้งนี้ฝ่าบาทมิได้ทรงสกัดเอาไว้ แต่ว่าคีบเอาขาหมูชิ้นหนึ่งมาให้ พลางตรัสกับนางอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษว่า “กินคู่กับเนื้อนุ่มๆ ยิ่งได้รสชาติดี”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้มือกุด หม่อมฉันจัดการเองได้เพคะ”
ตู๋กูซิงหลันถูกคำว่าเนื้อนุ่มๆ ของพระองค์ทำเอาตกใจขึ้นมา วันนี้ลูกชายลืมเสวยยาก่อนออกจากวังใช่หรือไม่ สมองถึงได้ดูไม่ปกติเท่าไร
หากมิใช่เพราะว่าท่านปู่และพวกพี่ชายต่างก็อยู่ด้วย ดูท่าจีเฉวียนคงจะต้องการป้อนนางด้วยตนเองอย่างแน่นอน
พอเห็นว่าหลานสาวของตนเองตั้งท่าปฏิเสธอย่างจริงจัง ท่านผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาวางตะเกียบในมือลง สีหน้าดำคล้ำ “ฝ่าบาท หลานสาวของกระหม่อมคิดจะกินอะไรพระองค์ก็ยังต้องยุ่งเกี่ยว เกรงว่าจะเป็นการเกินไปแล้วกระมั้ง?”
ในสายตาของท่านผู้เฒ่า ตู๋กูซิงหลันเป็นดั่งนักโทษที่ปราศจากอิสรภาพใดๆ ทั้งสิ้น ช่างน่าสงสารอย่างที่สุด
จีเฉวียน “เราเป็นห่วง”
“มีอะไรให้ฝ่าบาทต้องทรงเป็นห่วงกัน? ใช่หรือไม่ว่านางจะพูดอะไร ทำอะไร ล้วนต้องกราบทูลกับฝ่าบาทก่อน?”
ท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนที่อารมณ์ร้ายเช่นนี้เอง คนอื่นอาจเกรงกลัวจีเฉวียน แต่เขาไม่
“นางคือไทเฮา และยิ่งเป็นหลานสาวของกระหม่อมตู๋กูถิง! คือสตรีที่ทรงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน นางคิดจะทำสิ่งใด คิดจะพูดอะไร คิดจะกินอะไร ล้วนต้องแล้วแต่ตัวนางจะตัดสินใจเท่านั้น ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยหรือไม่พะยะค่ะ?”
——