เมื่อพ้นวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว จวนเหลียงกั๋วกงถึงได้แห่ขบวนส่งศพ
ตระกูลเฉิงเองก็จัดพิธีเซ่นไหว้ศพบนถนนที่ขบวนเดินผ่าน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย นั่งปักผ้าโพกศีรษะของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ข้างหน้าหน้าต่างเงียบๆ
เฉิงเจียมาหานาง ทว่ากลับไม่พูดเจื้อยแจ้วเหมือนทุกที แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นมองดูโจวเสาจิ่นทำงานเย็บปัก
ผ่านไปสองสามวัน อารมณ์ของทั้งคู่ก็แจ่มใสขึ้นเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นจดจ่ออยู่กับการคัดลอกพระธรรม
มีคนกำลังมองมองนางอยู่จากนอกห้องพระ
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น เห็นจี๋อิ๋งยืนอยู่กลางลาน
นางยิ้มหวานให้กับจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งครุ่นคิดแล้วก็เดินเข้ามา เอ่ยถามนางผ่านช่องหน้าต่างว่า “เจ้าคัดลอกพระธรรมเช่นนี้ทุกบ่ายเลยหรือ”
“ใช่แล้ว!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ รอยยิ้มอ่อนโยนราวกับน้ำในทะเลสาบที่สงบนิ่ง
จี๋อิ๋งประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูท่าทางเจ้าจะชอบคัดลอกพระธรรมจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด”
ชาติก่อน ผู้คนมากมายมักคิดว่าท่าทีสงบเงียบของโจวเสาจิ่นนั้นเกิดจากการถูกบังคับให้สงบเสงี่ยมอย่างจำยอม จึงไม่ได้ใส่ใจนางนัก
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ไม่อยากจะโต้เถียงกับจี๋อิ๋งด้วยเรื่องเหล่านี้ นางถามขึ้นว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ท่านน้าฉือกลับมาแล้วหรือ”
ครั้งก่อนนางให้ซือเซียงนำขนมไหว้พระจันทร์ไปให้ที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย แต่ชิงเฟิงบอกซือเซียงว่าเฉิงฉือไปทำธุระที่ไหวอันยังไม่กลับมา ตอนที่ฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ได้มีการจัดงานแสดงโคมไฟขึ้นภายในจวน ก็ไม่เห็นร่องรอยของเฉิงฉือเช่นกัน
จี๋อิ๋งได้ยินนางถามถึงเฉิงฉือ ก็มุ่ยปากพลางตอบว่า “นายท่านสี่ยังไม่กลับมา ข้ามาพร้อมกับหนานผิง ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งหนานผิงไว้พูดคุยด้วย ข้ารู้สึกเบื่อไม่มีอะไรทำ จึงออกมาเดินเล่นรอบๆ แล้วเดินมาเจอเจ้าที่นี่พอดี”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างงงงัน “ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหาพี่สาวหนานผิงมีเรื่องอะไรหรือ”
จี๋อิ๋งตอบ “ใครจะไปรู้! แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็คงเป็นเรื่องของนายท่านสี่ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังจะมีเรื่องอะไรได้อีก”
“ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สนใจเรื่องภายในเรือนของท่านน้าฉือมิใช่หรือ” โจวเสาจิ่นถามต่อ
“แม้จะกล่าวว่าไม่สนใจ” จี๋อิ๋งผู้ไม่เต็มใจพูดมากสักเท่าไร เอ่ยต่อไปว่า “แต่ก็เรียกหนานผิงมาซักถามอยู่บ่อยๆ”
โจวเสาจิ่นจึงไม่กล้าถามอะไรมากอีก
จี๋อิ๋งเอ่ยขึ้นว่า “ขนมไหว้พระจันทร์ที่ส่งมาให้คราวก่อน ได้ว่าเจ้าทำเองหรือ”
“ข้ากับพี่สาวช่วยกันทำ” โจวเสาจิ่นตอบตามจริง “ป้าแม่บ้านที่ดูเตาไฟของข้าช่วยผสมแป้งให้ พี่สาวเป็นคนทำไส้ขนม ส่วนข้าช่วยห่อขนมเพียงเท่านั้น”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ และชมว่า “ขนมไหว้พระจันทร์นั้นไม่เลวเลยทีเดียว”
โจวเสาจิ่นเห็นว่าเฉิงฉือเป็นบุรุษ ส่วนมากไม่ชอบทานของหวานนัก จึงห่อขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผักดองคลุกงาให้เป็นพิเศษ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะรู้สึกว่าขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผักดองคลุกงานั้นอร่อย ทว่าน่าเสียดายที่ท่านน้าฉือไม่ได้ทานเลยสักชิ้น
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเด็กรับใช้มาเรียกจี๋อิ๋ง “…แม่นางหนานผิงบอกว่าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
จี๋อิ๋งบอกลานาง
โจวเสาจิ่นอดคิดไม่ได้
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะกลับมาเมื่อไหร่
ผ่านไปไม่ถึงสองวัน จี๋อิ๋งก็มาหาถึงเรือน
นางมาหาอย่างกะทันหันยิ่ง โจวเสาจิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าอยู่ นางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นผ่านช่องหน้าต่างว่า “ได้ยินว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าดียิ่งใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
พอรู้ตัวอีกที ก็มองไปรอบๆ
จี๋อิ๋งเข้ามาถึงที่นี่ แต่เหตุใดถึงไม่มีใครมาแจ้งนางเลยสักคน
ซือเซียงกับชุนหว่านต่างก็ไม่อยู่ ส่วนเด็กรับใช้ที่เป็นเวรเฝ้าประตูก็กำลังนั่งสัพหงกอยู่บนธรณีประตู
เช้าตรู่ขนาดนี้ ยังจะเผลอหลับได้อีก
โจวเสาจิ่นบ่นพึมพำอยู่ในใจ พลางลุกขึ้นมาอย่างขัดเขินเล็กน้อย แล้วเชิญนางเข้ามาดื่มชา
“ไม่เป็นไร” ความขัดเขินสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของจี๋อิ๋ง กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะไหว้วานเจ้าให้ช่วยทำให้สักหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าพอจะมีเวลาว่างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางเหลือบมองผ้าในตะกร้าครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “ไม่รู้ว่าเจ้าอยากจะให้ทำอะไร หากว่าไม่ต้องรีบใช้ก็พอทำให้ได้ แต่ถ้ารีบ เกรงว่าคงทำให้ไม่ได้ในเร็ววันนี้”
โจวเสาจิ่นเห็นว่าจี๋อิ๋งดูมีท่าทางโล่งอก แม้ว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉยอยู่บ้าง ทว่าตัวนางกลับดูผ่อนคลายลงมากกว่าตอนก่อนที่จะเอ่ยถามนาง
“ไม่ต้องรีบใช้” นางตอบพลางหยิบผ้าทอเนื้อดีสีขาวพระจันทร์จากซงเจียงออกมาชิ้นหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าช่วยข้าเย็บถุงเท้าสำหรับบุรุษสองคู่ก็พอแล้ว ไม่ต้องปักลวดลายหรือปักขอบ ทำถุงเท้าแบบเรียบๆ ก็พอ”
“หา?!” โจวเสาจิ่นเบิกตาโพลง
“อ่า!” จี๋อิ๋งร้องขึ้นมา แล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเอาไปให้ผู้อื่นเป็นการส่วนตัว แต่เป็นหนานผิงที่แบ่งงานให้ข้าทำ เป็นของท่านน้าฉือของเจ้า”
โจวเสาจิ่นยิ่งเบิกตากว้างจนโค้งมน
จี๋อิ๋งจำต้องอธิบายว่า “ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วมิใช่หรือ แต่ละจวนต่างเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว หนานผิงเป็นผู้รับผิดชอบตัดเย็บเสื้อผ้าของท่านน้าฉือของเจ้า ทุกๆ ปีนางจะแบ่งงานจุกจิกมาให้ข้าทำ เดิมทีข้าคิดจะให้เด็กสาวรับใช้สองสามคนช่วยเย็บ ทว่าหนานผิงกล่าวว่าสองปีมานี้ท่านน้าฉือของเจ้าไม่มีเสื้อขนสัตว์ตัวใหม่เลย ปีนี้พอจะรวบรวมหนังสัตว์ชั้นดีได้บ้าง จึงอยากจะเร่งทำเสื้อขนสัตว์สองตัวให้ท่านน้าฉือของเจ้า พวกเสื้อนวม เสื้อคลุมอื่นๆ เหล่านั้นล้วนมอบหมายให้เด็กรับใช้สองสามคนนั้นตัดเย็บแล้ว พอข้าไปที่เรือนตัดเย็บ เรือนตัดเย็บก็วุ่นอยู่กับการเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าเช่นกัน นอกจากชุดฤดูหนาวของจวนสองแล้ว ยังมีงานปักลายผ้าคลุมทารกของคุณหนูเซียว และบุตรชายของคุณชายใหญ่สือเพิ่มมาอีกด้วย มิหนำซ้ำเสื้อผ้าทุกชิ้นล้วนแต่ต้องปักลวดลายเล็กน้อย โรงตัดเย็บไม่ได้หยุดพักมาสองเดือนแล้ว ข้าเสนอให้จ้างช่างจากข้างนอกมาตัดเย็บแทน แต่หนานผิงทั้งไม่เห็นด้วย และดูเหมือนกลัวว่าข้าจะแอบเอาเสื้อผ้าของท่านน้าฉือของเจ้าไปให้คนอื่นทำ ข้าจึงเอามาหาเจ้าที่นี่…” นางกล่าวพลางกวาดสายตามองตะกร้าที่วางอยู่เบื้องหน้าโจวเสาจิ่น “ข้าก็รู้ว่าเจ้าเองก็ยุ่งมากเหมือนกัน คาดว่าคงจะเร่งทำของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงไม่ขอให้เจ้าต้องลงมือตัดเย็บเอง ให้เด็กรับใช้ที่มีฝีมือตัดเย็บไม่เลวสักคนทำให้ก็ได้ เมื่อเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อยๆ ที่ตลาดลิ่วชู่”
นานสักพักกว่าโจวเสาจิ่นจะเข้าใจถ้อยคำของจี๋อิ๋ง
“จะไปหาเด็กรับใช้สักคนมาเย็บถุงเท้าให้ท่านน้าฉืออย่างตามใจชอบได้อย่างไร” นางจ้องมองจี๋อิ๋งอย่างงงงัน “เจ้าเย็บเองไม่เป็นหรือ หากว่าแม่นางหนานผิงรู้ว่าเจ้าไม่มีฝีมือในการเย็บปัก เหตุใดถึงอยากให้เจ้าเย็บถุงเท้าให้ท่านน้าฉือเล่า แม่นางหนานผิงดูไม่เหมือนคนที่จะสร้างความลำบากให้ผู้อื่นเช่นนั้นเลยสักนิด”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็สบถเสียงเย็นออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้ากับหนานผิงถึงเหมือนกันไม่มีผิด เฉิงจื่อชวนเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร ถุงเท้าของเขาถึงต้องให้บ่าวรับใช้ข้างกายเป็นคนตัดเย็บให้เท่านั้น หากเป็นคนอื่นทำให้แล้วเขาจะรู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัวเวลาสวมใส่หรืออย่างไร”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็หน้าแดงเรื่อทันที กล่าวแย้งอย่างร้อนรนว่า “พวกข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…เพียงแค่คิดว่ามอบหมายให้คนที่ไม่รู้จักมาเย็บของใช้ส่วนตัวให้มันดูไม่ดีสักเท่าไหร่…”
“เขาไม่ใช่อิสตรีเสียหน่อย!” จี๋อิ๋งเอ่ยแทรกโจวเสาจิ่นอย่างไม่สนใจ “ข้าคิดว่า เฉิงจื่อชวนถูกพวกเจ้าตามใจจนเสียคน นี่ก็ไม่ทาน นั่นก็ไม่ดื่ม ไม่เหมือนบุรุษเลยแม้แต่น้อย!”
มีสาวใช้ที่ตำหนิผู้เป็นนายเช่นนี้ด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดไม่ออก
จี๋อิ๋งเห็นแล้วก็กระแอมไอขึ้นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่กล่าวถึงท่านน้าฉือของเจ้าให้ฟังอย่างเป็นกันเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายแฝงอื่น”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นคิดว่านางคงจะไม่หยุดกล่าวถึงท่านน้าฉือให้ฟังอย่างเป็นกันเองเช่นนี้เพียงครั้งเดียวอย่างแน่นอน
ภายใต้นัยน์ตาสุกใสที่จ้องมองมาของโจวเสาจิ่นราวกับจะสะท้อนร่างเงาของนางได้ จี๋อิ๋งจึงกระแอมไอเบาๆ อีกครั้งอย่างไม่ค่อยสบายใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน เจ้าช่วยท่านน้าฉือของเจ้าเย็บถุงเท้าสี่คู่ก็พอ ทำให้เสร็จก่อนถึงปีใหม่ก็พอ” กล่าวพลางวางผ้าในมือลงแล้วเดินจากไป
โจวเสาจิ่นรีบเรียกนางให้หยุด “ทำไมเจ้าไม่ช่วยเย็บให้ท่านน้าฉือเอง หากว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าไม่ดีนัก ข้าสามารถแนะนำเจ้าได้! เจ้าไม่อาจนำสิ่งของของท่านน้าฉือไปวานให้คนอื่นทำนั่นหรือนี่ได้ตลอดหรอก ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้เข้าล่ะก็ คงจะเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ฝีมือเย็บปักของปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยของนางล้วนดียิ่ง ไม่เพียงแค่ถุงเท้าสองสามคู่เท่านั้น นางยังมอบหมายด้วยความวางใจให้พวกเจ้ารับใช้ท่านน้าฉือ ไม่คาดคิดว่าแม้แต่ถุงเท้าคู่หนึ่งพวกเจ้าก็ไม่ยอมเย็บให้เลยสักคน…”
ร่างของจี๋อิ๋งที่กำลังเดินอยู่หยุดชะงักลงในทันใด หมุนกายกลับมาอย่างช้าๆ พลางถาม “เมื่อตะกี้เจ้าว่าอะไรนะ”
โจวเสาจิ่นเห็นสายตาลุกโชนของนาง ใจกระตุกอย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ข้ากล่าวว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบหมายให้พวกเจ้ารับใช้ท่านน้าฉือ…”
“ไม่ใช่ๆ” จี๋อิ๋งส่ายศีรษะ “เจ้ากล่าวว่า เจ้าสามารถแนะนำข้าได้…” นางกล่าวพลางตบมือสองข้าง แล้วฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด “ไม่เลวๆ ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะมาเรียนเย็บปักกับเจ้าที่นี่ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะดูว่าหนานผิงยังจะกล่าวอะไรได้อีก”
ทว่าหากเป็นเช่นนี้ นางก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งระหว่างหนานผิงกับจี๋อิ๋งด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นปัดมือรัว กล่าวว่า “ข้าว่าเจ้าบอกหนานผิงสักหน่อยดีกว่า! การเจ้าไม่สามารถเย็บถุงเท้าให้ท่านน้าฉือได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้เหมือนกัน…”
ทว่าจี๋อิ๋งกลับไม่ฟังนางเลยพูดสักคำ กล่าวเอาเองว่า “เช่นนั้นก็ตกลงอย่างนี้ ทุกบ่ายเจ้าต้องมาคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานใช่หรือไม่ เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาหลังยามซื่อสือ ทุกวัน ช่วงนั้นพี่สาวของเจ้าก็น่าจะไปที่เรือนหานซิวพอดี” กล่าวพลางตบมือ “เรื่องนี้ก็ตกลงกันกันตามนี้” แล้วหมุนกายเดินจากไป
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน
โจวเสาจิ่นวิ่งไล่ตามออกไป
ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจี๋อิ๋งเสียแล้ว
นางมองผ้าทอเนื้อดีสีขาวพระจันทร์จากซงเจียงที่จี๋อิ๋งทิ้งเอาไว้พลางคิดว่ามันเหมือนดังมันหวานร้อนที่กำลังลวกมืออยู่ลูกหนึ่ง
กระทั่งโจวชูจิ่นกลับมา นางรีบเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟัง แต่เนื่องจากนางกลัวว่าพี่สาวจะโกรธจี๋อิ๋ง จึงไม่กล้าเล่ารายละเอียดมากนัก เล่าเพียงแค่ว่าจี๋อิ๋งอยากมาเรียนเย็บผ้ากับนาง เพื่อเย็บถุงเท้าให้ท่านน้าฉือเท่านั้น
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “สาวใช้ข้างกายของท่านน้าฉือตัดเย็บไม่เป็นอย่างนั้นหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นนึกถึงครั้งก่อนที่ไปโรงตัดเย็บ หมิงเฮ่อผู้เป็นสาวรับใช้ในเรือนของท่านน้าฉือก็เคยขอให้จางเหนียงจื่อช่วยเย็บถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนให้ จึงตอบว่า “บางทีอาจจะเย็บไม่เป็นจริงๆ เจ้าค่ะ”
ในทางกลับกันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีไม่งามอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกก็เป็นได้ โจวชูจิ่นคิดแล้วคิดอีก กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าสอนนางก็แล้วกัน”
ต่อให้นางไม่สอนจี๋อิ๋ง จี๋อิ๋งจะไม่มาหรืออย่างไร
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับคำ
เมื่อนอนอยู่บนเตียง นางก็อดขบคิดไม่ได้ว่าจะเย็บถุงเท้าอะไรให้ท่านน้าฉือดี
ดูจากคนอย่างเฉิงฉือแล้ว เป็นผู้ที่เคร่งครัดยิ่งนัก ที่บอกว่าไม่ต้องปักลวดลายหรือปักขอบนั้น เกรงว่าไม่ใช่จี๋อิ๋งที่ขี้เกียจปักให้ยุ่งยาก แต่เป็นเพราะท่านน้าฉือที่ไม่ชื่นชอบเสียมากกว่า…เช่นนั้นก็ต้องเย็บให้พอดีเท้า จะได้ใส่สบาย แต่ถ้าหากจะเย็บให้พอดีเท้า ใส่ได้สบายแล้วล่ะก็ ก็ต้องวัดเท้าสักหน่อย…
คิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นนั่งพรวดขึ้นมาทันใด
นางคงจะไปวัดเท้าท่านน้าฉือไม่ได้กระมัง
เมื่อครู่ทำไมถึงได้ลืมให้จี๋อิ๋งนำถุงเท้าคู่เก่ามาเป็นตัวอย่างด้วย
ความคิดสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามา นางก็ยิ้มแห้งออกมา
ในเมื่อจี๋อิ๋งต้องการทำถุงเท้าให้ท่านน้าฉือ ก็ต้องมีขนาดเท้าของท่านน้าฉืออยู่แล้ว หนานผิงผู้เป็นบ่าวรับใช้ในเรือนท่านน้าฉือ ก็เป็นยอดฝีมือด้านกับเย็บปักมิใช่หรือ ต่อให้จี๋อิ๋งลืม หนานผิงก็น่าจะจำได้บ้างถึงจะถูก
คิดทบทวนเรื่องเหล่านี้แล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้เอนกายนอนลงใหม่
เช้าวันรุ่งขึ้น จี๋อิ๋งมาตามที่นัดหมายเอาไว้จริงๆ
นางนำเกี๊ยวกุ้งมาให้โจวเสาจิ่นด้วยสองสามเข่ง “เจ้าลองชิมดู เช้าตรู่วันนี้ได้รับกุ้งสดมาจากทางซินเฉียวจึงนำมาทำเกี๊ยว ให้ทุกคนแบ่งกันกิน” ทว่าประโยคสุดท้ายกลับเป็นการกล่าวกับซือเซียงและคนอื่นๆ
ซือเซียงวางตัวไม่ถูกและมองโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเห็นว่าเกี๊ยวกุ้งนั้นใสและมันวาว มองเห็นสีแดงของกุ้งผ่านแป้งห่ออยู่รางๆ น่าทานยิ่งนัก จึงบอกซือเซียงว่า “จัดใส่จานแล้วนำไปให้ทุกคนได้ชิมดูหน่อย”
ซือเซียงยกเข่งเกี๊ยวกุ้งถอยออกไป
แววตาของจี๋อิ๋งมีรอยยิ้มบางๆ สายหนึ่งปรากฏออกมา
ีสาวใช้ที่ตำหนิ่าวางจนโค้งมนนายใดนำนิด………………………………………………………………………………