อันซย่าซย่าปั้นหน้าล้อเลียน จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในครัวเพื่อช่วยป้า
แสงเรืองรองยามพลบค่ำระบายสีม่วงอ่อนๆ ที่แผ่นหลังเด็กสาว เมื่อประกอบกับเรือนผมดำขลับที่กำลังสะบัดพลิ้วทำให้กลายเป็นภาพที่ชวนมอง
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม แต่แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อปลายหางตากราดแวบไปเห็นเสื้อผ้าที่กำลังแขวนอยู่ในสนาม
ความคิดที่ว่าอันซย่าซย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาแถมยังซักให้อีก… ผิวเนื้อหลังใบหูของเขาก็แดงแปร๊ดขึ้นมาอีกครั้ง
–
มื้อค่ำได้รับการปรุงอย่างประณีต แต่เพราะทั้งสองคนต่างก็ไม่คุ้นเคยกับรสชาติจึงทานไปเพียงไม่กี่คำ
หลังอาหารเย็นอันซย่าซย่าไปช่วยล้างจาน ขณะที่เซิ่งอี่เจ๋อนั่งคุยกับสามีของป้าใต้โครงร้านเถาองุ่น— ลุงโจวผู้ซึ่งเป็นคนช่วยทั้งคู่เอาไว้
“ต่อไปพวกหนูต้องระวังมากกว่านี้นะ! คราวนี้น่ะถือว่าโชคดีมาก ในแถบภูเขานี่มันมืดไวมากถ้าไม่มีใครไปเจอเข้าละก็ ป่านนี้พวกหนูอาจตายไปแล้วก็ได้นา!” ลุงโจวแนะนำพลางมวนบุหรี่
เซิ่งอี่เจ๋อพยักหน้าพร้อมกับขอบคุณเขา ถึงแม้จะสวมเสื้อผ้าเรียบๆ แบบนี้ แต่คนที่ได้พบเห็นก็ดูออกว่าเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา
“ว่าแต่นี่แน่ะ น้องสาวเราน่ะตกใจกลัวจนร้องไห้เชียวนะตอนที่ลุงไปเจอเข้า เขากำลังประคองเราเดินมาทางหมู่บ้านของพวกลุงนี่แหละ เดินไปก็ร้องไห้ไป…” ลุงโจวหัวเราะเบาๆ เมื่อหวนนึกถึงสภาพอันน่าสงสารของอันซย่าซย่าตอนที่เขาเจอ
เซิ่งอี่เจ๋อยิ้มไปกับเขา แต่ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดนิดๆ กับความคิดนั้น
ยัยจิ๋วจอมบื้อนั่นคงจะกลัวเอามากๆ เชียวละ
ในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะหมดสติไปนั้น เขาคิดจริงๆ ว่าอันซย่าซย่าคงจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นแล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
ยัยนั่นก็มีมโนธรรมอยู่นะ
“เขาร้องไห้บ่อยครับ” เซิ่งอี่เจ๋อเล่าด้วยสีหน้าอ่อนโยน “แล้วก็สมองทึบด้วย”
“ฮ่าๆๆ แต่เขาก็เป็นน้องสาวเรานะ ดังนั้นเราต้องปกป้องเขาไม่ว่าจะยังไงก็ตาม! ก็เหมือนที่เขาว่ากันว่า อธิษฐานจิตร้อยปีทำให้คนเราได้ลงเรือลำเดียวกัน แต่หากครบพันปีทำให้คนเราได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันนะ พวกเราสองคนคงต้องอธิษฐานจิตกันมาหลายภพหลายชาติ ถึงได้กลายมาเป็นพี่น้องกันในชาตินี้ไงล่ะ ดังนั้นดีกับเขาไว้” ลุงโจวตบไหล่เขาเบาๆ พลางยิ้มให้อย่างจริงใจ จากนั้นก็ขอตัวกลับเข้าห้องไป
เซิ่งอี่เจ๋อนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนจะเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้
เสื้อผ้าของอันซย่าซย่ากับของเขาแห้งสนิทแล้วหลังจากตากเอาไว้ตรงนั้นตลอดบ่าย พอเขาเก็บเสื้อผ้าสองสามชิ้นสุดท้ายก็ถึงกับยืนงงกับเจ้าสิ่งแปลกประหลาดสีชมพูในมือ
–
อันซย่าซย่าต้องตกตะลึงไปอีกครั้งเมื่อถึงเวลาเข้านอน
เซิ่งอี่เจ๋อกัดฟัน จ้องเขม็งมองเธอซึ่งยืนอยู่ตรงบานประตู เขาต่อว่า “เธอดันไปบอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ดูซิว่าผลออกมาเป็นยังไง”
หญิงสาวหน้ามุ่ย เธอไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่าลุงกับป้าโจวจะจับให้เธอกับเขานอนห้องเดียวกัน!
แต่อย่างไรเสีย บ้านโจวก็มีแค่สองห้องนอนเท่านั้น พวกเขาต้องไปขออาศัยห้องของเพื่อนบ้านเพิ่มถ้าจะนอนแยกห้อง ซึ่งเธอไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ลุงกับป้าไปมากกว่านี้
“เอ่อ… เอาเป็นว่าคืนนี้เรานอนๆ กันไปก่อน พรุ่งนี้คุณลุงจะขับรถไปส่งพวกเรา” อันซย่าซย่าแนะนำอย่างเขินๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่คัดค้านเธอจึงหยั่งเชิงดู “’ งั้น…แบ่งกันยังไงดี”
เซิ่งอี่เจ๋อไม่แม้แต่จะกะพริบตา “คิดว่าไงล่ะ ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าฉันนอนเตียง ส่วนเธอก็นอนบนพื้นไปสิ”
เธอร้องต่อสวรรค์อย่างเงียบๆ
นึกแล้วเชียว!
เมื่อมองไปที่พื้นปูกระเบื้องหินสีฟ้าๆ นั้นเธอก็รู้สึกหวั่นๆ เล็กน้อย
“ถ้าเกิดงูมันเลื้อยเข้ามากลางดึกล่ะ… ฉันกลัว…” อันซย่าซย่าสวมบทลูกหมาน้อยน่ารักอีกครั้ง
เซิ่งอี่เจ๋อลังเล แล้วเธอก็รีบฉวยโอกาสด้วยการปีนขึ้นเตียงโดยไม่สนอะไรใดๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังกวักมือเรียกเซิ่งอี่เจ๋ออย่างกระตือรือร้นอีกด้วย “มาสิ แบ่งเตียงกันนอน”
เซิ่งอี่เจ๋อรู้สึกเลยว่ามุมปากเขากระตุก ทำไมฉากนี้มันถึงได้ดูทะแม่งๆ นะ
อย่างไรก็ตาม…
เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วหยิบกางเกงชั้นในสีชมพูออกมาจากกองผ้า ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อันซย่าซย่า เรื่องรสนิยมของเธอ… ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ”