เหอจยาอวี๋อุ้มซูเสี่ยวมั่วไปห้องพยาบาล
เธอฟื้นขึ้นหลังจากหมดสติไปไม่นานและพบว่ากำลังนอนในอยู่อ้อมแขนของเหอจยาอวี๋ แก้มแนบอยู่แทบอกเขา
เขาเดินอย่างมั่นคงทั้งๆ ที่มีเธออยู่ในอ้อมแขน สายลมเย็นๆ พัดผ่านกายเขา หญิงสาวแอบสูดลมหายใจ เธอได้กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นจากตัวเขา
ซูเสี่ยวมั่วตัดสินใจโดยพลัน หลับตาแล้วแกล้งตายต่อไป!
พระเจ้า! เธออยู่ในอ้อมแขนเขา! หัวใจกร้าวแกร่งของเธออ่อนโยนลงก่อนจะเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง!
เมื่ออุ้มเธอมาที่ห้องพยาบาลแล้ว เหอจยาอวี๋ก็เล่าอาการให้หมอประจำโรงเรียนฟังพร้อมใบหน้าเคร่งเครียด แพทย์สาวจึงตรวจดูซูเสี่ยวมั่ว แต่ในใจก็นึกสงสัย วันนี้มันเกิดอะไรกันขึ้นนะ ป่วยการเมืองกำลังติดเทรนด์หรือยังไงกัน เด็กพวกนี้คิดว่าเธอไม่มีงานให้ทำเหรอ!
แต่อย่างไรก็ตาม พอเห็นความสุภาพอ่อนโยนของเหอจยาอวี๋แล้ว การบ่นทั้งหมดของเธอก็มลายหายไปทันที เธอยิ้มให้เขาอย่างหยาดเยิ้ม “เอาเป็นว่าหมอจะให้น้ำเกลือกับเธอดีไหม”
เหอจยาอวี๋ประหลาดใจหนัก—ทำไมหมอถึงมาถามความเห็นเขาล่ะ
ซูเสี่ยวมั่วเลิกแกล้งสลบพลางกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีก่อนจะตะโกน “หนูสบายดีค่ะ! หนูฟื้นแล้ว! หนูฟื้นแล้วจริงๆ!”
“ว้าย” คุณหมอสาวตกใจแทบสิ้นสติ จากนั้นก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “หมอตกใจจริงๆ นะเนี่ย!”
เหอจยาอวี๋หรี่ตา เขามองซูเสี่ยวมั่วอย่างค้นหา
ซูเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตาเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ จึงฝืนยิ้มระหว่างที่มือก็ลูบกับไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ
เขาคงจับไม่ได้หรอก ใช่ไหมนะ… แต่การทิ่มเข็มและเสียบสายน้ำเกลือเป็นเพียงอย่างเดียวที่เธอกลัวที่สุดในโลกนี้!
เหอจยาอวี๋เลื่อนสายตาที่จับจ้องอยู่นั้นในครู่ต่อมาพลางถอนหายใจ “ดีแล้วที่เธอไม่เป็นอะไร นอนพักที่นี่เถอะ อยากกินอะไรไหม ฉันจะไปซื้อมาให้”
ซูเสี่ยวมั่วส่ายหน้าไปมา “ไม่ๆ ไม่เป็นไร เอ้อ และก็ขอโทษด้วย…”
เธอเป็นคนฉลาด จึงรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเหอจยาอวี๋เดาเหตุการณ์ทุกอย่างออกแล้ว
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร”
ถึงแม้จะยิ้ม แต่ซูเสี่ยวมันก็ยังรู้สึกสะท้าน
ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าไม่เป็นไรหรอก แต่เขาแค่ไม่ใส่ใจ
นั่นทำให้เธอห่อเ**่ยวในทันที คนที่ใจดีที่สุดและอ่อนโยนที่สุดก็สามารถสวมหน้ากากได้ หน้ากากแบบที่ทำให้เขาดูเป็นมิตรกับทุกคน ทว่าจะกันไม่ให้ใครก็ตามก้าวเข้าไปในโลกของเขา
–
วันต่อมา
อันซย่าซย่าฮัมเพลงเบาๆ สะพายกระเป๋าหลังขณะมาถึงโรงเรียนพร้อมกับซูเสี่ยวมั่วและคังเจี้ยน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน ทั้งสามก็พบว่าทุกคนกำลังพูดคุยกันเรื่องงานกีฬาสี อันซย่าซย่าถามคนนั้นทีคนนี้ทีจึงรู้ว่างานกีฬาสีในฤดูใบไม้ร่วงของฉีซย่ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว
คังเจี้ยนเป็นตัวแทนของชั้นที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องกีฬา เขาเดินแจกแบบฟอร์มไปทั่วห้องเพื่อให้เพื่อนๆ กรอกข้อมูล เมื่อมาถึงตาของอันซย่าซย่า เขาก็ทำหน้าย่น “ซย่าซย่า เธอจะเข้าแข่งอะไรได้บ้างเนี่ย”
กับคนอื่นๆ คำถามของเขาคือต้องการจะลงแข่งกีฬาอะไร แต่สำหรับอันซย่าซย่าแล้ว…
เนื่องจากพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เขารู้ดีแก่ใจทีเดียวว่าอันซย่าซย่ากับกีฬามันน่าสิ้นหวังขนาดไหน…
แต่กลายเป็นว่าอันซย่าซย่าดันมั่นอกมั่นใจอย่างประหลาดเกี่ยวกับความสามารถด้านกีฬาของเธอ หลังจากไล่อ่านแบบฟอร์มแล้ว เธอก็ตบโต๊ะ “ฉันจะลงแข่งทุ่มน้ำหนัก!”
เซิ่งอี่เจ๋อมองเธออย่างประหลาดใจขณะที่ฉีเหยียนซีหัวเราะใส่เธออย่างไร้ความปรานี
“ด้วยเรี่ยวแรงจิ๋วๆ ของเธอเนี่ยนะ เธอจะทำอะไรเป็นนอกจากกัดคน ทุ่มน้ำหนักเหรอ ชั่งน้ำหนักจะดีกว่ามั้ง!”
อันซย่าซย่าเสียใจจึงถลึงตาใส่เขา “คนขี้แพ้! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!”
ฉีเหยียนซีพูดไม่ออก ก็เตะโต๊ะเธอเสียงดัง แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรเลย
ทุกคนแทบอยากจะชูป้ายรูปอันซย่าซย่าและจุดธูปบูชาให้เลย!
ทำไมเธอถึงไม่กลัวเจ้าปีศาจตนนี้นะ
“ฮึ! อย่างกับฉันอยากจะคุยกับเธอนักแหละ!” ฉีเหยียนซีเบะปาก
อันซย่าซย่าโมโหจนแทบอยากจะทุ่มโต๊ะ “ฉันท้าให้นายลงแข่งทุ่มน้ำหนัก!”