อันซย่าซย่าละล่ำละลัก ไม่สามารถพูดรวมเป็นประโยคที่ครบถ้วนได้ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจนร้อน
ตอนนี้เขาอยู่เหนือตัวเธอเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น ลายเส้นอันราบรื่นของกรอบโครงร่างเขาดูเหมือนลายเส้นบนผลงานศิลปะชั้นยอด
หัวใจเธอเต้นกระหน่ำอยู่ภายใน ตัวแข็งเกร็งเสียจนกระทั่งไม่สามารถขยับนิ้วได้ด้วยซ้ำ
เซิ่งอี่เจ๋อจับแมงมุมได้อย่างสบายๆ ไว้ในระหว่างนิ้วของเขาแล้วโบกมันตรงหน้าของเธอ อันซย่าซย่าดูหวาดกลัว กระเถิบตัวออกห่างจากมันให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ “อ๊ะ! อะไรน่ะ! เอามันออกไปไกลๆ ฉัน!”
เซิ่งอี่เจ๋อพูด “ข้อแรก คนเลวๆ จะไม่มีทางยอมแบ่งที่นอนกับเธอโดยไม่ทำอะไรนอกจากนอนคุยกัน ข้อสอง อันซย่าซย่า เมื่อไหร่เธอจะเลิกหลงตัวเองอยู่ตลอดเวลาเสียที”
อันซย่าซย่าเจ็บปวดใจและชะงักอยู่กับที่ เธอกำลังจะแอบหลบไปเลียแผลใจเงียบๆ ท่ามกลางสายลมอันเย็นเฉียบของฤดูใบไม้ร่วง
เซิ่งอี่เจ๋อโยนเจ้าแมงมุมออกไปทางนอกหน้าต่างแล้วเอนหลังนอนลงบนหมอนของเขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เธออยากคุยเรื่องอะไร”
หญิงสาวยังไม่หายจากอาการช็อก เธอตรวจดูทุกซอกทุกมุมรอบที่นอนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีแมลงอะไรอีกก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นทั้งสองก็นอนลงเอาไหล่ชนกัน สายตามองตรงไปยังคืนที่ท้องฟ้าพราวพร่างไปด้วยดวงดาวข้างนอกนั่น
อากาศเย็นสดชื่นท่ามกลางเทือกเขา ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นี่ช่างสวยงามน่าทึ่ง ทั้งสองสามารถนอนดูวิวกลางคืนที่แตกต่างไปจากในเมืองอย่างสิ้นเชิง
อันซย่าซย่าเอื้อมมือออกไปราวกับว่ากำลังจะเด็ดดวงดาวลงมา
“ฉันอิจฉาดวงดาวมากเลย พวกมันไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไร แค่คอยส่องแสงระยิบระยับแล้วก็รอให้เวลาผ่านไป”
มีเพียงเซิ่งอี่เจ๋อคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงประชดประชันที่ไม่ได้เอ่ยออกมาของตัวเขาเอง เธอพูดแบบนั้นก็เพราะเธออยากจะเป็นคนที่ลอยชายอยู่เฉยๆ เองน่ะสิ!
เขาสอนบทเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานด้วยน้ำเสียงเมินเฉย “ดวงดาวส่วนมากที่เธอเห็นสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ อันที่จริงดาวเกือบทุกดวงอยู่ห่างไกลจากเรามาก แสงที่เราเห็นในท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นน่ะไกลออกไปหลายล้านปีแสง ตอนนี้ดาวบางดวงอาจจะไม่มีอยู่แล้วก็เป็นได้”
อันซย่าซย่าคิดว่าคำอธิบายนั้นน่าสับสน “แล้วไง”
“ดังนั้นมันก็ไม่ถูกน่ะสิที่จะปล่อยเวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า! ดวงดาวน่ะต้องพึ่งพาแสงจากดวงอาทิตย์อยู่เสมอ ทำไมไม่พยายามทำตัวเป็นดวงอาทิตย์เล็กๆ ด้วยตัวเธอเองล่ะ” เซิ่งอี่เจ๋อพยายามปลูกฝังให้ข้อคิดกับเธอ
อันซย่าซย่ากลิ้งเกลือกบนเตียงอย่างขี้เกียจและตอบกลับเพียงแค่คำว่า “อ้อ”
เซิ่งอี่เจ๋อตบหน้าผากตัวเอง ช่างเถอะ! เขายอมแพ้!
อันซย่าซย่ากลิ้งไปกลิ้งมาอย่างมีความสุขพักหนึ่งก่อนจะถอยหายใจ “ฉันอิจฉานายมากเลยนะ แล้วก็ฉือหยวนเฟิงกับเหอจยาอวี๋ด้วย พวกนายเป็นนักร้องดังและโดดเด่นมาก เหมือนกับชื่อกลุ่มเลย สตาร์รี่ไนต์ (ฟ้ากระจ่างดาว) พวกนายเป็นท้องฟ้าไร้ขอบเขตซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาว มีแฟนเพลงนับไม่ถ้วน ดีจังเลย…”
เซิ่งอี่เจ๋อหายใจพรืดแต่ไม่พูดอะไร
“แต่เธอเคยคิดไหม ถ้าหากไม่มีดวงดาว มันจะมีคืนที่ฟ้ากระจ่างดาวหรือเปล่า”
พวกเขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ที่บังเอิญถูกชักนำขึ้นมาสู่จุดนี้ในจังหวะที่พอดี
เขารออยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
เซิ่งอี่เจ๋อเหลือบมองไปด้านข้างก็พบว่าอันซย่าซย่าพูดยานคาง เปลือกตากำลังหรี่ลง “ดวงดาว… ดาวทุกดวง อืม… ฉันอาจจะนอนดิ้นหน่อยนะ นายคงไม่ว่า”
หลังจากประกาศให้รู้แล้ว ขนตาเธอก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ หลับลงไปอย่างช้าๆ
เซิ่งอี่เจ๋อเบ้ปาก เขาห่มผ้าให้เธอแล้วจากนั้นก็หลับตาลง
เขาคิดว่าเธอคงเพียงแค่ล้อเล่นเรื่องที่นอนดิ้น
แต่แล้วเขาก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไรในกลางดึกคืนนั้นเอง!
ระหว่างที่เขากำลังหลับ ก็รู้สึกสำลักแรงกดที่รอบคอ
เมื่อลืมตาเขาก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น! อันซย่าซย่านอนกลับหัวกลับหางเอาขามาพาดคอเขา!
เส้นเลือดข้างขมับของเขาปูดขึ้นมาทันที