เด็กสาวที่อันซย่าซย่าเห็นนั้นไม่ใช่ใครอื่น เธอคือซูเสี่ยวมั่ว เพื่อนรักที่เติบโตมาด้วยกันนั่นเอง
สามเดือนก่อน อันซย่าซย่า ซูเสี่ยวมั่วและคังเจี้ยนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมฉีซย่า ทั้งสามคนได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ด้วยการรับเข้าเป็นนักเรียนโดยไม่ต้องสอบเข้า
อันซย่าซย่าเก่งทางด้านดนตรี คังเจี้ยนเด่นทางด้านกีฬา ส่วนซูเสี่ยวมั่วเป็นที่รู้จักว่าเป็นอัจริยะด้านวาดภาพ ที่จริงแล้วเธอมีชื่อเสียงด้าน “การใช้ความรุนแรง” ด้วยเช่นกัน จนได้รับการขนานนามว่า “เจ้ใหญ่ซู”
ระหว่างช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ซูเสี่ยวมั่วต้องเดินทางไปประเทศหนึ่งเพื่อพัฒนาทักษะการวาดภาพ และกลับมาไม่ทันพิธีเปิดภาคการศึกษาเมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของอันซย่าซย่าเริ่มสั่น เสียงคำรามลั่นของคังเจี้ยนดังมาจากปลายสาย “ยัยผู้หญิงไร้หัวใจทั้งสองคนนั่นน่ะ! พวกเธอทิ้งฉันไว้อย่างนี้ได้ยังไง! หลังจากวิ่งไล่จับขโมยแล้ว ฉันยังต้องมาวิ่งไล่ตามรถเมล์อีกเรอะ!”
อันซย่าซย่ากับซูเสี่ยวมั่วหัวเราะจนเจ็บท้อง อันซย่าซย่าพูดกรอกใส่โทรศัพท์ “คังเพี้ยน เชิญวิ่งไล่ตามรถเมล์ตามสบายเลยนะ พวกเราขอล่วงหน้าไปโรงเรียนก่อนล่ะ บ๊ายบาย”
คังเจี้ยนวิ่งไล่ตามรถเมล์อย่างไม่คิดชีวิต ใครๆ ก็คงนึกภาพน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มของเขาออก
–
ชั้นปีหนึ่งห้องซี
ที่นั่งข้างๆ อันซย่าซย่าว่างอยู่ และซูเสี่ยวมั่วก็เลือกโดยไม่ต้องคิด
“ฉันจะไปเอาหนังสือเป็นเพื่อนเธอนะ” อันซย่าซย่าแนะ
ซูเสี่ยวมั่วยิ้ม แล้วทั้งสองก็จูงมือกันมุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของครูประจำชั้น หลังจากรับหนังสือมาแล้ว ทั้งคู่ก็แบ่งกันถือคนละครึ่ง
ที่โถงทางเดิน ร่างสูงๆ สามร่างค่อยๆ เดินมาทางทั้งคู่ ซึ่งเรียกเสียงกรี๊ดได้เป็นระลอกๆ บรรดานักเรียนหนึ่งต่างก็พากันยืนพิงหน้าต่างและยื่นหน้าออกมามอง
ซูเสี่ยวมั่วไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินต่อไปตามทางเดินเพื่อกลับไปยังห้องเรียน
พื้นทางเดินเพิ่งจะได้รับการถูและมันยังเปียกอยู่นิดหน่อย ซูเสี่ยวมั่วเกิดลื่นและเกือบล้มหน้าฟาดพื้น
เพราะมีหนังสือหลายเล่มอยู่ในวงแขน อันซย่าซย่าได้แต่ร้องออกมาแต่ก็ไม่มีเวลาไปช่วยพยุงเธอไว้ ขณะนั้นเอง ร่างซึ่งอยู่ใกล้กับซูเสี่ยวมั่วมากที่สุดก็จับเธอไว้ แถมยังช่วยคว้าหนังสือที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศไว้ได้อีกด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทุ้มลึกถามขึ้นที่ข้างใบหู ซูเสี่ยวมั่วนิ่งจังงังอยู่กับที่ ตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ใบหน้าอันน่าดึงดูดอย่างเหลือเชื่อ
เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งที่สะดุดใจเธอที่สุดก็คือรอยยิ้มจริงใจของเขา ให้รู้สึกราวกับสายลมอันอ่อนโยนของฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายน ช่วยให้ใจอบอุ่น
หัวใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ ต้องใช้เวลาสักครู่ทีเดียวกว่าที่เธอจะรวบรวมสติคืนมาได้ “เอ่อ… ฉันไม่เป็นไร ขอบใจ”
เหอจยาอวี๋ยิ้มน้อยๆ พลางช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นกลับลงบนกองที่เธอถือ
แล้วเขาก็เดินเข้าห้องเรียนไป ฉือหยวนเฟิงที่ตามมาข้างหลังยิ้มให้กับซูเสี่ยวมั่วก่อนจะเดินตามเขาไป
เซิ่งอี่เจ๋อเหลือบมองมาที่อันซย่าซย่าผู้ซึ่งเมินหน้าหนีเขา ทั้งสองต่างก็ไม่พูดอะไรกัน จากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องเรียนไปอีกคน
“พระเจ้า! ซย่าซย่า ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม หยิกฉันทีสิ! สามคนเมื่อกี้เป็นสมาชิกวงสตาร์รี่ไนต์ใช่ไหมนั่น” ทันทีที่ไอดอลชื่อดังทั้งสามคล้อยหลังไป ซูเสี่ยวมั่วก็เผยตัวตนด้านที่คลั่งไคล้หนุ่มหล่อของเธอออกมาทันทีพลางกระโดดขึ้นๆ ลงๆ อย่างตื่นเต้นยินดี
อันซย่าซย่าพยักหน้า “อื้อ พวกเขามาเรียนที่โรงเรียนเรา”
ซูเสี่ยวมั่วหัวเราะร่า “เหมือนหนังโรแมนติกเลยนะเนี่ย ฉันไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับฉัน… หนุ่มคนเมื่อกี้หล่อเกินเรื่องไปมาก เอาละ ฉันจะต้องตามจีบเขา! เอามาเป็นแฟนแล้วก็พากลับบ้านไปเลย! จูจุ๊บบบ!”
อันซย่าซย่าเก็บความอับอายเรื่องนั้นไว้คนเดียวและไม่แย้งอะไร
ระหว่างที่ซูเสี่ยวมั่ววางแผนการรายวันเพื่อจะตามจีบเหอจยาอวี๋นั้น อันซย่าซย่าผู้น่าสงสารของเราก็ดันเป็นไข้หวัดเสียนี่
เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการหายจากไข้หวัดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอันซย่าซย่าก็ดันเป็นหนักเลย อย่างไรก็ตามเพื่อให้เรียนให้ทันคนอื่น เธอจึงไม่ได้ขอลาหยุด
และผลก็คือ เธอแพร่เชื้อหวัดใส่ทุกคนที่อยู่ใกล้เธอ
ซูเสี่ยวมั่วติดหวัดเป็นคนแรก ตามมาด้วยคังเจี้ยน แม้แต่เหอจยาอวี๋และฉือหยวนเฟิงซึ่งนั่งห่างออกไปสองแถวก็ยังไม่ละเว้น
เหล่าแฟนเพลงของวงสตาร์รี่ไนต์อดร้องไห้เสียใจไม่ได้ และสายตาที่พวกนั้นพากันมองมาที่อันซย่าซย่าก็สามารถฆ่าเธอได้เป็นหมื่นๆ ครั้งเลยทีเดียว!