อันซย่าซย่าเบ้ปาก
“เฮ้! แบบนี้มันดูถูกกันซึ่งๆ หน้าเลยนะ! ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันเกี่ยวข้องกับเธอตรงไหนไม่ทราบ” อันซย่าซย่าตอบโต้
เจี่ยนซินเอ๋อร์หายใจแรง เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอันอี้เป่ยเมื่อคราวที่แล้วยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต จึงได้แต่เพียงจ้องหน้าอันซย่าซย่าอย่างอาฆาตมาดร้าย
เซิ่งอี่เจ๋อตอบด้วยน้ำเสียงไม่เดือดร้อน “เขาโง่ตรงไหน”
“หล่อนก็ต้องโง่อยู่แล้วสิ! เป็นแค่นักเรียนโควตาเท่านั้น!” เจี่ยนซินเอ๋อร์กล่าวอย่างขุ่นเคือง
เซิ่งอี่เจ๋อหัวเราะหึหึ “แต่ฉันคิดว่าเขาฉลาด”
ลูกตาของเจี่ยนซินเอ๋อร์แทบจะทะลักออกมานอกเบ้า
คนอื่นๆ ก็กระโดดเข้าร่วมวงโดยทันที “ใช่แล้ว ฉันไม่คิดว่าเธอบื้อนะ นักเรียนโควตาพิเศษน่ะไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด โอเค้ นอกจากความสามารถพิเศษที่มีแล้ว พวกเขายังต้องผ่านการทดสอบความรู้พื้นฐานด้วยเพื่อที่จะเข้าเรียนที่ฉีซย่า…”
คังเจี้ยนกระโจนลุกจากที่นั่งพลางตะโกน “แน่นอนที่สุด! ซย่าซย่าของพวกเราเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลก! เป็นภรร-” ก่อนที่เขาจะทันได้พูดคำสุดท้าย คังเจี้ยนก็ถูกซูเสี่ยวมั่วลากกลับมาก่อนจะถูกเตะก้นอีกป้าบ
เมื่อเห็นว่ามีกองหนุนมากมายเช่นนั้น อันซย่าซย่าก็มีความมั่นใจมากขึ้น เธอเชิดคางพลางจ้องตอบเจี่ยนซินเอ๋อร์
เจ้าหล่อนเดินกระแทกกระทั้นกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับสมุดแบบฝึกหัดที่ถูกม้วนแน่น เจี่ยนซินฟาดสมุดลงบนโต๊ะเสียงดัง
เหอจยาอวี๋เม้มปากก่อนจะยิ้มออกมา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเซิ่งอี่เจ๋อเป็นคนช่างปกป้องขนาดนี้
รอยยิ้มนั้นไม่เล็ดลอดสายตาซูเสี่ยวมั่วผู้ซึ่งกำลังทะเลาะกับคังเจี้ยนเสียงดังโหวกเหวก เธอจึงปล่อยคอเสื้อคังเจี้ยนแล้วเดินมาหาเหอจยาอวี๋อย่างเขินๆ พร้อมกับน้ำขวดหนึ่ง
“ช่วงนี้อากาศแห้งจังเลยนะคะ ดื่มน้ำสักหน่อยสิ” จากตัวตนที่ห้าวหาญของหล่อน บัดนี้ซูเสี่ยวมั่วกลับกำลังพูดเหมือนสาวน้อยที่แสนสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง
อันซย่าซย่าและคังเจี้ยนอ้าปากค้างมองดูฉากนั้น
เหอจยาอวี๋ยิ้มตอบอย่างสุภาพก่อนรับขวดน้ำ “ขอบคุณนะ”
เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ในฐานะเพื่อนสนิทของอันซย่าซย่า
ซูเสี่ยวมั่วยิ้มเอียงอายให้เขาพร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ อย่างที่เธอเคยเห็นในละครทีวี “ยินดีค่ะ!”
อย่างไม่ทันตั้งตัว เหอจยาอวี๋ตกจากเก้าอี้ลงไปกองที่พื้นด้วยแรงกระแทก
ความเงียบอย่างประหลาดครอบคลุมไปทั่วห้อง
อันซย่าซย่าตบหน้าผากตัวเองดังฉาด ซูเสี่ยวมั่วยิ้มแห้ง แม้แต่เหอจยาอวี๋ซึ่งปกติแล้วพร้อมที่จะยิ้มอย่างอบอุ่นตลอดเวลายังดูอึ้งไปเล็กน้อย
ผู้หญิงธรรมดาจะแข็งแรงได้ขนาดนี้เลยหรือ เอ่อ… เขาคิดว่าเขาคงมีเลือดตกในหรือช้ำในแน่ๆ
“ฉัน… ฉันขอโทษ…” ซูเสี่ยวมั่วพูดจาตะกุกตะกัก เหอจยาอวี๋ลุกขึ้นยืนและยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมนั่งไม่ดีเองน่ะ”
เขาหาข้อแก้ตัวให้เธออย่างง่ายๆ
ยิ่งเขาอ่อนโยนมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งอับอายขายหน้ามากขึ้นเท่านั้น ซูเสี่ยวมั่วละทิ้งความพยายามที่จะผูกสัมพันธ์กับเขา ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของเธอและซุกหน้าเข้ากับฝ่ามือทั้งสอง
อันซย่าซย่าแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เซิ่งอี่เจ๋อเหลือบมองเธอทางหางตาก่อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ยัยบื้อ ทำแบบฝึกหัดเสร็จหรือยัง”
อันซย่าซย่าตอบอย่างขุ่นมัว “ไหนเมื่อกี้เพิ่งพูดว่าฉันเก่งไง”
“แล้วเธอเชื่องั้นเหรอ”
“มิตรภาพน่ะมันพังทลายได้ง่ายมากนะ…” อันซย่าซย่ากล่าวอย่างเศร้าใจ
ชายหนุ่มอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งกว่า
แม่คนนี้…คิดกับเขาแค่เพื่อนเท่านั้นหรือ
แสดงว่าแม่นี่ซื่อบื้อจริงๆ เลย
ที่บ้านครอบครัวอัน
อันซย่าซย่าได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวเยี่ยนระหว่างมื้อค่ำ
หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้าและคุยเรื่องจิปาถะแล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจถามอย่างระมัดระวังในที่สุด “ซย่าซย่า สุดสัปดาห์นี้เธอมีเวลาไหม เราไปดูหนังด้วยกันดีไหม”
โทรศัพท์ของหญิงสาวนั้นมีเสียงเล็ดลอดออกมาได้เล็กน้อย และทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็ได้ยินการสนทนา ทุกคนได้รับข้อมูลชิ้นเดียวกันด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
อันอี้เป่ยกระซิบ “มีคนหลงมาชอบซย่าซย่าจริงเหรอเนี่ย หมอนั่นต้องตาบอดแน่ๆ!”
เซิ่งอี่เจ๋อกินข้าวอย่างกับกำลังนับเม็ดข้าวทีละเม็ดๆ พายุฟ้าคะนองกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะเขา
เหอจยาอวี๋พบไหล่เขาเบาๆ พลางหัวเราะชอบใจอยู่เงียบๆ