ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 100 มารดา

เฉิงสวี่ทำสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ออกมา ตะโกนใส่มารดาเสียงหนึ่งว่า ท่านแม่ และกล่าวขึ้นว่า “ข้านั่งมาตั้งนานแล้ว อยากจะลุกขึ้นมายืดตัวสักหน่อยก็เท่านั้น! ท่านเป็นอะไรหรือ…อารมณ์ราวกับดอกไม้ไฟก็ไม่ปาน…” ขณะที่เขาพูด ก็ขยับเข้าไปที่ด้านหน้าของหยวนซื่อ ยิ้มร่าพลางกล่าว “ท่านบอกข้ามา ใครทำให้ท่านไม่พอใจกันแน่ ข้าไปจะเอาคืนให้ท่าน!”

 

 

“นอกจากเจ้าแล้ว ยังจะมีใครกล้ามาทำให้ข้าไม่พอใจอีก!” หยวนซื่อใช้โอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นยังเด็ก ข้าเคยเจอมาแล้ว ไม่เพียงเฉลียวฉลาด ยังมีดวงตาที่สดใสและฟันที่ขาวสะอาด งดงามยิ่งยัก…”

 

 

คิ้วของเฉิงสวี่ผูกกันเป็นปม กล่าวขัดคำพูดของมารดาว่า “ท่านแม่ กล่าวเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปหน่อย คนที่ฉลาดตอนเป็นเด็กแต่พอโตมาแล้วธรรมดาก็มีมากมาย ท่านก็อย่าเอาแต่ยึดเอาตามปฏิทินเก่ามาพิจารณาคนเลย…”

 

 

ถึงแม้จะพยายามกดทับเอาไว้ แต่หยวนซื่อที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ด้วยมือตัวเอง อย่างไรก็สามารถฟังจากน้ำเสียงของเขาได้ว่าค่อนข้างจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

 

หยวนซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

ดังที่เขากล่าวกันว่า บุตรชายโตแล้วจะไม่ยึดติดกับมารดา ตอนนี้บุตรชายไม่เพียงเติบโตแล้วเท่านั้น แต่ยังสอบได้เป็นซิ่วไฉ และเป็นถึงอั้นโส่วผู้สอบได้เป็นลำดับที่หนึ่ง นี่หากว่าอยู่ในตระกูลธรรมดาทั่วไป ก็คงจะเป็นหัวหน้าครอบครัวจัดการเรื่องต่าง ๆ และสามารถพูดในหอบรรพชนได้แล้ว เพียงเพราะบุตรชายเกิดมาในตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรู การเป็นซิ่วไฉ หรือจวี่เหรินจึงไม่นับว่าเป็นอะไร ต่อให้เป็นจิ้นซื่อ ก็ยังต้องดูว่าเป็นลำดับผิ่นที่เท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ถึงได้ถูกนางตำหนิราวกับยังคงเป็นเด็กอยู่เช่นเดิม แต่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้ในใจของเขามีโจวเสาจิ่นอยู่ ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาย่อมไม่ฟัง เช่นนั้นไม่สู้ปล่อยเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ต่อไปมีโอกาสค่อยคุยรายละเอียดกับเขาอีกครั้ง นอกจากนี้โจวเจิ้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เพียงตนแสดงออกว่าไม่ชอบนิสัยของโจวเสาจิ่นเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้บุตรสาวแต่งเข้ามาเป็นแน่…ถึงเวลานั้น บางเรื่องก็อยู่เหนือการควบคุมของบุตรชายแล้ว

 

 

แล้วเหตุใดตนต้องทำตัวเป็นคนไม่ดีในเวลานี้ด้วย หากบุตรชายไม่ชอบใจขึ้นมา ก็จะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไปอีก

 

 

ในใจของหยวนซื่อสงบลงเล็กน้อย

 

 

“เจ้าดูเจ้าสิ ช่างพูดช่างคุยยิ่งกว่าฮูหยินแก่อย่างข้าผู้นี้เสียอีก แม่พูดประโยคหนึ่ง เจ้าก็ตอบกลับมาประโยคหนึ่ง ต้องพูดให้ชนะข้าให้ได้ มีลูกบ้านไหนกันที่เหมือนเจ้า ไม่ยอมแพ้เลยสักนิด” นางยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อย่างไรก็ตาม เฉิงลู่กล่าวเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก ผู้อื่นได้ยินเข้า ยังอาจจะคิดว่าเจ้ากับเฉิงลู่กำลังอิจฉาริษยากันด้วยเรื่องผู้หญิง ไม่ควรปล่อยให้เฉิงลู่กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไปทั่วเช่นนี้ได้ เจ้าเป็นผู้ชายยังพูดง่าย แต่คุณหนูรองตระกูลโจวเป็นผู้หญิง ยังไม่ได้ปักปิ่น และยังกำลังรอพูดเรื่องแต่งงานอยู่ด้วย หากคำพูดนี้แพร่ออกไป บ้านไหนจะกล้ามาสู่ขอคุณหนูรองตระกูลโจวกัน! แต่เจ้าก็เป็นตัวต้นเรื่อง ออกหน้ากล่าวอะไรไปก็ไม่ดี…ข้าว่าเรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการก็แล้วกัน! เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือของเจ้าให้สบายใจไปก็พอ” ยังกล่าวอีกว่า “เดือนหน้าเป็นวันเกิดของท่านอาจารย์ของเจ้า ข้าให้พ่อบ้านเตรียมชุดเครื่องเขียนไม้หวงหยางหนึ่งชุดและแจกันดอกเหมยอีกหนึ่งคู่มาให้เจ้า ถึงแม้ว่าของจะไม่มากมาย แต่ล้วนมีราคายิ่ง อีกสองวันเจ้านำสิ่งของไปเยี่ยมท่านอาจารย์ของเจ้าเสียหน่อย”

 

 

หัวหน้าผู้คุมสอบตอนที่เฉิงสวี่เข้าร่วมการสอบขุนนางระดับจังหวัดในตอนนั้นเป็นเจ้าเมืองจินหลิง ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าราชทูตอยู่ที่เจ้อเจียง

 

 

กล่าวคือหยวนซื่อต้องการส่งบุตรชายไปที่หังโจว

 

 

เฉิงสวี่เองก็เข้าใจดี และเข้าใจด้วยว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่ต่อต้านความคิดของมารดา ไม่เช่นนั้นหากมารดาตัดสินใจอยากจะดึงเรื่องโจวเสาจิ่นขึ้นมาพูด เขาก็คงจะห้ามไม่อยู่

 

 

ไม่สู้ตอนนี้เชื่อฟังคำของมารดาไปก่อนแล้วไปเยี่ยมท่านอาจารย์ที่หังโจวเสีย รอกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที

 

 

เขายิ้มพลางขานรับ

 

 

หยวนซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง

 

 

ที่ผ่านมาบุตรชายเป็นคนที่เชื่อถือได้ เมื่อเขาตอบตกลงแล้ว ก็ย่อมจะไปเยี่ยมท่านอาจารย์ที่หังโจวอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าด้วยเหตุนี้ทำให้พลาดการพบหน้ากับโจวเจิ้นได้ เช่นนั้นก็ยิ่งดี

 

 

สองแม่ลูกมองหน้ากันและยิ้ม ต่างคนต่างรู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย แต่ต่างคนก็ต่างรู้ดีอีกว่า ไม่อาจพูดต่อไปให้มากกว่านี้ได้อีก หากพูดต่อไปอีก มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างแม่ลูก

 

 

หยวนซื่อสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าให้เฉิงสวี่

 

 

เฉิงสวี่กลับสั่งฮวนสี่ว่า “เจ้าจับตาดูทางด้านของคุณหนูรองเอาไว้ หากมีความเคลื่อนไหวอะไรที่ผิดปกติก็ให้คนส่งจดหมายผ่านหอส่งข่าวมาให้ข้า ไม่ต้องกลัวเรื่องเสียเงิน ทั้งหมดให้รอข้ากลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”

 

 

ฮวนสี่ขานรับซ้ำ ๆ

 

 

สองวันต่อมา หยวนซื่อส่งเฉิงสวี่ออกไปแล้ว จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ไปเชิญต่งซื่อผู้เป็นมารดาของเฉิงลู่เข้ามาดื่มชา “…บอกไปว่านายท่านส่งชาเขียวลู่อันมาให้จากจิงเฉิง ข้าเชิญนางมาชิมดูสักหน่อย”

 

 

สาวใช้รับคำแล้วออกไป

 

 

ต่งซื่อที่ได้รับข่าวมากลับกระวนกระวาย

 

 

นางให้สาวใช้นั่งรอในห้องโถงรับแขก อ้างว่าขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วสั่งให้แม่นมของตัวเองส่งบ่าวชายให้นำข่าวไปส่งให้เฉิงลู่ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา “พวกเรากับจวนหลักไม่เคยไปมาหาสู่กัน ข้ากับหยวนซื่อยิ่งแล้วใหญ่ ปีหนึ่งคุยกันไม่เกินสองประโยค อยู่ ๆ นางก็เชิญข้าไปดื่มชา เป็นเพราะอะไรกันแน่ เจ้ารีบไปขอความเห็นของเซียงชิงสักหน่อย ว่าข้าควรไปหรือไม่ควรไป ถ้าไปควรจะนำของอะไรไปด้วยหรือไม่”

 

 

แม่นมออกจากเรือนหลักไปเงียบ ๆ และพบกับซงชิงบ่าวข้างกายของเฉิงลู่

 

 

ซงชิงฟังแล้ว ก็รีบวิ่งไปยังสำนักศึกษาของตระกูลเฉิง

 

 

ทว่าจวนตระกูลเฉิงของเขาอยู่ห่างตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูค่อนข้างไกล ไม่ทันได้รอจนได้คำตอบจากซงชิง ต่งซื่อก็ตามสาวใช้ไปที่เรือนอวิ้นเจินของจวนหลักอย่างไม่ยินดีนักเสียแล้ว

 

 

หยวนซื่อต้อนรับให้ต่งซื่อนั่งลงอย่างกระตือรือร้น ยิ้มพลางกล่าวทักทายนางอยู่หลายประโยค จากนั้นก็เข้าประเด็นพูดถึงเรื่องของเฉิงลู่ขึ้นมา “…ข้าได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งกลัวว่าจะเป็นการพูดแบบเข้าใจผิด ๆ ของเด็ก ๆ และกลัวว่าจะมีคนที่มีเจตนาลับ ๆ ถือโอกาสแพร่ข่าวลือเสียหายออกไป เห็นว่าพวกเราต่างก็เป็นแม่เหมือนกัน ความหวังที่มีต่อลูกก็เหมือนกัน หากว่าเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของท่านอาจารย์ของเซียงชิงเข้า จะมองหน้าเขาอย่างไร”

 

 

ต่งซื่อประหลาดใจยิ่งกว่าหยวนซื่อเสียอีก

 

 

นางตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออก กว่าครู่ใหญ่ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบรับกลับมา ร้องไห้ขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเผือด “ฮูหยินหยวน ท่านต้องช่วยเป็นผู้ตัดสินใจแทนเซียงชิงของพวกข้าด้วยนะเจ้าคะ! เซียงชิงของพวกข้าเป็นคนซื่อมาตั้งแต่เด็ก นอกจากเรียนหนังสือแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องมีใครที่อยากทำลายเซียงชิงของพวกข้า เห็นเขาสอบได้เป็นซิ่วไฉ ยังได้รับอาหารจากหลวง ดังนั้นก็เลยเกิดความอิจฉาริษยา…”

 

 

เรื่องแค่นี้ก็เกิดความอิจฉาริษยาแล้วหรือ หากบุตรชายของเจ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ คงคิดว่าทุกคนจะมองว่าเจ้าเป็นก้อนทองคำไปเลยหรือ!

 

 

หยวนซื่อฝืนตัวเองเอาไว้อย่างมากถึงไม่ได้เผยสายตาดูถูกออกมา

 

 

นางส่งสัญญาณให้สาวใช้ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ต่งซื่อ จากนั้นไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป แล้วกระซิบกล่าวกับต่งซื่ออย่างใกล้ชิดว่า “ข้ายังได้ยินคนพูดกันว่า เซียงชิงของพวกเจ้าถูกใจคุณหนูรองตระกูลโจวจวนสี่ มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”

 

 

“ไม่..ไม่มี!” ต่งซื่อตอบไปโดยสัญชาตญาณ พอคิดถึงข่าวคราวที่แพร่ออกมาจากซอยจิ่วหรูเมื่อหลายวันมานี้ ที่ว่าโจวเจิ้นได้เลื่อนไปดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองที่เป้าติ้ง อีกไม่นานก็จะได้เข้าไปรับราชการที่เมืองหลวง เข้าไปเป็นซื่อหลางทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเจ้ากรมทั้งหก นางจึงรู้สึกว่าตนตอบคำถามนี้เร็วไปสักหน่อย แววตาจึงวาววับอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าดูมีความลังเลอยู่หลายส่วน

 

 

จากที่นางเห็นแล้ว ที่ผ่านมาบุตรชายให้ความสำคัญกับโจวเสาจิ่น นางเองก็ยินดีที่จะมีหญิงสาวที่เกิดมาจากตระกูลที่ดี นิสัยใจคอก็อ่อนโยนและเชื่อฟังอย่างเช่นโจวเสาจิ่นมาเป็นบุตรสะใภ้ ส่วนโจวเจิ้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ถ้าหากได้หมั้นหมายกับโจวเสาจิ่น เช่นนั้นก็ยิ่งเรื่องที่ดี ทว่าตอนนี้ผู้อื่นด้านนอกต่างลือกันว่าบุตรชายกับเฉิงเจียซ่านนั้นอิจฉาริษยากันด้วยเรื่องของโจวเสาจิ่น หากพูดเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลโจวในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าจะยิ่งเป็นการยืนยันข่าวลือที่เกิดขึ้นหรือ แต่ถ้าตนเองปฏิเสธ ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสที่ดีขนาดนี้อีกแล้ว…

 

 

หยวนซื่อเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

นางแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ

 

 

ดูแล้วคำพูดของบุตรชายก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางโจวเสาจิ่นทั้งหมด

 

 

หากโจวเสาจิ่นแต่งเข้าจวนตระกูลเฉิงของเฉิงลู่ไป เกรงว่าจะเป็นดังลูกเจี๊ยบที่หลงเข้าในร่างแหของพังพอน ที่เข้าไปแล้วไม่มีทางได้กลับออกมาอีก

 

 

นางแสร้งทำเป็นไม่รู้ กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าก็วางใจ ประเดี๋ยวข้าไปคารวะท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ขอให้เขาช่วยออกหน้าให้ อบรมเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เสียหน่อย คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจกันไปว่าจวนหลักของพวกข้านี้สามารถรังแกได้โดยง่าย”

 

 

เมื่อสนทนามาถึงตรงนี้กันแล้ว ต่งซื่อก็ไม่สามารถกล่าวถึงเรื่องของโจวเสาจิ่นขึ้นมาได้อีก

 

 

นางยิ้มแหยพลางกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็รบกวนฮูหยินแล้ว!”

 

 

“จะกล่าวเรื่องรบกวนหรือไม่รบกวนอะไรกัน” หยวนซื่อกล่าวยิ้ม ๆ “เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคุณชายใหญ่ของพวกเราด้วย” อีกทั้งยังชวนนางด้วยว่า “หรือว่าพวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่ อย่างไรเสียเรื่องนี้ เซียงชิงของพวกเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน!”

 

 

ต่งซื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่เล็กน้อย อะไรกันที่เรียกว่า เซียงชิงของพวกเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อลองคิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว คำกล่าวนี้ก็ไม่ผิดนัก

 

 

นางตัดสินใจไม่ได้ คิดเพียงว่าอยากจะกลับบ้านไปพบบุตรชายให้เร็วที่สุด ฟังว่าบุตรชายจะกล่าวว่าอย่างไรแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

 

 

“ข้าเจอท่านผู้นำตระกูลทีไรขาก็สั่นไปหมดทั้งสองข้าง” ต่งซื่อปฏิเสธไปอย่างสุภาพ “ท่านไปเองเถิด! เรื่องนี้คุณชายใหญ่สวี่เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่ใช่หรือ ข้ากลับไปรอข่าวจากท่านที่บ้านจะดีกว่า”

 

 

ได้ยินต่งซื่อนำเอาคำพูดของตนมาย้อนตนแล้ว ในใจของหยวนซื่อก็ลุกเป็นไฟ กล่าวขึ้นอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ในเมื่อน้องสาววางใจในตัวข้า เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าก็จัดการเองทั้งหมดเลยก็แล้วกัน”

 

 

ต่งซื่อเห็นนางไม่ได้ขืนบังคับตนให้ไปที่จวนรองด้วย ก็ผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง รีบกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

 

 

หยวนซื่อพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี แล้วเชิญนางดื่มชา จากนั้นก็ไปที่จวนรอง

 

 

ส่วนต่งซื่อเร่งกลับบ้านอย่างร้อนรน

 

 

เฉิงลู่รอต่งซื่ออยู่ที่บ้านแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขาก็พลันออกมาต้อนรับ

 

 

“ท่านแม่” เขาไม่รอให้ต่งซื่อได้เอ่ยปาก ก็กล่าวขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรพวกเราไปคุยกันข้างในเถิด”

 

 

ต่งซื่อพยักหน้า เดินไปที่ห้องหนังสือพร้อมกับเฉิงลู่

 

 

ซงชิงเฝ้าอยู่ด้านนอกของห้องหนังสือ ต่งซื่อเล่าเรื่องที่ไปจวนหลักทั้งหมดอย่างละเอียดให้เฉิงลู่ฟัง สุดท้ายเอ่ยอย่างเสียดายว่า “หากว่าไม่ได้กล่าวเช่นนั้นออกไปก็ดี ข้ายังคิดว่าจะพูดเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลโจวให้เจ้า!”

 

 

เฉิงลู่กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านแม่ เรื่องบางอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับวาสนา เกรงว่าข้ากับคุณหนูรองตระกูลโจวคงจะไม่มีวาสนาต่อกัน”

 

 

ในน้ำเสียงมีความสิ้นหวังอย่างไม่มีทางเลือกอยู่เล็กน้อย

 

 

ต่งซื่ออยู่เป็นหม้ายเพื่อดูแลบุตรชายคนนี้ บุตรชายเป็นทุกอย่างของนาง นอกจากนี้บุตรชายยังมีดูมีอนาคตที่ดี ตั้งแต่ยังเป็นเด็กก็สามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวได้แล้ว ยังมีอะไรให้นางต้องพูดอีก ดังนั้นเมื่อได้ยินเฉิงลู่กล่าวเช่นนี้ นางคิด ๆ ดูแล้ว ก็เปลี่ยนความคิดตามไปด้วย “ข้าคิดว่าเจ้ากับโจวเสาจิ่นไม่มีวาสนาต่อกันจริง ๆ เจ้าลองคิดดู เมื่อก่อนอะไรก็ดีไปหมด แต่หลังจากที่นางป่วยในช่วงเดือนสามเป็นต้นมา ก็ค่อย ๆ ถอยห่างกับพวกเรา กับข้าเองก็ไม่ได้เคารพอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กสาวโตขึ้นแล้ว ความคิดก็มีมาก ก็เลยไม่ชอบที่พวกเราไม่ร่ำรวย ตอนนี้โจวเจิ้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ยังจะมีข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกมาอีก” นางกล่าวอย่างยินดีขึ้นมาว่า “โชคดีที่บุตรชายของข้าสอบได้ปิ่งเซิงแล้ว หากอยากจะพูดเรื่องแต่งงานก็ไม่ยากแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงจะไม่สบายใจเป็นอย่างมากจริง ๆ!”

 

 

“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ต่อไปข้าจะขยันขันแข็งให้มากยิ่งขึ้น จะสอบจวี่เหริน และสอบจิ้นซื่อ” เฉิงลู่กล่าวปลอบมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านก็อย่าเป็นกังวลแทนข้าอีกเลย รอมีความสุขก็พอแล้ว”

 

 

“ตอนนี้ข้าก็กำลังมีความสุขอยู่” ต่งซื่อพึงพอใจยิ่งนัก ดึงมือของบุตรชายเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้านำเอาทรัพย์สินของพวกเราที่ฝากเอาไว้กับจวนสี่กลับมาได้ อีกทั้งยังมียศตำแหน่งแล้ว ต่อไปแม่ก็ไม่ต้องไปเห็นสีหน้าของคนตระกูลเฉิงบ่อย ๆ อีก พวกเราก็จะสามารถเป็นอย่างเช่นตอนที่ท่านพ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ปิดประตูเอาไว้แล้วใช้ชีวิตของพวกเราเอง รอให้ผ่านไปอีกสักหน่อย แม่ค่อยมอบหมายให้คนไปคุยเรื่องแต่งงานให้เจ้า เจ้าค่อยมีหลานให้แม่สักสองสามคน เท่านี้แม่ก็สามารถนอนตาหลับได้แล้ว”

 

 

สีหน้าของเฉิงลู่เคร่งขึ้น แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของข้าท่านอย่างเพิ่งรีบร้อนไปเลย ยิ่งข้าเตรียมตัวสำหรับสอบขุนนางได้ดี ก็จะสามารถหาพ่อภรรยาที่สามารถช่วยเหลือเกื้อหนุนข้าบนเส้นทางราชสำนักได้ง่ายยิ่งขึ้น ยังไงก็รออีกสักสองสามปีน่าจะดีกว่า”

 

 

“แม่แล้วแต่เจ้า ไม่ว่าอะไรแม่ก็แล้วแต่เจ้า” เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ได้ต่อว่าอะไรนางมากเกี่ยวกับเรื่องที่ไปจวนหลักมา ต่งซื่อก็เลยคิดว่าตนไม่น่าจะทำอะไรที่ผิดพลาดออกมา จิตใจก็เลยผ่อนคลายลงมา กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หิวหรือไม่ ข้าให้ในครัวยกต้มเม็ดบัวเข้ามาให้สักถ้วยดีหรือไม่ อากาศค่อย ๆ เย็นลงแล้ว จึงไม่ควรดื่มน้ำซวนเหมยทังนี้อีกแล้ว…”

 

 

…………………………………………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset