ตอนที่ 471 เซิ่งเสี่ยวเฮยและฉีเสี่ยวฮวาในตอนนั้น (1)
อีกด้านหนึ่ง ซูเสี่ยวโม่หยิบกระดาษทิชชู่เช็ดน้ำมูกไม่หยุด ด้วยท่าทางใหญ่โต ฉีเหยียนซีจึงอดไม่ได้ที่จะดุด่า
“เฮียโม่! เธอเบาๆ หน่อยได้ไหม! เธอทำฉันตกใจแทบแย่แน่ะ…” ฉีเหยียนซีดุไปหนึ่งกระบุงและมองไปบนตัวเธอ ใบหน้าหล่อเหลาผิวสีข้าวสาลีถูกย้อมด้วยสีแดง เขาลืมแม้แต่คำพูดด่าคน จากนั้นก็กระแอมเสียง
ซูเสี่ยวโม่ทำหน้าประหลาดใจ ปัญญาอ่อน เป็นบ้าอะไรเนี่ย?
ทันใดนั้นเสื้อแจ็คเก็ตสีดำก็ถูกโยนลงมาที่ศีรษะ เหอจยาอวี๋พูดด้วยความอ่อนโยน “คลุมสักหน่อยเถอะ”
ซูเสี่ยวโม่มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตอนที่รีบร้อนหนีตาย เธอสวมเพียงเสื้อแขนยาวและตอนนี้ก็เปียกแนบเนื้อ…
เธอค่อยๆ เปิดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วแอบมองไปที่หน้าอกตัวเอง ชุดชั้นในสีขาวเผยขึ้นมาให้เห็นจนเธออยากโขกกำแพงแทบทนไม่ไหว
ให้ตายเถอะ! เป็นผู้หญิงนี่มันยุ่งยากชะมัด!
–
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเมืองอวี้
หลังจากผ่านบททดสอบเหตุการณ์คาบเกี่ยวชีวิตและความตาย ทุกคนก็เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว จึงไม่มีความคิดที่จะไปเที่ยวที่ไหนอีก เมื่อบอกลากันเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปหาแม่
เซิ่งอี่เจ๋อโอบอันซย่าซย่า ส่วนเหอจยาอวี๋เดินกับซูเสี่ยวโม่และฉีเหยียนซี ทั้งห้าคนกำลังรอให้คนขับรถมารับที่เขตพักผ่อน
ทว่าคนแรกที่มาถึงกลับกลายเป็นแม่เลี้ยงของฉีเหยียนซี
เธอสวมชุดเดรสสวยงามประณีต คลุมด้วยขนสัตว์และเดินมาอย่างสง่างาม เมื่อเห็นฉีเหยียนซีมีสภาพน่าสงสารแบบนั้นก็พูดเสียงแปร๋น “โอ๊ะ พ่อคุณทูนหัวของฉัน ทำไมเธอถึงทำให้ตัวเองกลายมาเป็นสภาพแบบนี้?”
ลู่เหอแสร้งทำเป็นโผตัวเข้าหา ฉีเหยียนซียกเท้าเตะออกไปอย่างไม่เกรงใจ “ไสหัวไป!”
อันซย่าซย่าสะดุ้งโหยง เดิมทีเธอคิดว่าช่วงนี้ฉีเหยียนซีนิสัยดีขึ้นแล้ว ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม!
“เหยียนซี ถึงเธอจะไม่ชอบฉันก็ไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือร่างกาย รีบกลับไปให้หมอดูหน่อยเถอะ พอคุณท่านรู้ว่าสถานที่ตั้งแค้มป์ของเธอโดนน้ำพัดเมื่อเช้านี้ก็ความดันขึ้น ตอนนี้ยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย” ลู่เหอแตะหางตา ฉีเหยียนซียิ้มเยาะ “หึ ถ้าฉันตายไป เธอควรจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ? เธอจะได้ส่วนแบ่งหุ้นตระกูลฉีมากขึ้นอีกหน่อยไง ไม่ดีใจเหรอ?”
ลู่เหอขอบตาแดง “ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ…”
“นี่—— เธอไม่ต้องร้อง! ฉันยังไม่ตาย พ่อฉันก็คงไม่ตายหรอกมั้ง? เธอจะร้องทำไมอยู่ได้?” ฉีเหยียนซีกลอกตามองเธอ
“คุณป้า คุณลุงฉียังไม่ได้สติไม่ใช่เหรอ? คุณไม่คอยเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล แล้ววิ่งวุ่นมาที่สนามบินทำไม? เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าฉีเหยียนซีตายจริงไหมอย่างงั้นเหรอ?” เซิ่งอี่เจ๋อพูดจาเชือดเฉือนอย่างไม่แยแส
ลู่เหอถูกแทงใจดำ ความอับอายกลายเป็นความโกรธและเลิกเสแสร้งทำตัวเป็นเมียที่ดีแม่ที่จิตใจงาม เธอกระทืบเท้าแล้วจากไปด้วยหน้าตาบึ้งตึง
“หึหึ แสดงได้แย่มาก” ซูเสี่ยวโม่ทำการประเมิน
ฉีเหยียนซีหัวเราะด้วยความหดหู่ “จริงด้วย” เขาชำเลืองมองเซิ่งอี่เจ๋อแล้วส่งสายตาขอบคุณ “เมื่อกี้นี้ขอบใจนะ!”
เป็นปกติที่เด็กผู้ชายวัยนี้มีมาดของเขา จริงๆ แล้วการทะเลาะกับลู่เหอที่ร้อนเป็นไฟเมื่อครู่นี้ เขาก็ไม่อยากขายหน้าต่อหน้าเพื่อนนักเรียน โดยเฉพาะขายหน้าต่อหน้าอันซย่าซย่า
หลังจากนั้นรถของตระกูลฉีก็มาถึงพอดี เขาโบกมือทักทายโดยสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋าและจากไปอย่างคูลๆ
อันซย่าซย่าดึงชายเสื้อของเซิ่งอี่เจ๋อแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ระหว่างนายกับฉีเหยียนซีเคยเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าพวกนายเป็นอริกันจริง เมื่อกี้นายคงไม่ช่วยเขาหรอก?”
ขณะที่ฝนยังคงตกลงมา เซิ่งอี่เจ๋อก็นั่งไขว้ขายาวและยิ้มเบาๆ “อยากรู้เหรอ?”
“อื้อ!”
ดูเหมือนว่าฝนตกคราวนี้ได้ปลุกความทรงจำบางอย่างและความทรงจำก็หวนคืนไปในวันที่ฝนตกวันนั้นในทันใด…
ตอนที่ 472 เซิ่งเสี่ยวเฮยและฉีเสี่ยวฮวาในตอนนั้น (2)
ในตอนนั้นเซิ่งอี่เจ๋อกับฉีเหยียนซีต่างก็เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย อายุไล่เลี่ยกัน ความชอบและปณิธานเหมือนกัน ทั้งสองจึงเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดหรือพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเลยก็ว่าได้
ตอนที่ยังเด็กฉีเหยียนซีเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู กิจวัตรประจำวันของเขาก็คือ : ตกหลุมพรางเซิ่งอี่เจ๋อครั้งแล้วครั้งเล่า!
แม้เซิ่งอี่เจ๋อเป็นจอมวายร้ายตั้งแต่เด็ก แต่ฉีเหยียนซีก็ยังคงมีความสุขทุกครั้งหลังจากที่โดนแกล้ง เมื่อเวลาผ่านไปนานมากๆ แล้วเขาถึงจะนึกขึ้นได้ “ชิบหาย ฉันตกหลุมพรางอีกแล้วเหรอเนี่ย!”
อย่างเช่น เซิ่งอี่เจ๋อบอกเขาว่าเด็กผู้ชายใส่กระโปรงได้…อย่างเช่น เซิ่งอี่เจ๋อบอกเขาว่าไม่ต้องอาบน้ำก็สูงได้…อย่างเช่น เซิ่งอี่เจ๋อวาดลิปสติกและอายแชโดว์ให้เขา…
ยังมีประวัติศาสตร์มืดมากมายจนแทบยกตัวอย่างไม่หวาดไม่ไหว
พอฉีเหยียนซีนึกย้อนกลับไปยังวัยเด็กก็อยากจะร้องไห้สะอึกสะอื้น
ช่วงที่เป็นวัยรุ่น ทั้งสองตระกูลก็ส่งทั้งสองคนไปต่างประเทศเพื่อรับการศึกษาชั้นยอด และเนื่องจากเป็นโรงเรียนแบบปิด ทั้งยังตั้งอยู่บนเกาะที่รกร้าง งานอดิเรกของทั้งสองจึงเป็นการชกต่อย สอบบุหรี่ ดื่มเหล้า…อันธพาลไม่ไว้หน้าใคร แต่ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเขาได้
สิ่งที่ทั้งสองคนทำบ่อยที่สุดคือการนั่งบนชั้นดาดฟ้าของโรงเรียนรับลมทะเล พูดคุยตลกโปกฮาและเรื่องสัพเพเหระไปด้วยกัน
ที่นั่น เซิ่งอี่เจ๋อยังเล่าเรื่องคนรักวัยเด็กให้ฉีเหยียนซีฟัง เล่าเรื่องที่เขาติดค้าง เล่าถึงความเสียใจของเขา
ฉีเหยียนซีมักจะฟังอย่างไม่ใส่ใจ เขาฉวยบุหรี่ที่เหลือเพียงครึ่งมาจากเซิ่งอี่เจ๋ออย่างหน้าตาเฉยและถอนหายใจ
“นายบ้าหรือไง? ไม่รังเกียจเหรอ?” เซิ่งอี่เจ๋อหมดคำพูด
ฉีเหยียนซีตอบอย่างขี้อวด “ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ได้จูบทางอ้อมเสียหน่อย ฉันหล่อขนาดนี้ นายไม่เสียเปรียบหรอก~”
วันนั้นฉีเหยียนซีโดนเซิ่งอี่เจ๋อวิ่งไล่รอบเกาะเล็กๆ กว่าสิบรอบ
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับประเทศ เซิ่งอี่เจ๋อตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงด้วยความแน่วแน่เพื่อตามหาคนรักวัยเด็กของเขา ส่วนฉีเหยียนซีย้ายมาเรียนชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งที่โรงเรียนมัธยมฉีซย่า
ตอนนั้นเขาตกหลุมรักหลีฝานซิง รักจนโงหัวไม่ขึ้นซึ่งใครๆ ต่างก็รู้ดี
เขารักหลีฝานซิงมาก แต่หลีฝานซิงไม่ได้ชอบเขาสักเท่าไหร่ ทุกวันจะเรียกใช้เขาตามอำเภอใจโดยที่เขาเองก็มักจะรับคำสั่งทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
มีบางครั้งที่หลีฝานซิงก็ทำเกินไปจนเซิ่งอี่เจ๋อทนดูไม่ได้ แต่ฉีเหยียนซีกลับบอกว่า “ฉันชอบเธอ ไม่ว่าเธอจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็ยินดี!”
เซิ่งอี่เจ๋อจึงไม่ได้โน้มน้าวไปมากกว่านี้
เรื่องที่เลยเถิดจนน่าสลดก็คือหลีฝานซิงไม่ได้รักฉีเหยียนซีคนที่เอาอกเอาใจเธอจนแทบจะพาขึ้นสวรรค์ แต่เธอกลับไปรักภูเขาน้ำแข็งอย่างเซิ่งอี่เจ๋อแทน
ซึ่งในตอนนั้นเองคุณพ่อฉีกับคุณแม่ฉีกำลังหย่าร้างกัน ฉีเหยียนซีวิ่งไปตามคุณแม่ฉี เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีที่โดนทุบตีโดยไม่เคยร้องไห้ถามด้วยขอบตาแดงก่ำในวันนั้น “แม่ครับ ไม่ไปได้ไหม?”
คุณแม่ฉีกล่าวอย่างเข้มงวด “เธอทำให้ฉันเสียเวลามาสามนาทีแล้วนะ ฉันยังมีคดีสำคัญที่ต้องไปพูดคุย ฉีเหยียนซี หุ้นถูกแบ่งเอาไว้หมดแล้ว ถ้าเธอไม่พอใจก็ติดต่อกับทนายฉันได้”
คุณแม่ฉีผู้เป็นหญิงแกร่งเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับ ทิ้งให้ฉีเหยียนซีวิ่งไปหาเซิ่งอี่เจ๋อเพื่อดื่มเหล้าย้อมใจ แต่กลับเห็นภาพหลีฝานซิงกำลังสารภาพรักกับเซิ่งอี่เจ๋อ…
ภาพนั้นมันช่างสวยงามเหลือเกิน หนุ่มหล่อสาวสวย หลีฝานซิงสารภาพรักอย่างเขินๆ ฉีเหยียนซีเดือดดาลเป็นอย่างมาก “พวกเธอสองคนพอได้หรือยัง! หลีฝานซิง เธอเป็นแฟนฉันนะ! เธอกับฉันยังไม่ได้เลิกกัน!”
หลีฝานซิงกลอกตาใส่เขา “พ่อแม่นายหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ? ตลาดหุ้นตระกูลฉีก็ปั่นป่วนขนาดนั้น นายยังจะมาหาฉันทำไม?”