หลังจากนั้นอันซย่าซย่าก็ไม่อยากพูดจาอะไรให้มากความกับเธออีก จึงแค่หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
อันอี้เป่ยส่งสายตาเมินเฉยไปยังเจี่ยนซินเอ๋อร์ ถึงแม้จะไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร แต่ความไว้ตัวและอำนาจที่อยู่ในดวงตาของเขาก็ทำให้เจี่ยนซินเอ๋อร์คลายมือที่กำหมัดไว้เพราะความหวาดเกรง
ซูเสี่ยวมั่ววิ่งมาถึงก็ชูกำปั้นใส่เจี่ยนซินเอ๋อร์ “ฉันขอเตือนไว้เลยนะ ถ้าเธอยังกล้ามาแกล้งยัยซย่าซย่าจอมเปิ่นของฉันอีกละก็ ฉันจะซัดเธอให้หมอบเลย” หญิงสาวขู่
คังเจี้ยนไม่ได้พูดอะไร แต่มองเจี่ยนซินเอ๋อร์ด้วยสายตาเหยียดหยาม
เจี่ยนซินเอ๋อร์รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวตลก เจ็บปวดจากความอับอายขายหน้า เธอล้มพับลงกับพื้นอย่างเศร้าเสียใจ
มัน… กลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
เธอไม่รู้เลยว่านั่งอยู่กับพื้นนานแค่ไหนจนกระทั่งเด็กสาวร่างผอมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างกาย และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจี่ยนซินเอ๋อร์ เธอนี่มันโง่จริง แค่จัดการไล่ตะเพิดยัยอันซย่าซย่าออกจากโรงเรียนยังทำไม่ได้เลย”
เจี่ยนซินเอ๋อร์ร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ “ชะ-ชั่นซิง… ฉันจะทำยังไงดี ฉันทำทุกอย่างตามที่เธอสอนแล้ว…”
หลีชั่นซิงเหลือบมองลงมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังรังเกียจ แต่ยังเสแสร้งว่าเป็นพี่สาวที่ดี เธอจับมือเจี่ยนซินเอ๋อร์ไว้พลางปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะซินเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ฉันจะช่วยเธอเอง”
หลังจากเอ่ยลากับซูเสี่ยวมั่วและคังเจี้ยนแล้ว อันซย่าซย่ากับอันอี้เป่ยก็กลับบ้านด้วยกัน
อันอี้เป่ยเป็นคนปากไวและจอมวางแผนผู้ชอบหยอกน้องสาวเล่นอยู่ตลอดเวลา เขาก้าวเข้ามาปกป้องเธอในวันนี้ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ยากมาก จนทำให้อันซย่าซย่าเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่ชายไปเลย การที่เธอเปลี่ยนไปเรียกเขาด้วยคำว่า “พี่ชาย” ทำเอาเขาขนลุกไปหมด
พอถึงมื้อค่ำ อันซย่าซย่าก็ใส่ใจดูแลเขาออกหน้าออกตา คอยตักกับข้าวใส่ถ้วยเขาตลอดโดยไม่ได้สังเกตเลย ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังมองดูเธออยู่
ป่าป๊าอันยิ้ม “อี่เจ๋อ ได้ยินมาจากเสี่ยวเคอ ว่าพรุ่งนี้พวกเธอทั้งสามจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เลยใช่ไหม อย่างนั้นต้องกินเยอะๆ เข้าไว้นะ อาหารบนเครื่องน่ะรสชาติไม่ไหวเลยและก็ไม่ค่อยมีสารอาหารดีๆ ด้วย”
เซิ่งอี่เจ๋อและอีกสองคนที่เหลือพากันพยักหน้าตอบขอบคุณ จากนั้นก็พากันก้มหน้าทานอาหารต่อไป
ระหว่างที่ทานไปได้ราวครึ่งทาง ก็มีเสียงผู้ชายกำลังร้องเพลงดังออกมาจากโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพลงป๊อปธรรมดา แต่อันซย่าซย่าวางชามข้าวและตะเกียบลงดังตึ้กก่อนจะแล่นถลาไปหน้าทีวีและนั่งเท้าคางดูอย่างสนุกสนาน
“ซย่าซย่า เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมกินต่อล่ะ” ฉือหยวนเฟิงนึกสงสัย
อันอี้เป่ยกวาดตามองไปที่น้องสาว “อ๋อ เขาน่าจะกำลังดูโอปป้าหรงเช่อของเขาอยู่” เขาพูดหน้าตาเฉย
หรงเช่อ…
เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของทั้งสามหนุ่มแห่งวงสตาร์รี่ไนต์ก็เปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
เซิ่งอี่เจ๋อเอียงหน้าไปมอง ไม่สามารถถอนสายตาจากเธอได้เลย เธอดูเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ดูท่าทางอยากจะปีนเข้าไปในจอทีวีเสียด้วยซ้ำ
เฮอะ นี่ต้องชอบหมอนั่นมากขนาดนี้เชียวเหรอ เซิ่งอี่เจ๋อเอาตะเกียบเขี่ยข้าวไปมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
อยู่ๆ อันอี้เป่ยก็พูดขึ้น “ผมซื้อตั๋วมาแค่ใบเดียว จะโอเคไหมนะถ้าปล่อยให้ซย่าซย่าไปดูคอนเสิร์ตตามลำพัง”
ทุกคนมองไปที่อันซย่าซย่าผู้ซึ่งหลงรักหรงเช่อหัวปักหัวปำ แล้วทั้งหมดต่างก็รู้สึกเป็นห่วง
อันอี้เป่ยเพิ่งสำนึกได้ว่าเขาควรซื้อตั๋วมากกว่าหนึ่งใบ จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แต่กลับพบว่าตั๋วคอนเสิร์ตนั่นถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว
เขาสบถเสียงเบา รู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้แล้วคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะโน้มน้าวไม่ให้อันซย่าซย่าไป คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องไปหาซื้อตั๋วผีจากนายหน้าเอาในวันคอนเสิร์ต
โดยไม่คาดคิด เซิ่งอี่เจ๋อก็เคาะโต๊ะด้วยนิ้วเรียวยาวของเขา “ผมหาตั๋วได้ ผมจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง” ชายหนุ่มบอกอย่างเรียบง่าย
อะไรนะ
ฉือหยวนเฟิงมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับเรื่องนี้ “พี่อี่เจ๋อ ทำไมถึงต้องไปคอนเสิร์ตเขาล่ะ พี่ก็รู้ว่าเขาเป็น…”
เหอจยาอวี๋ตบไหล่เขาเบาๆ ฉือหยวนเฟิงหยุดพูดทันทีก่อนจะหันหน้าหนีอย่างโกรธๆ
“นายจะไปกับเธอเหรอ แต่ตัวนายเองก็เป็นดาราเหมือนกัน ฉันจะปล่อยให้นายดูแลซย่าซย่าโดยไม่ต้องเป็นห่วงได้ไหมนี่” อันอี้เป่ยเลิกคิ้วถาม