“เป็นเช่นนี้เอง!” หลี่ซื่อยิ้มพลางกล่าว “มีคำพูดนี้ของคุณหนูรองก็พอแล้ว!”
ตนได้กล่าวอะไรออกไปหรือ
ดูเหมือนว่าตนไม่ได้กล่าวอะไรสักคำเลยนะ!
ในใจของโจวเสาจิ่นราวกับระฆังที่ดังกึกก้อง หลังจากส่งหลี่ซื่อออกไปแล้วก็รีบวิ่งไปยังเรือนเพาะชำ
พี่สาวกำลังเรียนรู้วิธีการดูแลดอกหลานจากอวี๋มามาอยู่ที่นั่น
นางต้องการนำดอกหลานที่จวงซื่อทิ้งเอาไว้กลับจวนตระกูลเฉิงด้วยสักสองสามกระถาง
โจวเสาจิ่นอาสาจะช่วยพี่สาวดูแลดอกหลานเหล่านี้
ทว่าโจวชูจิ่นกลับไม่เชื่อใจนาง กล่าวขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรเจ้าเพาะปลูกดอกฉาเหมยได้มากที่สุดก็เพียงสองกระถางเท่านั้น หากว่าดอกหลานสองสามกระถางนี้เฉาตายขึ้นมาล่ะก็ ข้าอยากร้องไห้ก็คงร้องไม่ออกเสียแล้ว นี่เป็นดอกไม้ที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้นะ”
โจวเสาจิ่นจำต้องยอมแพ้
โจวชูจิ่นฟังเรื่องราวที่น้องสาวเล่าแล้วก็ยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางรู้สึกไม่สบายใจ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก รอท่านพ่อกลับมาแล้ว ข้าจะไปบอกท่านพ่อเอง”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวล “จะไม่สายเกินไปหรือเจ้าคะ หากเป็นข้า เพียงแค่เปลี่ยนน้ำเสียงคำพูดสักหน่อย โดยที่คำพูดไม่มีตกหล่นเลยสักคำเดียว ก็สามารถโยนเรื่องทั้งหมดมาเป็นความผิดของข้า กล่าวหาว่าข้าบอกให้นางมาปรึกษาหารือกับท่าน…”
“เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่ากล่าวพลาดไปแล้ว!” โจวชูจิ่นเห็นท่าทางที่น่าสงสารของนาง ทั้งน่าโมโหและน่าขบขัน จึงกล่าวอย่างเคืองๆ ไปว่า “ดูสิว่าวันหลังเจ้ายังจะกล่าวส่งเดชไปอีกหรือไม่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
โจวชูจิ่นส่ายศีรษะ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างอดไม่ได้ว่า “พอแล้วๆ ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้มอบให้พี่สาวจัดการเอง”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ท่านพี่จะจัดการอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เดิมทีโจวชูจิ่นไม่คิดจะบอกนางมากนัก แต่เมื่อหวนนึกถึงลักษณะนิสัยไร้เดียงสาของน้องสาวผู้นี้ ก็คิดว่าบอกนางเอาไว้ก็ดีเหมือนกัน แม้นไม่อาจจะเปลี่ยนนิสัยของนางได้ แต่อย่างน้อยก็อาจทำให้นางรู้จักระวังตัวขึ้นมาได้บ้าง จึงกระซิบกล่าวว่า “ฟังจากน้ำเสียงของหลี่ซื่อแล้ว หลานทิงมักจะอาศัยความที่ตนเป็นสาวใช้อุ่นเตียงที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ท่านพ่อ ต่อให้ไม่ได้สร้างปัญหาเดือดร้อนให้แก่หลี่ซื่อ เกรงว่าก็คงทำให้หลี่ซื่อลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไร หลี่ซื่อก็เป็นภรรยาที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมของท่านพ่อ ในภายภาคหน้าผู้ที่จะอาศัยอยู่ร่วมกับท่านพ่อไปตลอดชีวิตก็คือนาง หากสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวมานั้นเป็นเพียงอุบายที่นางใช้เพื่อจัดการหลานทิงก็ยังพูดง่าย เพราะถ้าหากหลานทิงแอบอ้างใช้นามของท่านแม่มาสร้างความลำบากใจให้แก่หลี่ซื่อเช่นนี้จริงๆ แล้วล่ะก็ ชื่อเสียงอันดีของท่านแม่จะหม่นหมองเอาได้ ไม่สู้พายเรือตามน้ำ ให้หลานทิงกลับมาสักครั้งหนึ่งเสียยังจะดีกว่า หากว่าสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวมาเป็นความจริง หลี่ซื่อก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี แต่เป็นเจ้าผู้เป็นบุตรสาวร่วมสายเลือดของท่านแม่ที่สามารถจัดการลงโทษนางได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากหลี่ซื่อกล่าวความเท็จ กลัวว่าหลานทิงคงจะใช้ชีวิตร่วมกับท่านพ่ออย่างไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่ ไม่สู้ถามความสมัครใจของหลานทิง หากนางปรารถนาจะรั้งอยู่ข้างกายท่านพ่อ หลังจากนี้พวกเราจะไม่ยุ่งเรื่องของนางอีก แต่ถ้าหากนางอยากจะจากท่านพ่อไป พวกเราจะขอให้ท่านป้าใหญ่ช่วยเป็นแม่สื่อหาคู่หมั้นที่ดีให้แก่นางสักคนหนึ่ง นางจะได้แต่งงานออกเรือนไปอย่างสง่างาม”
“แผนการนี้ดียิ่งเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าก้อนหินหนักอึ้งในใจได้ร่วงลงมาแล้ว ยิ้มตาหยีให้กับพี่สาว
“รู้จักแต่ยิ้มอย่างโง่งมเสียจริงๆ” โจวชูจิ่นไม่รู้จะจัดการกับน้องสาวคนนี้อย่างไรดี นางกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะบอกอะไรเจ้าอีกสักหน่อย เรื่องนี้ก็เอื้อประโยชน์ให้กับท่านพ่อ และยิ่งเอื้อประโยชน์ให้กับหลี่ซื่อ ในเมื่อหลี่ซื่อกล้าคิดท้าทายพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมถูกนางหลอกใช้เปล่าๆ เยี่ยงนี้เหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นางจ่ายค่าตอบแทนบ้าง ไม่เช่นนั้นนางจะคิดเอาได้ว่าพวกเราเป็นลูกพลับเนื้ออ่อนที่นางอยากจะบีบขยี้อย่างไรก็บีบขยี้อย่างนั้นได้อีก”
เรื่องนี้โจวเสาจิ่นไม่มีความเห็นใดๆ
นางจึงรอดูทิศทางลมตามพี่สาว
โจวชูจิ่นเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าโจวเสาจิ่นจะสามารถกระทำสิ่งใด สั่งภรรยาของหม่าฟู่ซานให้เฝ้ารออยู่ที่ประตูเรือน “ทันทีที่ท่านพ่อกลับมาให้เจ้ารีบส่งคนมาบอกข้า ถ้าหากฮูหยินรู้ว่าท่านพ่อกลับมาก่อนพวกข้า เหมือนครั้งก่อนที่อยู่ๆ ก็ยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดมาให้พวกเราเป็นของทานเล่นยามดึกล่ะก็ ไม่สู้เจ้าติดตามหม่าฟู่ซานไปรับใช้ท่านพ่อของข้าที่เป่าติ้งด้วยยังจะดีเสียกว่า”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานพรั่นกลัวจนคุกเข่าลงบนพื้นดัง ตุ้บ ครั้งหนึ่ง “คุณหนูใหญ่ เดิมทีข้าคิดจะ…”
“พอแล้ว!” โจวชูจิ่นไม่รอให้นางได้อธิบายก็กล่าวขัดนางขึ้นมาอย่างเย็นชา “เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ เจ้าจะเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์หรือทรยศ ข้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานไหนเลยจะกล้าเอ่ยปากอีก ได้แต่น้อมรับคำและถอยออกไปแต่โดยดี
โจวเสาจิ่นเลื่อมใสยิ่ง
ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ตนสามารถควบคุมจัดการผู้คนได้เหมือนกับพี่สาวหรือไม่
ขณะที่นางรู้สึกชื่นชมพี่สาวอยู่นั้น หลี่ซื่อที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือ กลับใจเต้นรัวราวกับมีกลองตีลั่นอยู่ในใจ
หลี่มามาจึงปลอบนางว่า “ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปแล้ว ก็เสมือนน้ำที่หกกระเซ็น จะมารู้สึกเสียใจภายหลังอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใจเย็นลงสักหน่อยแล้วค่อยขบคิดดูอีกที คุณหนูทั้งสองท่านล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี อีกทั้งฮูหยินก็ไม่ได้กล่าวหาหลานทิงผู้นั้นอย่างไม่เป็นธรรมแม้สักคำ แต่เพียงเพราะเคารพฮูหยินจวงคนก่อน ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะจัดการกับหลานทิงเท่านั้นเอง ท่านลองคุยกับคุณหนูใหญ่ดีๆ คุณหนูใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ฟังเหตุผลเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าเพียงแต่เกรงกลัวนางเล็กน้อย” ในนี้ไม่มีคนนอก หลี่ซื่อจึงกล่าวอย่างไม่ต้องพะวงมากนัก กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพิ่งจะยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดไปให้นาง นางก็ส่งห่อขนมมาตอบแทนข้าแล้ว ข้าหวังดีกล่าวว่าจะซื้อเครื่องลายครามสำหรับออกเรือนให้นางชุดหนึ่ง นางกลับมองค้อนอย่างดูแคลน…เจ้าดูบรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนเหล่านั้น มีใครบ้างที่ไม่ต้องคอยสังเกตสายตาและการกระทำของคุณหนูใหญ่” นางกล่าวพลางลูบหน้าผากประหนึ่งปวดศีรษะ “ข้าไม่เหลือวิธีอื่นแล้ว หากว่าวิธีนี้ยังไม่สามารถจัดการหลานทิงผู้นั้นได้ ครั้นไปอยู่ที่จวนเป่าติ้ง เกรงว่าจะยิ่งไม่มีโอกาสอีกแล้ว ตอนนี้นางอายุยี่สิบแปด ยี่สิบเก้าปีแล้ว ถ้าหากว่าครรภ์นี้ของข้าเป็นบุตรสาว คงไม่อาจขัดขวางไม่ให้นางมีบุตรได้อีกแล้วกระมัง”
หลี่มามาไหนเลยจะไม่เข้าใจ ฉะนั้นตอนที่หลี่ซื่อไปหาโจวเสาจิ่น นางจึงไม่ห้ามปราม
“คุณหนูรองยังดีกว่า!” หลี่ซื่อถอนหายใจพลางกล่าว “ทั้งหน้าตางดงามและนิสัยอ่อนโยน…” ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็พลันมีความคิดหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ กล่าวกับหลี่มามาว่า “เจ้าว่า แนะนำคุณหนูรองให้แก่บุตรชายของท่านป้าใหญ่ของพวกเราดีหรือไม่”
ท่านป้าใหญ่ของหลี่ซื่อเป็นสะใภ้ของตระกูลหวงแห่งไซ่หยาง ถึงแม้จะเป็นภรรยาคนใหม่ แต่ก็เป็นสายหลัก บุตรชายผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลา ซื่อสัตย์มีคุณธรรม ทั้งยังเป็นผู้คงแก่เรียน
หลี่มามาหน้าถอดสี รีบกล่าว “นายหญิงของข้า ท่านอย่าได้เอ่ยความคิดนี้ออกไปเป็นอันขาดนะเจ้าคะ ข้าเห็นว่านายท่านหวงแหนคุณหนูรองดั่งแก้วตา เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องดูว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ถ้าหากแต่งงานไปเช่นนี้แล้วเกิดเรื่องทุกข์ใจไม่มีสุขขึ้นมาละก็ ท่านรอดูสีหน้าของนายท่านได้เลยเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ตอบว่า “ข้าก็รู้ดี ทว่าข้าก็เร่งทำทุกวิถีทางแล้วมิใช่หรือ หากว่าคุณหนูรองคิดเห็นเป็นหนึ่งเดียวกับข้าก็คงจะดี”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น มีเด็กรับใช้มารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อดีใจยิ่งนัก รีบหวีผมเผ้าและจัดเสื้อผ้าครั้งหนึ่ง แล้วออกไปต้อนรับ
โจวเจิ้นดื่มสุรามาเล็กน้อย แต่ก็ยังมีสติไม่ได้เมามาย ดื่มน้ำแกงสร่างเมาแล้วถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินชูจิ่นบอกว่า เจ้าไปหานางด้วยเรื่องของหลานทิงหรือ”
หลี่ซื่อตกใจอย่างมากไปครั้งหนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “เปล่าเจ้าค่ะ…”
โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารู้ดีว่าเรื่องของหลานทิงเป็นปมในใจของเจ้ามาโดยตลอด แต่นางติดตามข้ามาหลายปี ทั้งยังเป็นสาวใช้คนสนิทของจวงซื่อ ข้าจะทอดทิ้งนางเช่นนี้ก็ไม่ดีนัก ชูจิ่นกล่าวได้ถูกต้อง ทำให้มารดาเลี้ยงต้องลำบากใจ เจ้าแต่งงานติดตามมาอยู่กับข้าตั้งแต่อายุยังน้อย ทนทุกข์มาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน…”
“นายท่าน ข้าไม่ทุกข์ใจเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อกระวนกระวายขึ้นมา แล้วกล่าวอีกว่า “จริงๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์เลยสักครั้งเจ้าค่ะ…”
นางยังไม่ทันได้ไปหาโจวชูจิ่น ก็ถูกโจวชูจิ่นชิงกล่าวหานางก่อนเสียแล้ว
ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป
นางคิดว่าโจวเจิ้นจะต้องไม่เชื่อคำพูดของนางเป็นแน่ ในทางกลับกันมีแต่จะทำให้โจวชูจิ่นไม่พอใจ
โจวเจิ้นตบมือของหลี่ซื่อเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ ยิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่น “ทว่าที่ชูจิ่นกล่าวมาก็ถูก ไม่ว่าจะมอบเรื่องของหลานทิงให้เจ้าเป็นผู้จัดการหรือให้ข้าเป็นผู้จัดการล้วนไม่ดีสักเท่าไหร่ ข้อเสนอแนะของเจ้าก็ไม่เลว ให้นางกลับมาสักครั้ง หากมีเรื่องอะไร ก็วานภรรยาของหม่าฟู่ซานไปถามนาง ไม่ว่านางจะรั้งอยู่หรือจากไป สุดท้ายก็คงจะได้คำตอบ”
หลี่ซื่อรู้สึกเหน็บหนาวอยู่ในใจ
เช่นนี้จะกล่าวหรือไม่กล่าวออกไปก็ไม่ต่างกันสักเท่าใด
หากว่าหลานทิงผู้นั้นอยากจากไปก็คงจากไปนานแล้ว จะติดตามอยู่กับโจวเจิ้นมานานหลายปีขนาดนี้ไปเพื่ออะไร
คงไม่พ้นปรารถนาให้โจวเจิ้นรับนางเป็นอนุมากกว่า
ไม่ใช่ว่านางทนเห็นโจวเจิ้นมีอนุไม่ได้ แต่สิ่งที่นางทนไม่ได้คือหลานทิงผู้นั้นมักจะแอบอ้างนามของจวงซื่อมาคอยชี้นิ้วสั่งการอยู่ข้างๆ ทำให้นางรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่เสมอ
บุรุษไม่ละเอียดรอบคอบดั่งเช่นสตรี
โจวเจิ้นกล่าวเสร็จแล้วก็วางเรื่องนี้ลง
เขาสั่งหลี่ซื่อว่า “พรุ่งนี้เจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี พวกเราจะไปซอยจิ่วหรูในฐานะแขก”
หลี่ซื่อถามอย่างงุนงง “ไปมาแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
“วันนั้นเป็นพวกเราที่ไปเยี่ยมเยียน” โจวเจิ้นตอบ “พรุ่งนี้พวกเขาจะเลี้ยงต้อนรับพวกเรา”
หลี่ซื่อได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ วันรุ่งขึ้นติดตามโจวเจิ้น พร้อมกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้องไปยังซอยจิ่วหรู
เฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองออกมาต้อนรับโจวเจิ้นด้วยตนเอง เฉิงอี๋ เฉิงหลู เฉิงเหมี่ยน เฉิงเวิ่น เฉิงสือ เฉิงเจิ้ง เฉิงเก้า เฉิงอี้ เฉิงนั่วและบุรุษคนอื่นๆ ของตระกูลเฉิงที่อยู่ในเมืองจินหลิงแทบทุกคนต่างก็อยู่ร่วมต้อนรับ ขาดก็แต่เฉิงฉือคนเดียวเท่านั้น
เฉิงซวี่อธิบายว่าเกิดปัญหาเล็กน้อยกับสินค้าชุดหนึ่งของตระกูลเฉิงที่หลินอัน เฉิงฉือจึงไปที่นั่น
โจวเจิ้นยิ้มพลางพยักหน้า แล้วนึกถึงท่าทีห่างเหินเย็นชาของเฉิงฉือเมื่อครั้งก่อนที่มาเยี่ยม จึงอดรู้สึกฉงนอยู่บ้างไม่ได้
ครั้นกลับถึงบ้าน เขาก็กระซิบถามโจวเสาจิ่น “ยามที่เจ้าไปคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซานนั้น ได้พบนายท่านสี่ฉือบ่อยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นใจกระตุกครั้งหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไมหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงเคร่งเครียดเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก” โจวเจิ้นเห็นท่าทางของนางแล้วก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ได้ยินเจ๋อเหล่าบอกว่า นายท่านสี่ฉือไปหลินอัน วันนี้ข้าจึงไม่ได้พบเขา เดิมทีข้าใคร่จะขอให้เขาช่วยดูแลพวกเจ้าพี่น้องดีๆ สักหน่อย”
สมญานามอีกชื่อหนึ่งของเฉิงซวี่คือ ชุนเจ๋อจวีซื่อ ทว่าบรรดาขุนนางในราชสำนักต่างเรียกเขาว่า เจ๋อเหล่า
เฉิงฉือไม่อยู่บ้านหรือ
โจวเสาจิ่นคิดถึงฉากที่ตนไปพบเขาที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย…ก็รู้สึกแคลงใจยิ่ง
ถ้าหากนางยังอยู่ที่ซอยจิ่วหรูคงสามารถหาข้ออ้างไปพบหนานผิง และคงได้รู้ในทันทีว่าเขาอยู่ที่เรือนหรือไม่!
โจวเสาจิ่นอยากจะถามไถ่เรื่องของเฉิงฉือสักหน่อย จึงรั้งบิดาให้พูดคุยกันต่อ เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าน้อยครั้งนักที่ท่านน้าฉือจะเข้าร่วมงานเลี้ยงพวกนี้เจ้าค่ะ หากว่าข้าไม่ได้ไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่รู้จักเขา เขาเป็นคนเช่นไร ท่านพ่อเคยได้ยินผู้อื่นกล่าวถึงเขาบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ!” โจวเจิ้นกล่าวพึมพำ จิตใจเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าท่านพ่อกำลังปิดบังบางสิ่งบางอย่างกับตน ทั้งยังเหมือนกับว่าเกี่ยวข้องกับเฉิงฉือ
นางถามตรงๆ ไปว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เปล่าหรอก” โจวเจิ้นตอบกลับในทันที ทว่ากลับไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งแน่ใจว่าบิดามีเรื่องปิดบังตนอยู่ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ต่อให้ท่านไม่บอกข้า รอข้ากลับไปที่ซอยจิ่วหรูแล้วซักถามสักหน่อย ก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
นางแสร้งทำท่าทางมั่นใจและเหลือบมองบิดาด้วยสายตาท้าทายอยู่หลายส่วน
โจวเจิ้นหัวเราะร่า แล้วแกล้งล้อนางว่า “ไหนเจ้ากล่าวมาสิ เจ้าจะซักถามอย่างไร”
“ข้าจะไปถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นหลอกบิดา “ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบื่อๆ ก็เล่าเรื่องบางอย่างให้ข้าฟังเช่นกัน หากว่าข้าหาโอกาสไปถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวล่ะก็ นางย่อมบอกข้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นเคยเจอฮูหยินผู้เฒ่ากัวสองครั้ง
เป็นฮูหยินที่เด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก
ทว่าอิสตรีผู้เข้มแข็งก็ยังมีบางเวลาที่อ่อนแอ โดยเฉพาะยามต้องเผชิญหน้าเด็กสาวที่น่ารักสดใสเฉกเช่นบุตรสาวคนเล็กผู้นี้
โจวเจิ้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เสาจิ่น เรื่องนี้เจ้าอย่าไปถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลย”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
……………………………………………………………