ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 490 ใส่เสื้อผ้าเข้านอน

ฝ่าพระหัตถ์ที่ใหญ่โตโอบลงไปบนท้ายทอยของนาง ดึงตัวนางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมพระอุระ  
 
 
กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเกรงว่าหากคลายพระหัตถ์ออก คำพูดของนางเมื่อครู่ก็จะกลายเป็นเพียงลมปาก  
 
 
“ซิงซิง เราจะจดจำคำพูดนี้ของเจ้าไปชั่วชีวิต อยู่ก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นคนของเจ้า” พระองค์กระซิบที่ข้างหูของนาง ลมเย็นๆจากน้ำเสียงอบอุ่นปนสากน้อยๆแผ่วเบาผ่านริมหูของนาง จักจี้นิดๆ  
 
 
“เราจะเป็นแฟนที่ดีที่สุดในใต้หล้า”  
 
 
แฟน….คำนี้ในความเข้าใจของฝ่าบาท ก็คือว่าที่สามี  
 
 
เพราะในแผ่นดินโบราณที่ยังคงรักษาเอาไว้ซึ่งขนมธรรมเนียมตามประเพณีนั้น เมื่อชายและหญิงตกลงใจให้คำหมั้นว่าจะเป็นคนรักกัน ส่วนใหญ่แล้วเก้าในสิบส่วนก็ลงเอยด้วยการแต่งงาน  
 
 
อย่าว่าแต่….พระองค์เองชาตินี้ทั้งชาติก็จะขอมีแต่นางเพียงผู้เดียว  
 
 
คำว่าสามีนี้ (夫ฟู่) ขยับเพียงขีดเดียวก็กลายเป็นคำว่า ฟ้าแล้ว (天 เทียน)  
 
 
ตู๋กูซิงหลันพิงลงไปบนพระอุระ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสามารถฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้  
 
 
ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่แล้ว นับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาก็มิได้ไต่ถามอะไรวุ่นวาย ตู๋กูซิงหลันเดาว่าเขาคงจะได้ยินคำพูดระหว่างนางและอาจารย์ทั้งหมดแล้ว  
 
 
เจ้าตัวร้ายผู้นี้ช่างอดทนอดกลั้นได้เก่งนัก อดทนเสียจนคนต้องสงสาร  
 
 
“ต่อไป พวกเราจะต้องสนับสนุนกันและกัน สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่” มือของตู๋กูซิงหลันวางอยู่บนทรวงอกของเขา “นี่เป็นกฎของการเป็นคนรัก”  
 
 
“อืม” จีเฉวียนประทับนั่งพิงอยู่บนเตียงสีแดงหลังใหญ่ อ้อมพระกรด้านหนึ่งโอบนางเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างก็กุมมือของนาง ในพระทัยมีแผนการต่างๆมากมาย  
 
 
พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีวันที่ได้ครอบครองนางเช่นนี้  
 
 
ความอบอุ่นนี้ อยากจะทรงทะนุถนอมเอาไว้เป็นพิเศษ  
 
 
จนไม่อาจจะวางพระหัตถ์ได้  
 
 
ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่กับเขา นางกำลังคิดหาหนทางว่า  
 
 
สมควรทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้จีเฉวียนและอาจารย์ต่างก็สามารถคงอยู่ได้  
 
 
นางไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งในพวกเขาตายจากไป  
 
 
ปัญหาชีวิตที่ขัดแย้งนี้จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน  
 
 
ตลอดเวลาที่เฝ้าอยู่ข้างกายจีเฉวียน นางถ่ายทอดพลังให้กับเขาไปไม่น้อย ตอนนี้ร่างกายจึงอ่อนล้าไปหมด  
 
 
ตอนนี้พอได้พิงอยู่กับเขา จึงเกิดความง่วงขึ้นมาจนอดที่จะคล้อยหลับไปไม่ได้  
 
 
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระอุระ ก็ยื่นปลายดัชนีออกไป ลูบไล้เครื่องหน้าของนางอย่างแผ่วเบา  
 
 
ราวกับว่าต้องการจะจารึกทุกสิ่งทุกอย่างในตัวนางเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของพระทัย  
 
 
…………………….  
 
 
 
 
 
ที่นอกประตู เสินฟางได้แต่ใช้สีหน้าของคนโสดยามเห็นคู่รัก  
 
 
เขาค่อยๆถอยออกมา พาตัวเองออกไปชมดาวในสวน  
 
 
บุพเพวาสนาในโลกนั้น เป็นเรื่องของพรหมลิขิต สิ่งที่เป็นของท่านจะอย่างไรก็เป็นของท่าน สิ่งที่ไม่ได้เป็นของท่าน แย่งชิงไปก็ไร้ประโยชน์  
 
 
เช่นเดียวกับซื่อมั่วและเยี่ยซิงหลัน  
 
 
คนหนึ่งทุ่มเทออกไปตั้งมากมาย แต่สุดท้ายแล้วศิษย์น้อยที่เลี้ยงดูมาแต่แบเบาะกลับกลายเป็นน้ำปุ๋ยที่ไหลสู่นาของผู้อื่น  
 
 
เรื่องของความรู้สึกนี้ ไม่อาจกำหนดออกไปได้อย่างชัดเจนจริงๆ  
 
 
เช่นเดียวกับตัวเขา ที่ตอนนั้นเพียงเพราะสายตาแวบเดียวเท่านั้น ในใจพลันบังเกิดความหลงใหล ทำให้คนบังเกิดคะนึงหาไปอีกนับร้อยๆปี…..  
 
 
ทุกชาติภพ เขาล้วนไม่ยอมปล่อยมือโดยง่าย ทำร้ายนางให้ต้องมีชะตากรรมพัวพัน….. ติดอยู่ในบ่วงรักที่ยากจะไถ่ถอน  
 
 
เสินฟางมองดูท้องฟ้ายามค่ำที่ว่างเปล่าเนิ่นนาน ค่อยก้มลงเหลือบดูโซ่หินบนข้อเท้าแวบหนึ่ง แววตาลึกๆมีแต่ความเจ็บช้ำ  
 
 
…………………………..  
 
 
วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใส  
 
 
แสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ให้ความอบอุ่นมากเป็นพิเศษ  
 
 
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนก็ตื่นขึ้นมา  
 
 
พอเขาพึ่งจะกลายเป็นแฟนของตนเอง….ทั้งสองคนก็ ‘นอนเตียงเดียวกัน’ เรียบร้อยแล้ว  
 
 
ยามที่อยู่ในต้าโจว ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะเคยบังคับให้นางนอนบนเตียงบรรทมหลังเดียวกันมาหลายครั้ง …..แต่ก็ไม่เคยทำให้นางเกิดความรู้สึกใดๆ  
 
 
วันนี้ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม  
 
 
แสงแดดส่องลงมากระทบดวงพักตร์ของจีเฉวียน สะท้อนผิวพรรณของเขา เพิ่มพูนความอบอุ่นราวหยกเนื้อดีอีกหลายส่วน  
 
 
ขนตาที่ทั้งยาวและหนาเป็นแพแต่ละเส้นคมชัด ขนคิ้วที่คมเข้มและโค้งสูงนั่นถูกย้อมด้วยแสงสว่าง ทำให้ฮ่องเต้ตัวร้ายดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างหาได้ยากนัก  
 
 
ศีรษะของตู๋กูซิงหลันยังคงซุกอยู่ตรงบ่าของเขา จับจ้องดูเขาอย่างไม่วางตา  
 
 
พอชอบคนๆหนึ่งขึ้นมา ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าอะไรๆก็ดูสบายตาไปหมด  
 
 
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันค่อยเข้าใจคำที่ว่า ถามหาคนงามให้ถามคนรัก ก็เหมือนกับนางในยามนี้พอมองดูฮ่องเต้ตัวร้าย ก็รู้สึกว่าได้พบกับกำไลหยกแกะสลักที่เป็นยอดงานศิลปะชิ้นหนึ่ง  
 
 
นางยื่นนิ้วมือออกไป ลูบไล้ริมฝีปากของเขา  
 
 
หากมองดูอย่างละเอียดละก็ ริมฝีปากของจีเฉวียนก็ไม่ได้บางมากสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างอูม เป็นรูปทรงที่น่าดูอย่างยิ่ง จนทำให้คนอดใจไม่ไหวอยากจะจูบสักครั้ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะมองดูได้ครู่เดียว ก็เห็นดวงเนตรหงส์คู่นั้นพลันลืมตาขึ้นมา  
 
 
แววตาของเขาราวกับแสงดาวในท้องทะเลลึก ดึงดูดให้นางจมลงไปในชั่วพริบตา  
 
 
จีเฉวียนพลิกพระหัตถ์ คิดจะจุมพิศลงไปบนหน้าผากของนาง พลันรู้สึกได้ว่าพลังหยินกลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านบานประตูเข้ามา  
 
 
ประตูหน้าต่างทุกบานภายในห้องถูกเปิดออกในทันที  
 
 
นอกห้องนอน มีเสินฟางยืนอยู่  
 
 
“คุณหนู ใต้เท้าซื่อมั่วมาหาท่านแล้ว” เสินฟางยืนอยู่ที่หน้าประตู แอบเหลือบตามองบนอยู่ในใจ เรื่องจำพวกขัดจังหวะรบกวนความฝันของผู้อื่น ซื่อมั่วย่อมไม่ทำด้วยตนเอง แต่กลับส่งเขามาจัดการ……เวรกรรมจริง  
 
 
“ท่านอาจารย์” ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมานั่ง มองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง ตอนนี้พึ่งจะหกโมงเช้าเอง  
 
 
ยามเช้าในเมืองหลวงฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว ปกติท่านอาจารย์ไม่มีงานอดิเรกใดๆ หากแต่ชมชอบนอนตื่นสาย  
 
 
ที่ผ่านมาล้วนเคลื่อนไหวยามค่ำคืน ยามกลางวันแทบจะไม่เคยเห็นเงาของเขา  
 
 
วันนี้กลับมาแต่เช้า?  
 
 
ตู๋กูซิงหลันไม่คิดอะไรให้มากความก็ก้าวเท้าลงจากเตียง  
 
 
นางกับจีเฉวียนต่างก็ใส่เสื้อผ้าเข้านอน ทั้งยังไม่ได้กระทำเรื่องอื่นใด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องร้อนรน  
 
 
นางพึ่งจะก้าวลงจากเตียง จีเฉวียนก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ “ซิงซิง เราจะออกไปพร้อมกับเจ้า”  
 
 
จีเฉวียนตรัสแล้วก็พลิกพระหัตถ์มาจับมือของนางไว้สิบนิ้วกุมเข้าหากัน  
 
 
พระองค์เห็นพวกคนรักในโลกปัจจุบัน ต่างก็จับมือกันเช่นนี้ รักใคร่ใกล้ชิด แนบแน่นสนิทสนม  
 
 
ทั้งสองคนลุกขึ้นมา ดวงตายังสะลึมสะลือ เส้นผมก็ยุ่งเหยิง  
 
 
พอพึ่งจะออกไป ก็เห็นซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าเรียบหรูกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่กลางห้องโถง   
 
 
ฟ้าสว่างจ้า เขาสวมใส่ชุดแบบตะวันตกสีม่วงสดทั่วตัว ผมทรงSlicked backถูกเซตมาอย่างปราณีต ตลอดร่างเปล่งประกายของผู้ทรงฌานระดับสูง  
 
 
ผู้ทรงฌานที่มีบารมีแก่กล้า ลึกล้ำ และไม่ควรไปแหย่ง่ายๆ  
 
 
เสินฟางนำน้ำชามาให้เขา ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวลายครามวางอยู่ในมือของเขา มิว่าสิ่งใดที่มาถึงมือของเขาล้วนกลายเป็นงานศิลปะระดับโลก  
 
 
ซื่อมั่วใช้ฝาถ้วยโบกไอร้อนของน้ำชาออกไป จิบน้อยๆคำหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นเหลือบเห็นคนทั้งคู่บนชั้นสอง สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีเปลี่ยน  
 
 
เพียงแต่ว่าฝาถ้วยชากลับแตกละเอียด  
 
 
เขาพิงร่างกับโซฟา นั่งลงไปอย่างสง่างาม ขนตายาวงอนกระพริบ บดบังสีแววตาสีฟ้าเข้มที่ถูกจุดขึ้นมาในส่วนลึกของแววตา  
 
 
รอจนคนทั้งสองลงมาข้างล่าง ซื่อมั่วค่อยวางถ้วยชาลง เอ่ยปากกับตู๋กูซิงหลันว่า “อาจารย์มาหาเจ้า…..”  
 
 
พูดพลาง เขาก็ยกกล่องอาหารกล่องหนึ่งขึ้นมา วางกล่องอาหารนั้นลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ “เอาอาหารเช้ามาส่งให้เจ้า”  
 
 
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง  
 
 
ก่อนที่นางสามจะขวบนั้น การกินดื่มขับถ่ายทั้งหมดของนางล้วนมีอาจารย์ดูแล แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยให้นางเอาตัวรอดเองมาโดยตลอด ท่านอาจารย์ไม่เคยสนใจว่าวันๆนางจะกินอะไรบ้าง โดยเฉพาะอาหารเช้า?  
 
 
ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ ซื่อมั่วล้วนไม่ได้เหลือบแลจีเฉวียนแม้แต่แวบเดียว เขาเปิดกล่องอาหารด้วยตนเอง ภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ตาเป็นประกาย  
 
 
แม้แต่เสินฟางที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้  
 
 
ไยจึงมีแต่สิ่งสุดยอดในสุดยอดขนาดนี้?  
 
 
น้ำค้างบนภูเขาหิมะ…  
 
 
ยอดโสมพันปีบนภูเขาฉางซาน……  
 
 
……………………………………………..  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset