อันซย่าซย่าเดินกลับไปกลับมาอย่างเป็นกังวลขณะที่เธอกลั้นหายใจและดูวิดีโอบนโทรศัพท์
เซิ่งอี่เจ๋อเริ่มร้องเพลงระหว่างนั้นก็เต้นท่าทางยากๆ ไปด้วย
ทุกครั้งที่เขาหมุนตัวแทบทำให้อันซย่าซย่าใจหายใจคว่ำ
แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เผยให้เห็นถึงอาการเจ็บปวดบนสีหน้า ไม่มีแม้กระทั่งความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ สักจุดในการเต้นอันลื่นไหล
เขาทั้งร้องทั้งเต้นจนโน้ตเพลงสุดท้ายจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ
เขาลือเรื่องการบาดเจ็บของเขาก็เป็นอันจบไป
หลูเคอผู้จัดการของเขาเป็นผู้ตอบคำถามต่างๆ แทน ส่วนเซิ่งอี่เจ๋อเดินลงจากเวทีไปหลังจากการพูดคุยสั้นๆ อีกไม่กี่คำ
เมื่อเขากลับไปถึงหลังเวทีชายหนุ่มผมสีทองอ่อน ที่เขารู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดีก็ตบไหล่เขาอย่างคุ้นเคย “จบการแถลงข่าวแล้วเหรอ”
เซิ่งอี่เจ๋อซวนเซไปเล็กน้อยเขาขมวดคิ้วแล้วพยักหน้าตอบเบาๆ แค่ “อืม”
เมื่อตระหนักถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องของอีกฝ่าย ชายหนุ่มผมทองก็เลิกคิ้วขึ้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ด้วยว่ามีคนอยู่มากมายแถวนั้น คงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นถ้าข่าวการบาดเจ็บของเซิ่งอี่เจ๋อยังคงแพร่ออกไปอีก
เขาถอนหายใจ “พักผ่อนให้เต็มที่ นายยังเด็กอยู่อย่าผลักดันตัวเองมากเกินไปล่ะ”
เซิ่งอี่เจ๋อยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก”
เขาเลือกเส้นทางเดินนี้ด้วยตัวเองเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเจ็บปวดหรือยากแค่ไหนมันก็เป็นความรับผิดชอบของเขา
หนุ่มผมทองตบหน้าผากตัวเอง “ฉันเกือบลืมไปเลย หน่วยรักษาความปลอดภัยเพิ่งโทรมาหาฉันเมื่อกี้และฝากให้ฉันบอกนายว่าลุงเซิ่งมาที่นี่ เขารอนายอยู่ที่ประตูด้านข้างของบริษัท”
เซิ่งอี่เจ๋อเปลี่ยนเสื้อผ้าไปใส่ชุดที่สบายขึ้นแล้วเลี้ยวไปทางประตูด้านข้างโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจากบาดแผลของเขาแม้แต่น้อย รถโรลส์รอยซ์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ข้างถนนมันช่างดูขัดกับฉากหลังในย่านนี้เหลือเกิน ชายหนุ่มเดินไปยังรถคันนั้น เปิดประตูเข้าไป พลางพยักหน้าทักทายอย่างเย็นชา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งหันมาหาเขา ดูท่าทางไม่พอใจ “ไอ้เรื่องที่ตกลงไปในแม่น้ำนี่มันอะไรกัน”
“ คุณ ไม่ได้สืบมาแล้วหรือไง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เซิ่งจื้อหย่วนฟาดหนังสือพิมพ์ในมือเขาอย่างโมโห “จะต้องให้ฉันบอกแกเรื่องนี้กี่ครั้งกี่หนกัน ฉันไม่อนุญาตให้แกมาเข้าวงการนี้ เพื่อให้แกเอาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายหรอกนะ!”
“ผมดูแลตัวเองได้”
เซิ่งจื้อหย่วนใจเย็นลงเล็กน้อยหลังจากหยุดคิด “ฉันรู้ว่าแกยังเคืองฉันอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ควรถูกตำหนิสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันควรจะช่วยคนแปลกหน้าและปล่อยให้มันแก่ตายงั้นเรอะ”
คำพูดเหล่านั้นทิ่มแทงเข้าไปยังจุดที่บอบบางที่สุดของเขา ชายหนุ่มเย้ยหยัน “ผมขอให้คุณช่วยเหรอ คุณมีสิทธิ์ตัดสินว่าผมจะอยู่หรือตายงั้นเหรอ”
เซิ่งจื้อหย่วนขุ่นเคืองใจ “ฉันเลี้ยงแกมาเพื่อให้แกมาเถียงฉันแบบนี้เหรอ”
เซิ่งอี่เจ๋อจ้องหน้าเขาก่อนจะลงจากรถโดยไม่แม้แต่จะโต้ตอบใดๆ
จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นรถของตัวเอง คนขับถามอย่างลังเล “นายน้อยครับ เราจะไปไหนกันครับ”
นานทีเดียวกว่าเซิ่งอี่เจ๋อจะให้คำตอบ “กลับไปบ้านครอบครัวอัน”
“ครับ”
เซิ่งจื้อหย่วนมองดูรถปอร์เช่สีดำขับออกไป เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ภายในรถ
หลายปีผ่านไป เซิ่งอี่เจ๋อก็ยังไม่ยอมเรียกเขาว่า “พ่อ”
หรือว่าตอนนั้นมันจะเป็นความผิดของเขาจริงๆ
–
ที่บ้านอัน – อันซย่าซย่าถูกความวิตกกังวลถาโถมเข้าใส่จนถึงกับกินมื้อค่ำไม่ลง ภายใต้สายตาอันประหลาดใจของทั้งป่าป๊าอันและอันอี้เป่ย เธอก็วางตะเกียบลง “หนูอิ่มแล้วค่ะ จะไปเดินเล่นหน่อยนะคะ”
เธอคว้าเสื้อแจ็กเกตแล้วก็วิ่งลงบันไดข้ามทีละหลายขั้น เธอจะโบกเรียกรถแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งเธอที่เว่ยยางเอ็นเตอร์เทนเมนต์
เซิ่งอี่เจ๋อช่างเป็นภาระอันหนักอึ้งในใจเธอนัก!
หญิงสาวกระแทกเข้ากับอ้อมแขนอันอบอุ่นทันทีที่เธอเปิดประตูหน้าบ้าน
น้ำเสียงทุ้มและเนิบนาบของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะเธอ “ยัยซย่าขาสั้น เธอวิ่งเร็วขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”