หลีชั่นซิงกระวนกระวายใจหนัก กระทืบเท้าเอ็ดเจี่ยนซินเอ๋อร์ “เจี่ยนซินเอ๋อร์ ยัยโง่! เธอไม่รู้หรือไงว่าในเมืองนี้มีคนนามสกุลเซิ่งกี่คน”
ม่านตาดำของเจี่ยนซินเอ๋อร์เบิกกว้าง เธอตอบด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เซิ่ง… คะ-คุณ… คือลูกชายคนโตของตระกูลเซิ่งงั้นเหรอ”
อันซย่าซย่าอ้าปากหวอ
ตระกูลเซิ่ง… ตระกูลนักธุรกิจที่ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งคราวในข่าวธุรกิจการเงิน และเป็นตระกูลที่ถูกขนานนามว่าเป็นอาณาจักรนักธุรกิจนั่นน่ะเหรอ
หลีชั่นซิงต้องพูดจาเหลวไหลแน่ๆ ก็ข่าวบอกว่าตระกูลเซิ่งมีทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวในรุ่น เขา จะมาอยู่ในแวดวงบันเทิงและอยู่ต่อหน้าเธอได้ยังไง…
อันซย่าซย่ามองเขาอย่างเลื่อนลอย เด็กหนุ่มซึ่งตัวสูงกว่าเธอเป็นคืบ รูปร่างสูงใหญ่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย
เจี่ยนซินเอ๋อร์รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแทบพังครืนลงมาใส่หล่อน ขณะที่เซิ่งอี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับจอมปีศาจ
“ขืนแตะต้องอันซย่าซย่าอีกละก็ ตระกูลเจี่ยนทั้งตระกูลจะถูกฝังไปพร้อมกับเธอด้วย” จากนั้นเขาก็มองกราดไปรอบๆ และทุกคนก้าวถอยหลัง “คนฉลาดย่อมรู้ขอบเขตของตัวเอง เธอคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเธอแตะต้องได้”
“ได้ ได้เลย พวกเราทราบแล้ว” เด็กสาวทั้งสามตอบรับอย่างหวาดกลัวตัวสั่นก่อนจะวิ่งหนีไปพลาง ผลักกันไปพลาง
เมื่อจัดการกับเด็กสาวพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว เซิ่งอี่เจ๋อก็หันกลับมา เอ่ยถามเธอพร้อมกับขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เฮ้ เดินไหวหรือเปล่า”
อันซย่าซย่าพยักหน้าก่อนลองเดินดูสองสามก้าว ทุกอย่างปกติดียกเว้นก็แต่ยังเจ็บอยู่บ้างตรงที่ถูกพวกนั้นทำร้าย
กระนั้นก็ตาม เซิ่งอี่เจ๋อก็ดึงคอเสื้อเธอไว้จากทางด้านหลัง แล้วอันซย่าซย่าก็หันกลับไปมองด้วยความสับสน เขาก้มลงคุกเข่าด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก แล้วพูดออกมาอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ขึ้นมาสิ ฉันจะแบกเธอไปเอง”
ทีแรกเธอก็อิดเอื้อน แต่เมื่อมองเห็นเจี่ยนซินเอ๋อร์ซึ่งหกล้มหกลุกลงกับพื้น จึงปีนขึ้นหลังเซิ่งอี่เจ๋อในทันที
ในฐานะแอนตี้แฟน เธอไม่ได้นิยมชมชอบอะไรเซิ่งอี่เจ๋อหรอก แต่ก็ดีออกที่ได้ยั่วโมโหเจี่ยนซินเอ๋อร์
เพราะอย่างไรเสีย เธอก็ไม่ใช่แม่พระมาเกิดสักหน่อย!
ตามคาด เมื่อเจี่ยนซินเอ๋อร์เห็นว่าเซิ่งอี่เจ๋อคุกเข่าลงเพื่อแบกอันซย่าซย่าขึ้นหลัง น้ำตาหล่อนก็แทบร่วง
ขณะที่ชายหนุ่มแบกเธอเดินไปทางปากซอย เขาก็ล้ออันซย่าซย่าด้วยเสียงเบาๆ “ให้ตาย เธอนี่หนักเป็นบ้า”
อันซย่าซย่าขู่ฟ่อ “ไม่มีทาง! นายอ่อนแอเกินไปต่างหาก!”
“คุณเพื่อนร่วมชั้นอันซย่าซย่า นี่เป็นวิธีการขอบใจคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้เหรอ” เซิ่งอี่เจ๋อโต้ตอบอย่างคบกริบพอกัน
อันซย่าซย่าผงะไปเล็กน้อย ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก แล้วเธอก็ควานเข้าไปในกระเป๋าเป้หลังก่อนจะหยิบผ้าปิดปากส่งให้เซิ่งอี่เจ๋อ “ใส่นี่ซะสิ จะดูไม่ดีนะถ้ามีใครแอบถ่ายรูปนายไปด้วยสภาพแบบนี้”
ชายหนุ่มหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “ฉันไม่มีมือจะสวม”
“อ้อ…” อันซย่าซย่าก็ฉลาดพอที่จะเติมคำในช่องว่างได้อยู่ จึงสวมผ้าปิดปากให้เขา ด้วยมุมองศาที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้ มุมปากของเขารั้งขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นรอยยิ้ม
คนขับรถกำลังรออยู่ที่ถนน เซิ่งอี่เจ๋อพาอันซย่าซย่าขึ้นรถแล้วก็ออกคำสั่งกับคนขับ “ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด”
“ไม่จำเป็นหรอก!” อันซย่าซย่าขัด เด็กสาวอธิบายความภายใต้สายตาหงุดหงิดของเซิ่งอี่เจ๋อ “ป๊าฉันก็เป็นหมอ เรามีชุดยาสามัญประจำบ้านเก็บไว้ที่บ้าน พอกลับไปถึงบ้านแล้วฉันค่อยทำแผลเองก็ได้ ไม่มีอะไรหนักหนา…”
“ถ้าเธอไม่เป็นอะไร ทำไมถึงให้ฉันแบกขึ้นหลัง” เซิ่งอี่เจ๋อกวน
“เอ้าทำไมล่ะ ก็นายเป็นคนอาสาแบกฉันมาเองนี่นา”
“ฮึ ยัยคนเนรคุณตัวน้อยน่ารำคาญ”
“นายต่างหากน่ารำคาญ!”
ได้ยินทั้งสองเถียงกันเช่นนั้นแล้ว คนขับรถก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่านายน้อยผู้เข้าถึงยากและรักสันโดษก็ได้พบใครสักคนในที่สุด…
ระหว่างนั้น น้ำเสียงเย็นชาทว่ามีมนตร์เสน่ห์เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเจี่ยนซินเอ๋อร์ “อันที่จริง เราไม่จำเป็นต้องจัดการอันซย่าซย่าโดยตรงก็ได้…”