ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 102 บิดา

เฉิงสวี่เดินทางไปเมืองหังโจว เฉิงลู่ก็เดินทางไปสำนักศึกษาเย่ว์ลู่แล้วเช่นกัน โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสขึ้นอยู่หลายส่วน

 

 

นางฮัมเพลงที่ไม่รู้จักชื่อเป็นพักๆ พลางเร่งทำชุดให้กับบิดาและหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงไปด้วย

 

 

ชุนหว่านวิ่งพรวดเข้ามา “คุณหนูรองเจ้าคะคุณหนูรอง มีคนจากนายท่านมาแจ้งว่านายท่านกับฮูหยินจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้านี้เจ้าค่ะ”

 

 

“จริงหรือ!” โจวเสาจิ่นปีติยินดียิ่ง วางเข็มและด้ายในมือลง เอ่ยถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วท่านพี่ทราบเรื่องหรือยัง”

 

 

“ผู้ที่มาเป็นบริวารข้างกายผู้หนึ่งของนายท่าน ชื่อหลี่ฉางกุ้ยอะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ นายท่านใหญ่กำลังซักถามเขาอยู่ในห้องหนังสือ! นายท่านใหญ่ให้คนไปแจ้งนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว กล่าวว่าประเดี๋ยวจะไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่า ส่วนทางด้านฮูหยินใหญ่ก็ส่งคนไปรายงานแล้ว เช่นนั้นคุณหนูใหญ่ก็น่าจะทราบเรื่องแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

“ไปกันเถอะ” โจวเสาจิ่นรีบจัดปกเสื้อให้เรียบร้อย พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราก็ไปดูด้วยสักหน่อย”

 

 

ชุนหว่านขานรับ “อ่า” เสียงหนึ่ง แล้วติดสอยห้อยตามโจวเสาจิ่นไปที่เรือนเจียซู่

 

 

โจวชูจิ่นกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยังมาไม่ถึง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ พอเห็นโจวเสาจิ่นก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาพอดีเลย ข้ากำลังคิดจะส่งคนไปตามเจ้าอยู่พอดี บิดาของเจ้าจะมาถึงเมืองจินหลิงในอีกสองวัน ส่วนรายละเอียดเรื่องกำหนดการจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น รอท่านลุงใหญ่ของเจ้ามาถึงก็คงจะได้ทราบกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบรับ แล้วก้าวออกไปช่วยสาวใช้เปลี่ยนชุดให้ท่านยาย

 

 

ไม่นาน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวชูจิ่นก็มาถึง

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้เอ่ยปากกล่าว ก็กล่าวขึ้นด้วยความปลาบปลื้มอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ได้ยินว่าอีกสองวันท่านบุตรเขยก็จะกลับมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ ยิ้มพลางกล่าวว่า “รอให้นายท่านใหญ่มาถึงก็จะได้ทราบกัน”

 

 

ระหว่างที่กล่าวอยู่นั้นก็มีเด็กรับใช้เข้ามาแจ้งว่า “นายท่านใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ทุกคนรีบไปที่ห้องรับแขก

 

 

หลี่ฉางกุ้ยคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ที่หน้าประตูลานสามครั้ง ถือเป็นการมาคารวะทำความเคารพ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้คนนำเงินรางวัลจำนวนห้าเหลี่ยงเงินมอบให้หลี่ฉางกุ้ย จากนั้นพ่อบ้านใหญ่ของจวนสี่ส่งหลี่ฉางกุ้ยออกไป

 

 

คนในห้องรับแขกถึงได้นั่งลง

 

 

เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “น้องเขยกล่าวว่า พวกเขาจะเข้ามาถึงเมืองในช่วงเช้าของวันที่สอง หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจะมาคารวะท่าน คาดว่าจะอยู่ทานมื้อเที่ยงกับพวกเราที่นี่ จากนั้นตอนบ่ายเขาจะรับชูจิ่นสองพี่น้องกลับไปด้วย เช้าวันถัดไปจะไปกราบไหว้บรรพชน วันที่เจ็ดก็จะออกเดินทางไปยังเป่าติ้งเลยขอรับ”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถามขึ้นว่า “ไม่อยู่ฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ที่บ้านก่อนหรอกหรือ ไม่ใช่กล่าวว่าไปเข้ารับตำแหน่งช่วงปลายเดือนแปดก็ได้หรอกหรือ”

 

 

“ดูเหมือนว่าที่เป่าติ้งจะเกิดเรื่องขึ้นขอรับ” เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ส่วนรายละเอียดนั้น หลี่ฉางกุ้ยเองก็ไม่ได้บอกกล่าวแน่ชัดนัก ข้าคิดว่าอีกสองวันน้องเขยก็จะกลับมาแล้ว จึงไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรมากขอรับ”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงกล่าวว่า “จะดีจะร้ายอย่างไรก็ได้กลับมาพบหน้ากันครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้ายังเป็นกังวลว่าจะไม่ได้กลับมาเลย ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ร่วมฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็ไม่เป็นไร คราวหน้าก็ยังมีโอกาสอีก” ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งเฉิงเหมี่ยนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “มื้อเที่ยงในวันที่สองนี้ พวกเจ้าจงจัดเตรียมเอาไว้ให้ดี” แล้วกล่าวอีกว่า “ได้สอบถามหลี่ฉางกุ้ยหรือไม่ว่า บุตรเขยต้องการมาทานข้าวด้วยกันอย่างเรียบง่ายเพียงสักมื้อหนึ่ง หรือว่าต้องการมาเยี่ยมตระกูลเฉิงด้วย หากว่าเพียงแค่มาทานข้าวด้วยกันอย่างเรียบง่ายมื้อหนึ่งเท่านั้น เช่นนั้นทางด้านของจวนหลัก จวนรอง จวนสามและจวนห้า คาดว่าบุตรเขยคงจะตระเตรียมของฝากเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พวกเราเพียงล่วงหน้าไปแจ้งให้ทราบเอาไว้ก่อนก็พอ แต่ถ้าหากต้องการมาเยี่ยมตระกูลเฉิงด้วย เกรงว่าจะต้องเชิญนายท่านทั้งหลายของจวนต่างๆ มาร่วมต้อนรับด้วย”

 

 

เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “สอบถามแล้วขอรับ หลี่ฉางกุ้ยกล่าวว่า ความตั้งใจของน้องเขยคือ เนื่องจากไม่ได้เจอชูจิ่นสองพี่น้องมานานแล้ว ท่านช่วยเลี้ยงดูฟูมฟักพวกนางสองพี่น้องแทนเขามาหลายปี มีพระคุณใหญ่หลวงดั่งภูผา ดังนั้นเหตุผลที่เขามาก็เพื่อมาโขกศีรษะให้ท่านเป็นหลัก รอให้ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เขาค่อยไปเยี่ยมเยียนท่านผู้นำตระกูลและบรรดานายท่านทั้งหลายก็ยังไม่สาย”

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จัดเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ด้วยเถอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึมพำกล่าว “ให้พวกเขาทานมื้อเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับไป”

 

 

เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางรับคำ

 

 

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวจับมือกันไว้และยิ้มออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าเด็กโง่สองคนนี้ ยังไม่รีบไปเก็บข้าวเก็บของอีก จะรอให้บิดาของเจ้ามาถึงแล้วค่อยจัดเก็บ**บสัมภาระหรืออย่างไร” ขณะที่กล่าว ขอบตาก็รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาระยิบระยับ

 

 

ยามความสุขมาเยือนหัวสมองก็ทำงานได้อย่างปราดเปรื่อง อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็ฉลาดเฉลียวขึ้นมาในทันใด กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ที่บ้านเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว จึงไม่ต้องจัดเก็บข้าวของมากมายขนาดนั้น อีกสองวันค่อยมาจัดเก็บก็ได้ มีอะไรให้ต้องรีบร้อนกันเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชอบฟังถ้อยคำนี้ยิ่งนัก โอบกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมอกแล้วเอ่ยคำว่า “ทูนหัว” ออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ไม่แปลกใจที่ผู้คนจะกล่าวกันว่าบุตรสาวคือความอบอุ่นใจประดุจเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่าของมารดา ข้านี้แม้จะแก่ชราแล้ว ก็ยังมีเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่าอยู่อีกตั้งสองตัว”

 

 

ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา

 

 

แต่เมื่อกลับมาถึงเรือนหว่านเซียงแล้ว โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็เริ่มจัดเก็บกระเป๋าเดินทางกันอย่างทนรอไม่ไหว

 

 

สบู่หอมสกัดที่ตนทำขึ้นเอง ชาดจากร้านอวี๋จี้กับแป้งทาหน้าของร้านเซี่ยฟู่เซียง…ไม่ว่าอะไรก็อยากจะขนเอาไปด้วยทุกอย่าง แล้วก็คิดได้ว่าไม่จำเป็นต้องขนเอาทุกอย่างกลับไปด้วยก็ได้ ถึงตอนนี้โจวเสาจิ่นถึงได้สังเกตพบว่าตนได้ทิ้งร่องรอยต่างๆ มากมายไว้ภายในห้องเล็กๆ นี้จนนับไม่ถ้วน

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่ในชาติก่อนหลินซื่อเซิ่งจะว่านางว่า ทุกๆ ครั้งที่นางหวนรำลึกถึงอดีต ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงทั้งสิ้น วันเวลาที่อาศัยอยู่ในตระกูลเฉิงเหล่านั้น เป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขมากที่สุด

 

 

โจวเสาจิ่นลูบไล้ตลับแป้งหอมเคลือบเงาของร้านเซี่ยฟู่เซียง สักพักใหญ่ถึงได้ให้บ่าวรับใช้นำ**บที่นางเก็บงานเย็บปักเอาไว้ออกมาเปิด

 

 

นางหยิบเสื้อผ้าสำหรับเด็กออกมาจากข้างในนั้นสองสามชุด ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อผ้า ถุงเท้ารองเท้า ผ้าอ้อมเด็กทารก และผ้าคลุมที่ทำจากผ้าแพรและผ้าไหมชั้นดี…แต่ละชิ้นล้วนปักเอาไว้ด้วยลายเมฆ หรือไม่ก็ลายดอกเซวียนเฉ่า หรือไม่ก็ลายเด็กน้อยวิ่งเล่น ล้วนวิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ในความทรงจำของนาง โจวโย่วจิ่นผู้เป็นน้องสาวจะเกิดในช่วงสิ้นปีนี้

 

 

ในเวลานี้ หลี่ซื่อน่าจะตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว

 

 

บิดาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งถึงเดือนสามถึงได้เขียนจดหมายกลับมาแจ้งให้ทราบอย่างเฉยชาเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

 

 

นางกับพี่สาวต่างไม่มีวาสนาได้เจอกับน้องสาวผู้นี้

 

 

ครั้งนี้ นางหวังว่าจะสามารถรักษาชีวิตของน้องสาวผู้นี้เอาไว้ได้

 

 

บางทีบิดาอาจจะไม่ได้ยอมรับหลานทิงง่ายดายขนาดนั้น หลี่ซื่อเองก็อาจจะไม่ต้องใช้วิธีการที่โกรธเกรี้ยวมากขนาดนั้น จนไปกระตุ้นให้บิดาบังเกิดความรังเกียจ สุดท้ายก็ทะเลาะกับหลี่ซื่อจนกลายเป็นความบาดหมางไปในที่สุด

 

 

ซือเซียงเห็นนางหยิบเสื้อผ้าสำหรับเด็กมายืนดูอยู่ข้างๆ **บก็เอ่ยถามด้วยความฉงนว่า “เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเย็บให้กูไหน่ไนคนรองของจวนหลักหรือเจ้าคะ อยากจะส่งไปให้ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มกล่าวว่า “นางขอให้ปักผ้าคลุมสำหรับทารกให้พี่สาวเซียวเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ส่วนพวกนี้ข้าจะใช้เพื่อการอื่น”

 

 

นางวางเสื้อผ้าลงไปใน**บใหม่อีกครั้ง

 

 

เฉิงเจียวิ่งเข้ามา “เสาจิ่นๆ ข้าได้ยินว่า ท่านพ่อของเจ้าจะกลับมาแล้ว และยังจะพาพวกเจ้าพี่น้องกลับไปอยู่ด้วยสักสองสามวัน เจ้าคงดีใจมากใช่หรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าไปเที่ยวหาเจ้าได้หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

 

 

เฉิงเจียผู้นี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็นึกแต่จะเล่นสนุกอย่างเดียว

 

 

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่กังวลใจเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกงแล้วหรือ”

 

 

สองวันก่อน จวนเหลียงกั๋วกงส่งของขวัญมาให้พวกนางอีกแล้ว

 

 

ของขวัญที่เฉิงเจียได้รับเป็นโคมไฟเครื่องเคลือบลายม้าวิ่งห้อคู่หนึ่ง ของขวัญที่โจวเสาจิ่นได้รับเป็นโคมไฟรูปกระต่ายที่สามารถลากจูงได้คู่หนึ่ง ส่วนของขวัญที่โจวชูจิ่นได้รับเป็นโคมไฟผ้าไหมโปร่งแสงที่ปักเอาไว้ด้วยลูกปัดห้าเม็ด บอกว่าให้เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสเทศกาลวันไหว้พระจันทร์

 

 

โจวเสาจิ่นรับเอาไว้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ

 

 

เฉิงเจียกระซิบกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้าฟังเรื่องที่เจ้าเล่ามาและกลับไปขบคิดอยู่หลายวัน จากนั้นหาข้ออ้างไปที่ศาลาหลิวทิง เล่าเรื่องนี้ให้ท่านพี่สะใภ้สือฟัง” นางขยิบตาด้วยความภาคภูมิใจ “ด้วยเหตุนี้ พี่ชายสือจึงวิ่งมาพูดคุยกับท่านพ่อของข้านานกว่าครึ่งค่อนวัน จากนั้นท่านพ่อของข้าได้ออกปากว่า ไม่ว่าจะให้ข้าแต่งกับผู้ใดก็ตาม แต่จะไม่ให้แต่งเข้าจวนเหลียงกั๋วกงไปเป็นภรรยารองของผู้อื่นเป็นอันขาด เจ้าก็รู้ดีว่า ที่ผ่านมาคำพูดของท่านพ่อของข้าผู้นี้เชื่อถือไม่ได้มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ท่านพ่อของข้ากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งนัก กล่าวว่าหากใครกล้าขัดขืนคำสั่งของเขา เขาจะเชิญท่านผู้นำตระกูลช่วยออกหน้า แล้วขับไล่ออกจากบ้านไปเสีย”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

ในใจของนางมองว่า เฉิงหลูผู้เป็นบิดาของเฉิงเจียนั้นขี้ขลาดตาขาว มีนิสัยอ่อนแอ เป็นผู้ที่ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใดผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพอเป็นเรื่องของเฉิงเจียแล้วเขาจะเด็ดขาดได้ขนาดนี้

 

 

หรือว่า สาเหตุที่เฉิงเจียได้แต่งงานกับหลี่จิ้งในชาติก่อน ก็เป็นเพราะเฉิงหลูที่เป็นคนผู้ตัดสินใจให้?

 

 

อย่างไรก็ตามภายใต้คำกล่าวเตือนของนาง เฉิงเจียสามารถคิดหาช่องทางให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ โจวเสาจิ่นรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก

 

 

เฉิงเจียบอกนางว่า “ไม่ว่าท่านแม่ของข้าจะคิดเห็นอย่างไร ตอนนี้ข้าก็ไม่สามารถแต่งเข้าจวนเหลียงกั๋วกงได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าพวกเราควรจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร และส่งของขวัญตอบกลับไปให้อาจูถึงจะถูก” นางกล่าวเจี๊ยวจ๊าวต่อไปว่า “ส่งโคมไฟไปให้ดีหรือไม่ แต่นางส่งโคมไฟมาให้พวกเราแล้ว หากพวกเราใช้โคมไฟเป็นของขวัญส่งกลับไปให้อีกก็จะดูไม่ค่อยใส่ใจนัก หรือถ้าส่งเครื่องประดับเงินทองพวกนั้นไปให้ ก็ดูธรรมดาเกินไป…แต่ถ้าส่งของขวัญอย่างเช่นพัดหรือชุดพู่กันกับหมึกไปให้ ก็ดูไม่เข้ากับเทศกาลอีก…”

 

 

“ข้ากะเอาไว้ว่าจะส่งผ้าเช็ดหน้าที่เย็บปักด้วยตนเองคู่หนึ่งไปให้อาจู” โจวเสาจิ่นตอบ

 

 

เฉิงเจียบุ้ยปากอย่างไม่พอใจ ตัดพ้อว่า “เจ้าช่างไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องเลย ทำไมถึงได้นึกถึงแต่ตัวเอง เช่นนั้นข้าควรจะส่งอะไรไปให้ดีล่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นแนะนำนางไปว่า “ข้าให้ผ้าเช็ดหน้า ส่วนเจ้าก็ให้ถุงหอมได้นี่นา ทั้งยังสามารถบรรจุแผ่นหยกต่างๆ เอาไว้ในถุงหอมได้อีกด้วย ทั้งดูล้ำค่าและไม่สะดุดตาจนเกินไปด้วย…”

 

 

เฉิงเจียเดินไปตีโจวเสาจิ่น “เจ้าก็รู้ดีว่าข้าไม่สามารถเย็บปักอะไรได้เลย ยังจะให้ข้าส่งถุงหอมไปให้อาจูอีก…”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกคักพลางเอียงกายหลบเลี่ยง

 

 

ทั้งสองคนหัวเราะร่าอยู่ในห้อง

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเฝ้ารอคอยให้ถึงวันที่สองเดือนแปดท่ามกลางความอบอุ่นและเงียบสงบเหล่านี้

 

 

แม้นจะรู้ว่ากว่าบิดาจะมาถึงก็เป็นตอนเที่ยงของวัน ถึงกระนั้นพี่น้องตระกูลโจวก็ยังคงลุกขึ้นจากเตียงมาตั้งแต่เช้าตรู่ ล้างหน้าหวีผมและเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกนางใช้เวลานานกว่าในยามปกติเป็นสองเท่า เมื่อสองพี่น้องพบหน้ากัน โจวชูจิ่นประเดี๋ยวก็ถามโจวเสาจิ่นว่าเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวก็ถามตงหว่านว่าได้เก็บถาดน้ำชาลายดอกไห่ถังใบนั้นที่สั่งเอาไว้เมื่อวานแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวก็ถามฉือเซียงว่าจัดเตรียมเงินสำหรับเป็นเงินรางวัลเอาไว้แล้วหรือยัง…ท่าทางตื่นเต้นยิ่งนัก

 

 

สิ่งที่โจวเสาจิ่นมีมากกว่ากลับเป็นการตั้งตารอคอยด้วยความคาดหวัง

 

 

ชาติก่อนนางไม่รู้ความสักเท่าไหร่ ไม่ได้แสดงความกตัญญูต่อบิดาดีๆ ตอนนี้นางหวังว่าจะสามารถชดใช้ทุกอย่างคืนให้บิดาได้

 

 

นางจับมือของพี่สาวเอาไว้แน่น

 

 

ในอุ้งมือของพี่สาวชื้นไปด้วยเหงื่อ

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกใจสงบ

 

 

เมื่อรับมื้อเช้าเสร็จแล้ว พวกนางก็ไปที่เรือนเจียซู่ด้วยกัน

 

 

ทุกซอกทุกมุมของเรือนเจียซู่ล้วนสะอาดหมดจดปราศจากไรฝุ่น แม้แต่ใบไม้บนต้นไม้ดอกไม้ก็เขียวชอุ่มกว่าวันก่อน ครั้นเห็นแล้วก็รับรู้ว่าได้ผ่านทำความสะอาดทั้งข้างในและข้างนอกเรือนด้วยความใส่ใจยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นตามไปจุดธูปกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

มีป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้มารายงานอย่างไม่ขาดสาย

 

 

“นายท่านใหญ่ไปรับท่านบุตรเขยแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

“นายท่านใหญ่ตามท่านบุตรเขยไปที่ถนนผิงเฉียวแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

“นายท่านใหญ่กับท่านบุตรเขยกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง ความยินดีที่อยู่ในใจล้นทะลักออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

ผู้ที่มารายงานเป็นคนสุดท้ายคือซื่อเอ๋อร์ นางกล่าวอย่างกระหืดกระหอบว่า “นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ และคุณหนูรองเจ้าคะ นายท่านใหญ่กับคุณชายทั้งสองท่านมาพร้อมกับท่านบุตรเขยแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้หูฉวงก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา นั่งไม่ติดที่อีก นางลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปข้างนอก เดินไปด้วยและกล่าวไปด้วยว่า “ชูจิ่น เสาจิ่น พวกเจ้าออกไปต้อนรับพร้อมกับข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นช่วยกันประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนข้างซ้ายคนหนึ่งข้างขวาคนหนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป

 

 

เฉิงเหมี่ยนมุ่งหน้ามาทางด้านนี้พร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำผู้หนึ่ง

 

 

ท่าทางของเขาดูเหมือนคนอายุเพียงยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปดปี สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินตัวหนึ่ง ที่เอวคาดเอาไว้ด้วยที่สายคาดเอวผ้าไหม ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด หน้าตาหล่อเหลา สีหน้าอบอุ่น และแววตาอ่อนโยน

 

 

เฉิงเก้ากับเฉิงอี้สองพี่น้องเดินตามมาอยู่ข้างหลังของพวกเขาทั้งสองคนอย่างนอบน้อม

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

นี่คือท่านพ่อของนางหรือ

 

 

แล้วหนวดเคราที่อยู่ในความทรงจำของนางนั้นเล่า?

 

 

………………………………………………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset