ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 631 มันเหมือนกับลูกบอลกลมๆ

ฐานะของเยี่ยเฉิน มิได้มีสิ่งใดทำให้ตี้เสียทรงแปลกประทัย  
 
 
กระทั่งเมื่อตู๋กูซิงหลันเอ่ยถึงเทียนสี่ซิงจุนขึ้นมา ถึงได้ทำให้สายพระเนตรของพระองค์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย  
 
 
จื่อเวยซิงจุนเองก็ตกตะลึงขึ้นมา ในใจของเขาแอบโทษว่าศิษย์รับใช้ทั้งสองที่มิได้รีบมารายงานก่อนแต่แรก  
 
 
เทียนสี่ซิงจุนนำตัวลูกหลานของเผ่ามังกรทมิฬมายังจื่อเวยกงของเขา นี่มิเท่ากับว่าจะหาเรื่องกันหรอกหรือ?  
 
 
“แต่ไหนแต่ไรเทียนสี่ซิงจุนไม่สนใจเรื่องราวไร้สาระ แต่กลับพาเจ้ามาที่นี่ ช่างแปลกนัก”  
 
 
ในพระหัตถ์ของตี้เสียมีประคำมุกสายหนึ่ง ทรงหมุนเม็ดมุกไปช้าๆ จากนั้นก็ตรัสออกมา  
 
 
“บางทีอาจเป็นเพราะเทียนสี่ซิงจุนเห็นแก่ที่ผู้น้อยมาจากโลกเบื้องล่าง ในใจจึงเกิดความสงสารขึ้นมาก็เท่านั้นเอง…” ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะลงไป ตามองแต่พื้นหยกม่วงของตำหนักจื่อเวยกง  
 
 
หยกพวกนี้ช่างมีสีสันงดงามจริงๆ ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากพื้นที่ส่วนใดของดาวสีม่วงดวงนั้น เมื่อครู่ฉี่รดลงไป สีสันก็ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด  
 
 
พื้นที่ปูด้วยหยกสีม่วงเรียบสนิทกัน ทั้งยังสะท้อนภาพได้ราวแผ่นกระจก แม้ก้มศีรษะลงมองก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของตี้เสียได้อย่างชัดเจน  
 
 
สำหรับนางในตอนนี้ ตี้เสียคือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว  
 
 
ความแข็งแกร่งระดับนี้ ไม่ได้ยกยอเกินความจริงอีกด้วย  
 
 
“สงสารรึ…..” ตี้เสียตรัสทวนสองคำนั้นอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของพระองค์ฟังดูแล้วเหมือนจะขำขันมากกว่า  
 
 
“เทียนสี่ซิงจุนได้ชื่อว่าเป็นทรราช แต่เจ้ากลับมาบอกเราว่าเขามีความสงสาร”  
 
 
แม้แต่จื่อเวยซิงจุนที่อยู่ด้านข้างก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ  
 
 
พอเขาเอ่ยคำว่าทรราชออกมา สมองที่ไม่ยอมทำงานมาโดยตลอดของตู๋กูซิงหลันก็พลันเดินเครื่องขึ้นมา  
 
 
ทรราช….ดาวฟ้าปลื้ม  
 
 
นางลืมไปได้อย่างไรว่า ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ผู้ที่ถูกสวรรค์แต่งตั้งเป็นดาวฟ้าปลื้ม ก็คือ….โจวหวางตี้ซิน?  
 
 
ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวมากมายขึ้นมาแล้ว  
 
 
สำหรับฝ่ายเทพแล้ว ทรราชผู้นี้สุดท้ายแล้วก็ได้รับแต่งตั้้งเป็นเทพองค์หนึ่ง  
 
 
นี่ก็เท่ากับว่าเหล่าร้ายทั้งหลายต่างได้รับแต่งตั้งเป็นเทพกันไปหมด  
 
 
มีแต่พี่สาวต๋าจี่ ที่ถูกประหารทิ้ง ตายแล้วยังต้องถูกด่าประนามไปอีกนับพันนับหมื่นปี  
 
 
ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันนึกว่าเรื่องของทวยเทพเหล่านั้นเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่า…..  
 
 
ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า วรรณกรรรมเหล่านั้นมีที่มาจากชีวิตจริง  
 
 
นางชักจะเข้าใจคำพูดของพี่เสือดำขึ้นมาบ้างแล้ว ….ดูท่าแล้ว คงจะเป็นตี้ซินที่ขายต๋าจี่ทิ้ง เพื่อแลกกับเกียรติยศและชื่อเสียงของตนเอง  
 
 
แต่ว่าสีหน้าที่แสดงออกต่อตี้เสีย ยังคงมีแต่ความงุนงงและประหลาดใจ “เหล่ามหาเทพต่างสูงส่งไร้เทียมทาน เรื่องราวที่ผ่านมาของพวกท่าน ผู้น้อยย่อมไม่กล้าไต่ถามให้มากความ ทั้งยังไม่เคยรู้มาก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้าเทียนตี้ผู้น้อยย่อมไม่กล้าโป้ปดแม้แต่เพียงครึ่งคำ”  
 
 
บนแดนสวรรค์ และทั้งหกภพภูมิ เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้เสียแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าโป้ปด  
 
 
ตี้เสียมองดูนางเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เบื้องหลังรัศมีสีทองนั้น พระองค์กำลังรู้สึกเช่นไร  
 
 
ที่เบื้องหน้าพระองค์ แผนที่ดวงดาวเหล่านั้นยังคงมิได้จางหายไป ดาวที่มืดมิดดวงนั้นยังคงดูดซับแสงสว่างจากดาวจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลา  
 
 
แดนสวรรค์แม้จะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ยังไม่อาจมีพลังครอบฟ้าคลุมดินได้อยู่ดี เรื่องนี้ทุกผู้คนย่อมรู้อยู่แล้ว  
 
 
ต่อให้เป็นตี้เสียที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีของแผนที่ดวงดาวได้  
 
 
พระองค์จ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสว่า “มานี่”  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมิได้ขัดขืนเขา เพียงแต่ใช้รูปลักษณ์ของเยี่ยเฉินป่ายปีนกระดึบๆขึ้นมาจากบนพื้น  
 
 
จื่อเวยซิงจุน “……”  
 
 
เฮอะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใครสักคนเลียนแบบตัวหนอนได้อย่างคล้ายคลึงเช่นนี้  
 
 
เจ้าเทพน้อยที่มาจากโลกเบื้องล่าผู้นี้ ช่างมีอะไรให้สนุกสนานอยู่บ้างเหมือนกัน  
 
 
รอจนตู๋กูซิงหลันคืบคลานมาจนถึงข้างโต๊ะเตี้ย ตี้เสียถึงได้ยื่นพระดัชนีข้างหนึ่งออกมา ชี้ไปยังดาวที่มืดมิดในแผนที่ดวงดาว “เจ้าลองดูซิ ว่านั่นเหมือนกับอะไร”  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างละเอียด วิชาดาราศาตร์มีความซับซ้อนอยู่มากมาย นางก็รู้แต่เพียงผิวเผินเท่านั้น  
 
 
จื่อเวยเทียนจุนเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเทียนตี้จะต้องให้เจ้าลูกหลานของเผ่ามังกรทมิฬผู้นี้มาดูด้วย นี่มิเท่ากับเป็นการบ่งบอกผู้อื่นอย่างเปิดเผยว่า สรวงสวรรค์สำแดงเหตุ ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงวิถี จงรีบจัดทัพกบฏมาต่อสู้กับข้า หรอกหรือ?  
 
 
ไม่ ไม่ใช่แค่นั้น…..ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าเด็กน้อยผู้นี้กลับกล้าดูจริงๆ!  
 
 
มันเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?  
 
 
เทพสงครามให้มา? หรือเพราะว่าเทพน้อยๆเช่นนี้ย่อมไม่รู้จักกลัวตายแต่แรกอยู่แล้ว?  
 
 
ตู๋กูซิงหลันศึกษาดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา เหลือบตามองดูตี้เสีย ‘ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด’ แวบหนึ่ง “เทียนตี้ หากว่าผู้น้อยพูดออกไป ขออย่าได้ทรงพิโรธ”  
 
 
ตี้เสีย “เราจะถือว่าเจ้าไม่มีความผิด”  
 
 
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันหันไปจดจ้องมองดาวที่มืดมิดดวงนั้นอย่างปราศจากความลังเลอีกต่อไป นางเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ผู้น้อยเห็นว่า มันเหมือนกับลูกบอลลูกหนึ่ง”  
 
 
จื่อเวยซิงจุน “! ! !”   
 
 
ตอนนี้ในสมองของเขามีแต่คำว่า  
 
 
“มันเหมือนกับลูกบอลลูกหนึ่ง…”  
 
 
“ลูกบอลลูกหนึ่ง…”  
 
 
“ลูกบอล…”  
 
 
“บอล….”  
 
 
เขาอ้าปากขึ้นมา คิดจะพูดอะไรออกไป แต่ก็สำลักน้ำลายตนเอง “อะ เฮอะๆ อะเฮาะๆ”  
 
 
พอตู๋กูซิงหลันพูดออกไป รอบตำหนักก็หลงเหลือแต่เพียงเสียงไอสำลักของจื่อเวนซิงจุน  
 
 
เทียนตี้มิได้ตรัสสิ่งใดแม้แต่คำเดียว  
 
 
ตู๋กูซิงหลันจึงเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ลูกบอลสีดำ”  
 
 
จื่อเวยซิงจุน “…..” เออรู้แล้ว พวกเขาไม่ได้ตาบอด มองเห็นอยู่ว่ามันเป็นสีดำ ขอบใจนะ  
 
 
หากจะให้ตู๋กูซิงหลันตอบคำถามให้ได้ นี่มิใช่เรื่องง่ายๆหรอกหรือ?  
 
 
ก็แค่ลูกบอลดำๆลูกหนึ่งไม่ใช่หรือไง?  
 
 
แสงดาวโดยรอบล้วนถูกดูดซับเข้าไป แต่ว่าตัวมันกลับไม่ได้เรืองแสงขึ้นมา  
 
 
หากใช้มุมมองทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง เช่นนั้นนี่ก็สมควรจะเป็นหลุมดำแล้ว  
 
 
แต่ว่าด้วยฐานะของนางในตอนนี้ก็ไม่สมควรจะมาเป็นผู้อธิบายเรื่องหลุมดำให้พวกเขาฟังกระมัง?  
 
 
เรื่องของวิทยาศาสตร์มันไปกันไม่ได้กับพวกเทพอยู่แล้ว ตอนนี้นางอยู่ในถิ่นของแดนสวรรค์ บุรุษตรงหน้าที่เปิดเผยร่างเพียงครึ่งเดียว ทั้งมือเท้าแขนขาก็มีแต่รัศมีสีทองปกคลุม กระทั้งเส้นผมที่พลิ้วสลวยอยู่ตลอดเวลาก็ยังเป็นสีทอง คือผู้ปกครองสูงสุดของแดนสวรรค์  
 
 
ขนาดในวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ก็ยังอธิบายเพียงว่าหลุมดำคือความลี้ลับที่มืดมิดชนิดหนึ่ง  
 
 
ที่จริงแล้วภายในของมันมีอะไรบ้างนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย  
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยเฉินในสายตาของชาวสวรรค์ก็เป็นแค่เศษสวะเท่านั้น  
 
 
หากแสดงออกว่าโง่งมให้มากสักหน่อย ก็คงจะใช้ชีวิตได้ง่ายดายกว่ามาก  
 
 
พอเห็นตี้เสียไม่ตรัสอะไร จื่อเวยซิงจุนก็ไม่กล้าไอต่อไปอีก ในอากาศมีแต่แรงกดดันและกลิ่นหอมเข้มข้นของเขากวางลอยอยู่  
 
 
จื่อเวยซิงจุนนั้นย่อมเห็นว่า ยามที่เทียนตี้ไม่ทรงตรัสอะไรนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  
 
 
ยามนี้แม้แต่จะหายใจเข้าออกก็ยังไม่กล้าเลย เดิมทีเรื่องของวิถีดวงดาว หากมิใช่ว่าเทียนตี้ทรงตรัสถามออกมา เขาก็ไม่กล้ารายงานขึ้นไปอยู่แล้ว  
 
 
ตอนนี้ในตำหนักจื่อเวยกงของเขายังมีเจ้านักรบเทพผู้นี้โผล่ขึ้นมาอีก เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเทียนตี้จะทรงคิดเห็นเช่นไร  
 
 
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รีบร้อน เพียงรอไปเรื่อยๆ  
 
 
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเทียนตี้ทรงตรัสขึ้นมา “เหมือนลูกบอลรึ ถือว่าพูดตามจริง”  
 
 
เขาคือจักรพรรดิแดนสวรรค์ผู้สูงส่ง ผู้ครอบครองทั้งหกภพภูมิ  
 
 
ก็แค่วิถีดวงดาวปรากฏความเคลื่อนไหว ไยจะต้องตื่นเต้นตกใจด้วย  
 
 
ในเมื่อหมิงอ๋องก็ตายไปแล้ว ในหกภพภูมินี้ย่อมไร้คู่มือของเขาอีกต่อไป เจ้าลูกบอลสีดำนั้น เอาไว้มีเวลาค่อยส่งพวกเทพไปทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่อง  
 
 
พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์ในพระทัยของเทียนตี้ก็สงบลงไปมาก  
 
 
ว่าแล้ว พระองค์ก็ลุกขึ้น เสด็จมาตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน  
 
 
พอพระองค์ประทับยืน รัศมีสีทองบนร่างก็ยิ่งเปล่งประกายรุนแรงกว่าเดิม  
 
 
เมื่อเสด็จมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ก็รั้งพระบาทไว้ก้าวหนึ่ง กวาดพระเนตรมาทางนางอย่างเย็นชา “ตามเรามา”  
 
 
ตู๋กูซิงหลันคืบคลานไปด้านข้าง ให้ห่างจากเขาเล็กน้อย ทั่วร่าง ‘สั่นสะท้าน’ แววตามีแต่ ‘ความหวาดกลัว’ “ผู้น้อยมีฐานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรได้ตามเสด็จเทียนตี้ ยิ่งไม่กล้าอาจเอื้อม….”  
 
 
ตี้เสีย “เรากำลังจะไปที่เจดีย์กำราบเทพมารอยู่แล้ว เจ้าได้รับมอบหมายให้ไปป้อนอาหารนกยักษ์มิใช่รึ พอดีเลย นกยักษ์ก็อยู่ที่นั่น”  
 
 
……………….  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset