ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 467 หุบเขาปีศาจ

ในขณะเดียวกัน ซูเยาที่อยู่เฝ้ารักษาแคว้นเหยียนมานานนับเดือน ในสมองก็เกิดภาพในอดีตมากมายไหลย้อนกลับมา
 
 
ชาติก่อน…..
 
 
เขายกมือขึ้นมา ใจกลางฝ่ามือปรากฏรูปลักษณ์ของจิ้งจอกในเปลวเพลิงตัวหนึ่งขึ้นมา
 
 
ในสมองก็เห็นภาพดวงหน้าที่ยิ่งทียิ่งจะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆขึ้นพร้อมกัน
 
 
เป็นซื่อมั่วที่โยนเขาลงไปในในกงล้อชีวิต…ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำ และกลับมาเกิดใหม่เช่นนี้
 
 
เดิมทีเขาคือ….จอมมารบนภูเขา….
 
 
ที่ถูกอาหลันช่วยเหลือเอาไว้ด้วยความบังเอิญ
 
 
คิดไม่ถึงว่า พอกลับมาเกิดใหม่แล้วก็ยังได้เจอกับนาง
 
 
นี่คงเป็นชะตาชีวิตสินะ….
 
 
อาหลัน
 
 
……………………….
 
 
ชายขอบของก้นทะเลลึก เยี่ยเฉินใช้เรี่ยวแรงและพลังทุกหยาดหยดที่มีนำพาจิตวิญญาณของหวาชางสุ่ยหลบหนีออกมาได้สำเร้จ
 
 
มือข้างหนึ่งของเขากุมด้ามพัดวายุที่ถูกทะลวงเป็นรอยขาดขนาดใหญ่เอาไว้ ทั่วทั้งร่างมีแต่เลือด
 
 
บาดแผลมากมายทั้งเล็กและใหญ่บนร่างทำให้เขาดูพรุนไปทั้งตัวราวกับเม่น
 
 
เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬผู้สูงส่งแล้ว ยามนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานดีๆนี่เอง
 
 
เยี่ยเฉินสูดอากาศจากภายนอกเขตก้นทะเลลึก หายใจเข้าไปคำโตหลายต่อหลายครั้ง
 
 
เขาจำไม่ได้แล้วว่า นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยได้กลิ่นของอากาศเช่นนี้มาก่อน
 
 
อิสระภาพ!
 
 
น้ำทะเลที่เคยเป็นสีฟ้าคราม ยามนี้ย้อมไปด้วยสีม่วงจางๆ
 
 
คลื่นทะเลที่ถาโถมอย่างบ้าคลั่งมานานในที่สุดก็สงบลงทีละน้อย……
 
 
เยี่ยเฉินพิงอยู่บนก้อนหินอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
 
 
เผ่ามังกรทมิฬจบสิ้นแล้ว ….เขาเองก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังของอะไร รู้แต่ว่านั่นเป็นพลังที่รุนแรงขนาดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
 
 
เขาเห็นกับตาของตนเองว่า นั่นเป็นพลังที่รุนแรงถึงขนาดสามารถถล่มฟ้าทำลายแผ่นดินได้เลย พลังนั่นบีบบังคับให้อสุรกายโลกันตร์กลับลงไปกักขังใต้ภูเขาไร้สิ้นสุดอีกครั้ง
 
 
จิตวิญญาณของหวาชางสุ่ยอ่อนแออย่างยิ่ง นางซ่อนตัวอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแผนการซุกซ่อนอยู่ในใจ
 
 
“นังแพศยาน้อยนั่นตายไปแล้วใช่ไหม?” นางถามออกมา
 
 
เยี่ยเฉินส่ายศีรษะ “ไม่รู้เลย ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก…..จึงเห็นไม่ชัดเจน”
 
 
“พลังที่น่ากลัวถึงเพียงนั้น ขนาดเผ่ามังกรทมิฬของพวกเรายังถูกทำลายจนราบคาบในครั้งเดียว แล้วนังแพศยานั่นจะรอดไปได้อย่างไร….นางคงจะตายไปแล้ว” หวาชางสุ่ยพูดออกไป แต่ว่าประโยคนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่
 
 
นางมองดูท้องทะเลที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง รู้สึกหนักใจจนบ่งบอกไม่ถูก
 
 
เดิมทีนางเคยเป็นชาวสวรรค์ที่สูงส่งแต่แล้วก็ถูกบีบคั้นจนต้องมามุดอยู่แต่ในก้นทะเลลึก ใช้ชีวิตอย่างไม่อาจเห็นแสงเดือนแสงตะวัน
 
 
อดทนต่อการทรยศหักหลังของผู้เป็นสามี ทั้งยังต้องหลบลี้หนีตายอย่างรากเลือด แม้แต่อิงเอ๋อร์ของนางก็ยังถูกฝังไปก่อนแล้ว
 
 
แล้วความแค้นนี้จะให้นางกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?
 
 
“พระมารดา……นางกับพี่ชายของนาง คงจะไม่รอดแล้ว” เยี่ยเฉินสรุปในใจได้เช่นนี้ เขาได้เห็นพลังนั้นมากับตา เขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดในร่างถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้
 
 
แล้วตัวเลวร้ายทั้งสองนั่นจะรอดไปได้อย่างไร?
 
 
แต่ก็ช่างน่าเสียดาย….สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ครอบครองพลังของจิตมังกรทมิฬ
 
 
แต่ที่น่ากังวลยิ่งไปกว่าเรื่องนั้น ต่อไปพวกเขาสมควรจะอยู่อย่างไร?
 
 
อิสระที่ได้รับมาในวันนี้ เหล่าทวยเทพบนสวรรค์จะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอนว่าอาณาเขตกักขังที่อยู่ใต้ก้นทะเลนั้นถูกทำลายไปแล้ว….เทพเหล่านั้นจะต้องไม่ปล่อยปละพวกเขาอย่างแน่นอน
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้พระมารดาสูญเสียร่างเนื้อไปแล้ว จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ก็อ่อนแออย่างยิ่ง
 
 
ตัวเขาเองก็บาดเจ็บสาหัส….หากว่าถูกพวกเทพสวรรค์จับได้ ก็คงจะมีแต่ความตายเท่านั้น
 
 
เยี่ยเฉินนอนพิงอยู่บนก้อนหิน ครุ่นคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง
 
 
ในตอนนั้นเอง หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
 
 
แปลงเป็นบุรุษที่สวมใส่ผ้าคลุมเอาไว้ผู้หนึ่ง
 
 
เยี่ยเฉินตกใจจนผุดลุกขึ้นมานั่ง กุมพัดวายุในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น ดวงตาสีครามคู่นั้นมองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นตัว
 
 
“เจ้าเป็นใครกัน?”
 
 
อีกฝ่ายมีแต่หมอกดำทั่วทั้งร่าง ผ้าคลุมหน้าปิดบังรูปโฉมของเขาเอาไว้จนหมดสิ้น
 
 
“ย่อมต้องเป็นคนที่มาช่วยเหลือพวกเจ้า”
 
 
เยี่ยเฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์”
 
 
“ไม่ ….ดูไม่คล้าย…..”
 
 
เขาไม่อาจอธิบายกลิ่นอายที่ได้จากคนผู้นี้ออกมา …..ช่างดูแปลกประหลาด
 
 
“ไม่ว่าข้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนไม่สำคัญ….ที่สำคัญก็คือหากไม่มีข้า พวกเจ้าก็ต้องตายสถานเดียว”
 
 
………………….
 
 
ที่ก้นทะเลลึก ณ หุบเหวไร้ก้น
 
 
เยี่ยจ้านนั่งอยู่บนต้นไม้ ในที่สุดทุกสิ่งก็สงบลงแล้ว
 
 
เส้นผมสีเงินของเขาร่วงลงไปไม่น้อย เพราะการเปิดช่องการเดินทางผ่านมิติติดต่อกัน ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างมหาศาล
 
 
ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายของเขาซีดขาวและอ่อนระโหยโรยแรง
 
 
ตรงหน้าของเขายังมีลูกแก้วลูกนั้นอยู่ ลูกแก้วเปล่งประกายสุกสว่างพร่างพราวอย่างงดงาม
 
 
ด้านในสะท้อนภาพดวงหน้าของสาวน้อยนางหนึ่ง
 
 
………………..
 
 

 
 
โลกปัจจุบัน หุบเขาปีศาจ
 
 
เรือนรับรองบนยอดเขา
 
 
ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว ดอกไม้ในสวนกุหลาบพากันผลิบาน….จนเป็นสีแดงเพลิงไปทั้งแถบ งดงามอย่างยิ่ง
 
 
หน้าต่างบนห้องชั้นสองยังคงเปิดไฟจนสว่าง
 
 
สาวน้อยที่รูปร่างบอบบางนอนอยู่บนฟูกนุ่มเหนือเตียงใหญ่
 
 
นางสวมใส่ชุดนอนผ้าไหมสีแดงบนร่าง ตรงเอวผูกเป็นเงื่อนผีเสื่อเอาไว้
 
 
สองขาทั้งเรียวยาวและขาวนวลราวกับไร้ข้อกระดูกยื่นพ้นออกมา
 
 
เส้นผมยาวสลวยสีหมึกอมเงินกระจายออกคลุมร่างกว่าครึ่งของนางเอาไว้
 
 
หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ส่งผ่านสายลมในฤดูร้อนเข้ามาด้านใน
 
 
ลมที่พลิ้วเข้ามาทำให้นางต้องกระพริบตา เส้นผมปลิวขึ้นมาน้อยๆ
 
 
เจ็บ
 
 
เจ็บปานถูกระเบิด
 
 
ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้สติขึ้นมานั้น ก็รู้สึกว่าในสมองเหมือนถูกคนยัดก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนลงมา ทั้งมึนงงทั้งหนัก
 
 
นางลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก พอได้เห็นห้องหับที่คุ้นเคย คนก็ต้องตกตะลึงไป
 
 
นางลูบขมับหนักๆ อยากจะให้สมองแจ่มใสขึ้นมาบ้าง
 
 
ภาพที่ขุ่นมัวตรงหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมา
 
 
ผ้าคลุมเตียงลายดอกทานตะวันที่ดูคุ้นเคยพึ่งผ่านการตากแดดมา บนเนื้อผ้ายังมีความอบอุ่นของแสงอาทิตย์เหลืออยู่
 
 
บนกำแพงมีแผ่นยันต์ติดอยู่เต็มไปหมด
 
 
กำแพงด้านตะวันออกเต็มไปด้วยอาวุธโบราณ ด้านตะวันตกมีปืนรุ่นใหม่ๆจัดวางอยู่เต็มไปหมด
 
 
ด้านที่ตรงข้ามกับเตียงมีภาพขนาดใหญ่ที่พิมพ์ขึ้นมาจากทองคำ
 
 
บนภาพนั้นเป็นภาพของบุรุษในชุดแบบตะวันตกสีม่วง กำลังอุ้มทารกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน
 
 
ใช่แล้ว….บุรุษในชุดสีม่วงแบบตะวันตกผู้นี้ก็คืออาจารย์ของนาง ซื่อมั่ว
 
 
ได้ยินว่าภาพนี้ถ่ายเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่พึ่งจะรับนางมา
 
 
ท่านอาจารย์มิได้ยิ้ม แต่ว่านางที่เป็นทารกนั้นกลับแย้มยิ้มอย่างสดใส
 
 
หากจะบอกว่าท่านอาจารย์มีรสนิยมใดที่ไม่ได้เรื่อง….นั่นก็ต้องบอกว่าการแต่งตัวของเขานั้นทำให้ใครก็พูดอะไรไม่ออก
 
 
ชอบสีอะไรไม่ชอบ กลับชอบสีม่วงเข้ม!
 
 
ทั้งยังชอบพิมพ์รูปของตนเองขึ้นมาด้วยทองคำ
 
 
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องภาพที่พิมพ์ขึ้นมาจากทองคำนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง
 
 
พอหันหน้าออกไปมองดูดงดอกกุหลาบสีแดงที่นอกหน้าต่าง …..นางค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า
 
 
นี่นางกลับมาสู่…..โลกปัจจุบันแล้ว?
 
 
หากว่าจำไม่ผิดละก็……เมื่อครู่ก่อนนางยังอยู่ใต้ทะเลลึก ยืนอยู่บนศีรษะของจู๋จู๋ กุบดาบยักษ์เอาไว้ไล่ตามท่านอาจารย์ไปอยู่เลย
 
 
ทำไม….เพียงแค่ชั่วแวบเดียว ถึงได้กลับมาที่นี่เสียแล้ว?
 
 
ที่นี่เป็นบ้านบนพื้นที่ส่วนบุคคลของนาง สวนกุหลาบบนหุบเขาปีศาจ
 
 
ตอนนั้นเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถูกเลี้ยงเอาไว้ที่นี่
 
 
ตอนนี้เป็นยามดึกแล้ว ในสวนมีแต่ความเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกและแมลงร้อง บนเขาปีศาจมีผีชุม ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สวนกุหลาบแห่งนี้
 
 
เหล่าภูติผีต่างก็รู้ดีว่า เจ้าของสวนกุหลาบอารมณ์บูดง่าย ชอบใช้กำลัง ทั้งยังนิยมความรุนแรง ดังนั้นหากยังไม่อยากตายก็ต้องหลบไปให้ไกลๆ
 
 
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปากคอแห้งผาด จึงยังไม่อยากจะคิดอะไรมาก
 
 
ครู่ต่อมา นางก็ลงจากเตียง ก้าวลงไปบนพรม มือกุมลูกบิดประตูเปิดออกไปเบาๆ ที่ด้านหน้ามีใบหน้าหนึ่งคอยต้อนรับอยู่
 
 
คนที่อยู่นอกประตูคือท่านอาจารย์ หรือ จีเฉวียนกัน?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset