โจวเสาจิ่นมุ่งหน้าเดินไปทางทิศเหนือ
ซือเซียงรีบดึงนางเอาไว้ “คุณหนูรอง นี่ท่านกำลังจะไปที่ใดกันเจ้าคะ เรือนเจียซู่อยู่ทางนี้เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ “พวกเราไม่ได้จะกลับเรือนเจียซู่ พวกเราจะไปเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย”
ซือเซียงตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นเปิดตะกร้าหวายสานที่ซือเซียงถือเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อนำใบชากลับมาด้วยเล็กน้อย แม้แต่จวนรองข้าก็ส่งไปมอบให้แล้วบางส่วน ด้วยน้ำใจและตามมารยาทแล้ว อย่างไรก็ควรจะนำไปมอบให้ท่านน้าฉือด้วยสักเล็กน้อย”
“แต่ว่า…” คนที่น่ายำเกรงอย่างนายท่านสี่ฉือ ไม่ใช่ว่าควรจะติดต่อให้น้อยเข้าไว้หรอกหรือ เหตุใดยังต้องการจะเข้าไปใกล้อีก หากว่าทำให้เขารำคาญใจขึ้นมา แม้แต่เรื่องไฟไหม้ที่จวนห้าเขายังสามารถผลักให้เป็นความผิดของคุณชายใหญ่นั่วได้ แล้วจะยังเหลือเรื่องอะไรที่เขาจะทำตามใจตัวเองไม่ได้ ซือเซียงรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคุณหนูรองควรจะอยู่ให้ห่างจากนายท่านสี่ฉือเอาไว้บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทีดีใจของโจวเสาจิ่นแล้ว นางรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะกล่าวคำพูดดังกล่าวออกไปหรือไม่
โจวเสาจิ่นไม่สนใจว่าซือเซียงจะคิดอย่างไร
คำพูดพวกนั้นของบิดา นางควรจะหาวิธีบอกท่านน้าฉือให้ได้ถึงจะถูก
นางปล่อยซือเซียงเอาไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
ซือเซียงไหนเลยจะกล้าไม่ติดตามไปด้วย
ทั้งสองคนเดินขึ้นมาบนเนินเขาตามๆ กันด้านหน้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่ง
เป็นชิงเฟิงอีกครั้งที่ออกมาต้อนรับด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสองคนต่างก็จ้องหน้ากันด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง เจ้าจ้องมองข้า ข้าจ้องมองเจ้า สุดท้ายก็เป็นชิงเฟิงที่ยอมแพ้ กล่าวออกมาอย่างขุ่นเคืองเสียงหนึ่งว่า “คุณหนูรองกรุณารอสักครู่ขอรับ” จากนั้นหมุนกายเดินเข้าไปข้างใน
โจวเสาจิ่นมองแล้วอดไม่ได้พึมพำออกมาเสียงหนึ่งอย่างไม่พอใจ
ยังมาบอกว่าท่านน้าฉือไปหลินอัน นี่เพิ่งจะไม่กี่วันเอง จะเร่งกลับมาได้อย่างไร
เป็นคำแก้ตัวเพื่อหลบเลี่ยงของท่านน้าฉือ หรือเป็นข้ออ้างของท่านผู้นำตระกูลจวนรองที่ตั้งใจขัดขวางไม่ให้ท่านน้าฉือมาหากันแน่
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าอย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าอยู่เล็กน้อย
ท่านน้าฉือนั้นเป็นคนรุ่นหลัง เห็นท่าทางเขาอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรอยยิ้มแต้มอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะนิสัยที่ยอมให้คนมาบีบคั้นได้ เพียงท่านผู้นำตระกูลจวนรองเผยนัยยะแฝงบางอย่างออกมาเพียงเล็กน้อย ด้วยนิสัยของเขาแล้ว จะยังหน้าหนาหน้าทนไปกินและดื่มด้วยได้อย่างไร
นางนั่งรออยู่ในศาลาเล็กริมทาง รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก จึงมองสำรวจเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยสร้างอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง ที่ๆ นางยืนอยู่นี้เป็นบริเวณกึ่งกลางของเนินเขา มีศาลาเล็กหนึ่งหลัง และก้อนหินขนาดใหญ่อีกหลายก้อน ด้านหลังเป็นสวนป่า พื้นค่อยๆ ลาดสูงขึ้น มีต้นไม้เขียวขจีเป็นฉากหลัง สามารถมองเห็นลานบ้านที่มียอดหลังคาบ้านเรียงต่อๆ กันได้อย่างชัดเจน ดูจากอาณาบริเวณแล้ว มีพื้นที่ใหญ่กว่าจวนสี่เสียอีก สูงขึ้นไปอีกเป็นยอดเขา มีศาลาอยู่หนึ่งหลังมีชื่อเรียกว่าศาลาชิงอิน ซึ่งนางเคยไปมาแล้วเมื่อคราวก่อน ตลอดทั้งทางเดินมีแม่น้ำไหลผ่าน มีต้นไม้อายุเก่าแก่และดอกไม้ป่า มีหน้าผาสูงชัน ระหว่างเขาค่อนข้างมีความน่าสนใจและน่าดึงดูด
อย่างไรก็ตาม ทิวทัศน์ของเจียงหนานล้วนเป็นเช่นนี้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นฝีมือมนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นของปลอม ไม่เหมือนทิวทัศน์ของทางเหนือ ถึงแม้จะหยาบกร้านกว่า แต่ก็เป็นของจริง เป็นลักษณะที่มีมาตั้งแต่เดิม จะว่าไปแล้ว นางคุ้นเคยกับทางเหนือมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว มีท่อทำความร้อนอยู่ใต้พื้นเรือน ทำให้อบอุ่นยิ่งนัก ไม่เหมือนจินหลิงที่ต้องใช้เตาถ่าน ภายในห้องจึงมักจะฟุ้งไปด้วยกลิ่นควัน
เรือนออกจะกว้างใหญ่ มีท่านน้าฉืออาศัยอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ
ดูเหมือนกับว่าสวนป่าของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยจะอยู่ติดกับส่วนป่าของเรือนหานปี้ซาน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้านหลังของพวกเขานี้คือที่ไหนกันแน่
ถ้าหากวันไหนมีโอกาส ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องไปสำรวจซอยจิ่วหรูดูสักรอบ ดูว่าฝั่งทิศตะวันตกของซอยจิ่วหรูไปถึงที่ไหน และฝั่งทิศตะวันออกไปสุดที่ใด…หากมองไปจากตรงนี้ ดูเหมือนกับว่าพวกนางอาศัยอยู่ในภูเขาก็ไม่ปาน ไหนเลยจะมองเห็นทิวทัศน์อันเจริญรุ่งเรืองของจินหลิงได้
โจวเสาจิ่นนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นั่นไปกว่าครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของชิงเฟิงมาให้เห็น นางก็เลยนั่งพิงอยู่บนที่นั่งเหม่ยเหรินของศาลาริมทาง
“คุณหนูรอง ท่านระวังจะเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ” ซือเซียงรีบดึงนางเอาไว้ หยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาปูบนที่นั่งเหม่ยเหริน พึมพำกล่าวว่า “หากที่นี่มีเบาะรองนั่งสักอันก็คงจะดี”
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่าชิงเฟิงผู้นี้ตั้งใจเพิกเฉยตนเองอยู่ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอพวกเรามาใหม่ครั้งหน้า ค่อยเอาเบาะรองนั่งของตัวเองมาด้วย” ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “แล้วก็เอาอุปกรณ์ชงชามาด้วยชุดหนึ่ง และหนังสือด้วยอีกหนึ่งเล่ม ต่อให้ต้องนั่งรอ ก็ดื่มชาไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ข้าไม่เชื่อว่าชิงเฟิงผู้นั้นจะยังกล้าที่จะไม่ไปรายงานให้ข้า”
เห็นได้ชัดว่าผู้อื่นทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการไล่คุณหนูรองกลับไป แต่คุณหนูรอง…กลับต้องการรั้งอยู่ที่หน้าประตูของผู้อื่นต่อไป
นี่หากว่าคุณหนูใหญ่ทราบเรื่องเข้า คงได้โมโหจนเหมือนจะตายแล้วเป็นแน่!
นางโน้มน้าวโจวเสาจิ่น “หรือไม่ พวกเราค่อยมาใหม่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้เอาอุปกรณ์ชงชาและเบาะรองนั่งมาด้วย…”
“รออีกหน่อยเถอะ!” โจวเสาจิ่นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมาแล้ว แสงแดดที่สาดส่องมาบนร่างกายไม่ได้แผดเผาเท่ากับในฤดูร้อนแล้ว “หากว่าอีกครึ่งเค่อชิงเฟิงยังไม่มา พวกเราก็เข้าไปเลยก็แล้วกัน”
“นี่…นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมังคะ” ขณะที่ซือเซียงกล่าว ก็รู้สึกว่าเหมือนจะมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของตน
โจวเสาจิ่นกลับไม่ใส่ใจ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่ามีบ่าวเด็กบ้านไหนบ้างที่กล้าเพิกเฉยต่อแขก? แต่บ่าวเด็กของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยกล้าทำเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ ไม่เคยขาดแคลนเรื่องแปลกประหลาด ในเมื่อบ่าวเด็กของพวกเขากล้าที่จะเพิกเฉยไม่ไปรายงานให้แขก เช่นนั้นข้าก็จะบุกเข้าไป ก็ถือเป็นการทำตามแบบอย่าง ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลทั้งนั้น”
ดูเหมือนกับว่านางพูดเพื่อปลุกปลอบใจตัวเองมากกว่าพูดให้ซือเซียงฟัง
ซือเซียงไม่มีทางเลือก
โจวเสาจิ่นเห็นว่ายังไม่มีท่าทีว่าชิงเฟิงจะออกมา จึงตัดสินใจเดินเข้าไป
“คุณหนูรองๆ ท่านคิดทบทวนดีๆ อีกทีเถิดเจ้าค่ะ!” ซือเซียงเกลี้ยกล่อมอย่างหวังดีอยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นทำเพียงเสมือนว่าไม่ได้ยิน
ชิงเฟิงกลับกระโดดออกมาจากสวนป่าด้านข้าง จ้องมองอย่างขุ่นเคืองพลางกล่าว “คุณหนูรอง นายท่านสี่ของพวกข้าไม่อยู่บ้าน เชิญท่านกลับไปก่อนเถิด!”
“อย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นไม่ขยับเขยื้อน ยังคงต้องการจะเดินไปข้างหน้าต่อ “เหตุใดข้าดูแล้วเหมือนกับว่าเจ้าไม่ได้ไปรายงานให้ข้าเสียมากกว่า!”
ชิงเฟิงยืนขวางอยู่ด้านหน้าของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเอี้ยวตัวหลบออกจากด้านข้างของเขาแล้วเดินมุ่งไปข้างหน้าต่อ
ชิงเฟิงจำต้องไปขวางนางเอาไว้อีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว นายท่านสี่ของพวกข้าไม่อยู่บ้านจริงๆ…”
โจวเสาจิ่นหงุดหงิดยิ่งนัก ยืนอยู่ตรงนั้นและตะโกนร้องเสียงดังขึ้นว่า “แม่นางหนานผิง”
เสียงกังวานใสที่เจือความอ่อนหวานเอาไว้อยู่หลายส่วน ดังสะท้อนเบาๆ ท่ามกลางสวนป่า
ชิงเฟิงสีหน้าเปลี่ยน
โจวเสาจิ่นเตือนเขา “หากเจ้ากล้าขวางทางข้าอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัว ต่อให้ท่านน้าฉือจะปกป้องเจ้า แต่ชื่อเสียงของเจ้าก็คงจะจบสิ้นแล้ว เจ้าก็รอเป็นได้เพียงบ่าวเด็กไปตลอดชีวิตเอาไว้ก็แล้วกัน”
ชิงเฟิงโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้ม
ชิงเฟิงดูราวกับผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่งเท่านั้น ช่างน่าสนุกนัก!
มีคนเดินผ่านมาด้วยท่วงท่างามสง่า
รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนโค้งเว้างดงาม สวมเสื้อผ้าสีดำ ผิวขาวเนียนยิ่งกว่าหิมะและเมฆหมอก กิริยาท่าทางเย็นชา ใบหน้างดงามและดูสง่ายิ่ง
ที่แท้ก็เป็นจี๋อิ๋ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นมักจะรู้สึกว่าจี๋อิ๋งดูไม่เหมือนสาวใช้ ให้ความรู้สึกว่า…ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยอยู่เล็กน้อย
นางอดไม่ได้เก็บรอยยิ้มกลับมา ยืนยืดหลังตรง ยิ้มน้อยๆ พลางหันไปพยักหน้าให้นาง ด้วยท่าทางสง่างามของคุณหนูในครอบครัวชั้นสูง
จี๋อิ๋งหางตากระตุก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ว่าผู้ใดที่กำลังตะโกนเรียกพี่สาวหนานผิง ที่แท้ก็เป็นคุณหนูรองนี่เอง! ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมาด้วยธุระอันใดหรือ ให้ข้าไปรายงานให้หรือไม่”
เสียงพูดของนางยังกล่าวไม่จบ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกได้แล้วว่าร่างของชิงเฟิงกำลังสั่น ทั้งตัวของเขากลายเป็นตื่นตัวขึ้นมาอย่างระแวดระวัง
สาเหตุที่พวกนางได้รู้จักกันก็เพราะเหตุไฟไหม้ที่จวนห้า
ถึงแม้เฉิงฉือจะไม่ได้กำชับตนว่าให้ตนเก็บเป็นความลับ แต่นี่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้อยู่แล้วหรอกหรือ
ก็เหมือนกับชิงเฟิง ยามพบเห็นตนก็ทำเสมือนกับว่าไม่รู้จักตนอย่างไรอย่างนั้น
แล้วเหตุใดจี๋อิ๋งถึงกล่าวทักทายตนอย่างไม่หลบเลี่ยงแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้ได้
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพิจารณา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบคุณแม่นางจี๋อิ๋งเป็นอย่างมาก ข้าเจอชิงเฟิงพอดี ให้ชิงเฟิงไปรายงานให้ข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”
ชิงเฟิงได้ยินแล้วดูเหมือนจะโล่งอกไปเปลาะหนึ่งก็ไม่ปาน
เขาคารวะโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปรายงานให้ท่าน”
ทำท่าทางเสมือนกับว่าเป็นจริงดังที่โจวเสาจิ่นกล่าวมา โดยโจวเสาจิ่นเพิ่งจะมาเพิ่ง และชิงเฟิงเองก็เพิ่งจะได้เจอนาง
จี๋อิ๋งแสยะยิ้มเย็น สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินผละจากพวกเขาไป
ชิงเฟิงถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงเปล่งเสียงอย่างไม่พอใจออกมาเสียงหนึ่งว่า “ชิงเฟิง” แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ครั้งใหญ่ หากเจ้ายังจะหาข้ออ้างอิดออดเช่นเมื่อกี้อีก เมื่อได้เจอท่านน้าฉือข้าจะฟ้องเจ้าสักครั้งอย่างแน่นอน”
“รู้จักแต่จะฟ้อง!” ชิงเฟิงโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับไม่ได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่นางอย่างเช่นเมื่อครู่แล้ว ได้แต่เดินเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่พอใจเท่านั้น
ไม่นานเขาก็กลับมา และกล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่รอคุณหนูอยู่ที่เรือนซิ่วฉี่เรือนหลักขอรับ”
เรือนซิ่วฉี่คือสถานที่อะไรกันแน่
แต่ว่า ทุกๆ เรือนในซอยจิ่วหรูที่เรียกว่า ‘เรือนหลัก’ ล้วนแล้วเป็นแต่เรือนหลักของจวนนั้นๆ
จวนหลักมีเรือนอวิ้นเจินที่หยวนซื่ออาศัยอยู่เป็นเรือนหลักอยู่แล้ว เหตุใดถึงมีเรือนซิ่วฉี่เป็นเรือนหลักขึ้นมาอีกหนึ่งเรือนได้
โจวเสาจิ่นเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินตามชิงเฟิงไป
ที่ไม่ไกลนั้นเป็นเรือนขนาดกว้างห้าห้องกั้นหลังหนึ่ง มีเสาทาด้วยน้ำมันเคลือบสีดำ บานประตูติดเอาไว้ด้วยกระจก
ชิงเฟิงพานางขึ้นไปบนโถงทางเดินของเรือน เดินมุ่งไปทางด้านขวาของโถงทางเดิน
โจวเสาจิ่นถือโอกาสหันไปเหลือบมองเรือนนั้นครั้งหนึ่ง เห็นโถงหลักที่อยู่ตรงกลางของเรือนดังกล่าวแขวนเอาไว้ด้วยแผ่นป้ายสี่ดำ ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่คำว่า ‘เรือนซิ่วฉี่’ สามตัวบนแผ่นป้ายนั้นสะดุดตายิ่งนัก ด้านข้างยังมีโคลงคู่สีทองอยู่ด้วยคู่หนึ่ง น่าเสียดายที่นางเดินอย่างเร่งรีบไปหน่อย จึงไม่ทันได้เห็นชัดๆ ว่าเขียนว่าอะไรบ้าง
เดินมาตามโถงทางเดินจนถึงจุดเลี้ยวหนึ่ง ก็เป็นโถงทางเดินอีกเส้นหนึ่ง ที่ด้านซ้ายเป็นที่นั่งเหม่ยเหริน ด้านขวาเป็นชั้นวางดอกไม้ สุดทางเดินเป็นห้องโถงขนาดสามห้องกั้นห้องหนึ่ง
ระหว่างที่เดินผ่านชั้นวางดอกไม้นั้นก็จะเห็นป่าไผ่ ต้นกล้วยและทะเลสาบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางด้านโน้นคือที่ไหนเท่านั้น
บานประตูของห้องโถงเปิดเอาไว้ ทำให้สามารถเห็นว่าด้านซ้ายและขวาต่างกั้นเอาไว้ด้วยผนังกั้นลายว่านจื่อ[1] และแขวนเอาไว้ด้วยม่านสีน้ำทะเลสาบ ถึงแม้ว่าจะใช้ตะขอเงินขึงม่านเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจเห็นสภาพด้านหลังผนังกั้นได้ชัดเจนนัก
กลางห้องโถงเป็น “ภาพชื่นชมทิวทัศน์ของแม่น้ำเฉียนถัง” ภาพหนึ่ง ด้านล่างของภาพวาดเป็นตั่งตัวยาวสีดำตัวหนึ่ง ตรงกลางตั่งมีงาช้างแกะสลักเป็นภาพทิวทัศน์วางประดับเอาไว้ ทั้งสองข้างวางเอาไว้ด้วยแจกันลายดอกโบตั๋นเบ่งบานหลากสีข้างละหนึ่งชิ้น
ด้านหน้าของตั่งตัวยาวมีโต๊ะสี่เหลี่ยมวางเอาไว้หนึ่งตัว ด้านซ้ายและขวาของโต๊ะแต่ละด้านวางเอาไว้ด้วยเก้าอี้มีเท้าแขนสีดำ ถัดลงไปจากด้านขวาเป็นเก้าอี้มีเท้าแขนสีดำหนึ่งแถว กั้นเอาไว้ด้วยโต๊ะวางน้ำชาสีดำหนึ่งตัว
เป็นการตกแต่งที่ธรรมดาสามัญยิ่งนัก!
โจวเสาจิ่นเขย่งเท้าขึ้นมองเข้าไปด้านใน
ไม่มีคนอยู่
ชิงเฟิงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วกล่าวรายงานอย่างนอบน้อม “คุณหนูรองตระกูลโจวมาแล้วขอรับ”
กิริยาท่าทางในตอนนี้กับตอนที่พูดกับโจวเสาจิ่นนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
โจวเสาจิ่นเองก็อดประหม่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงฉือเดินออกมาจากด้านหลังของผนังกั้นฝั่งขวามือ
เช่นเดียวกับครั้งก่อน เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านเนื้อละเอียดสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่ง รองเท้าหัวกลมมนสีดำ ถุงเท้าสีขาว เส้นผมสีดำขลับม้วนขึ้นและกลัดเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมงาช้าง สีหน้าละมุน ใบหน้าแต้มเอาไว้รอยยิ้ม
“เจ้ามาแล้วหรือ” เขาชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนด้านข้าง กล่าวยิ้มๆ ว่า “มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
ดูราวกับว่างานยุ่งยิ่งนัก ต้องหาเวลาถึงจะสามารถพูดกับนางสักประโยคได้ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งประหม่า
รีบหยิบตะกร้าหวายสานที่อยู่ในมือของซือเซียงมา พลางกล่าว “ท่านพ่อของข้ากลับมาจากหนานชาง ข้ากลับไปอยู่ที่บ้านมาหลายวัน นี่เป็นใบชาที่ท่านพ่อของข้านำกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็บอกว่ารสชาติดี ข้าจึงนำมามอบให้ท่านสักเล็กน้อย…ข้าจำได้ว่าท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบดื่มชา!”
เฉิงฉือหัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “ข้าเป็นผู้ชอบดื่มชา ขอบใจเจ้ามาก” ขณะที่เขากล่าวก็ส่งสัญญาณให้ชิงเฟิงรับตะกร้าหวายสานมา
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่บอกให้นางนั่งลงหรือ
ท่านน้าฉือเป็นเจ้าบ้าน เหตุใดถึงไม่นั่งลงก่อน
การที่เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางดูเหมือนกับว่าพร้อมที่จะส่งแขกและเดินออกไปทุกเมื่อ…นางต้องกล่าวอำลาแล้วใช่หรือไม่
……………………………………………………………………………
[1] ลายว่านจื่อ คือลายสวัสดิกะ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะอันศักดิ์สิทธิ์