ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 121 ทะเลาะ

ชาติก่อนดูเหมือนกับว่าจวนหลักกับจวนรองจะไม่ได้ตาต่อตาฟันต่อฟันกันขนาดนี้…หรือบางทีอาจจะมี แต่เพราะตนไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยไม่รู้ก็เป็นได้

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง วันต่อมายามเจอจี๋อิ๋ง จึงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายนางขึ้นมาก่อน ถามนางว่า “ทานมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง วันนี้ห้องครัวของพวกข้าทำขนมวุ้นใสกับเต้าฮวยทรงเครื่อง ทั้งสองอย่างล้วนเป็นเมนูที่ข้าชอบทาน เจ้าอยากทานอะไรเพิ่มสักหน่อยหรือไม่”

 

 

“ก็ดีเหมือนกัน!” จี๋อิ๋งกล่าว “เจ้าให้คนนำขนมวุ้นใสสองชิ้นกับเต้าฮวยทรงเครื่องอีกครึ่งถ้วยมาให้ข้าก็พอ เพราะข้าทานข้าวมาแล้ว” ยังบ่นงึมงำอีกว่า “หากรู้เช่นนี้แต่แรกจะไม่อยู่ทานมื้อเช้าที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย” ขณะที่นางกล่าว ก็ชี้กล่องกระดาษที่อยู่ในมือพลางกล่าว “นี่คือขนมปุยเมฆแผ่นกับขนมกรุบกรอบจากเมืองจิงโจว เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่”

 

 

ซือเซียงยิ้มตาหยีพลางรับของมา จากนั้นไปยกขนมวุ้นใสกับเต้าฮวยทรงเครื่องมาให้จี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งหยิบถุงเท้าที่ตนทำออกมา

 

 

ทำเพิ่มจากเมื่อวานไปเพียงไม่กี่ฝีเข็มเท่านั้น นอกจากนี้รอยตะเข็บยังพันกันยุ่งเหยิงไปหมด แล้วตะเข็บที่เย็บก็ไม่ใช่ตะเข็บกากบาทอีกด้วย

 

 

ชาติก่อน โจวเสาจิ่นเองก็เคยสอนเด็กสาวในหมู่บ้านจับเข็มและด้ายมาก่อนเหมือนกัน มีเด็กสาวบางคนไม่รู้วิธีจับเข็มและด้ายจริงๆ ต้องสอนเป็นเวลานานถึงจะได้ผลบ้างเล็กน้อย และก็มีเด็กสาวบางคนที่ไม่ว่าจะสอนอย่างไรก็ไม่สอนไม่ได้เลย แต่เด็กสาวเหล่านี้กลับทำเรื่องอื่นๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญและดีเยี่ยม

 

 

บางทีจี๋อิ๋งก็อาจจะเป็นคนประเภทนั้นเหมือนกัน

 

 

จี๋อิ๋งเฉลียวฉลาดขนาดนี้ หากรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทดังกล่าว ย่อมต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นจึงไม่อาจต่อว่านางได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรๆ ข้าค่อยสอนเจ้าใหม่ก็แล้วกัน เจ้าค่อยๆ เรียนรู้ไป อีกไม่นานก็คงจะฝึกจนทำได้เอง”

 

 

จี๋อิ๋งพยักหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นค่อยๆ รื้อส่วนที่นางเย็บมาก่อนหน้านี้ออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นสอนนางใหม่อีกครั้งอย่างใกล้ชิด นั่งมองนางเย็บต่อไปอีกหลายฝีเข็ม

 

 

จี๋อิ๋งกล่าว “ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าเจ้าเย็บได้ดีกว่าข้า เช่นนั้นเจ้าคอยกำกับดูข้าเย็บอีกสักหลายๆ ฝีเข็มได้หรือไม่!”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มให้นางอย่างใจดี หยิบถุงเท้าที่ตัดเรียบร้อยแล้วขึ้นมา จากนั้นคอยกำกับจี๋อิ๋งไปอีกหลายฝีเข็ม

 

 

จี๋อิ๋งมองดูอย่างเอาใจใส่

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าไหนๆ ก็สนเข็มกับด้ายเอาไว้แล้ว เช่นนั้นก็เย็บให้หมดด้ายเส้นนี้ไปเลยก็แล้วกัน

 

 

เข็มและด้ายในมือของนางโบยบินและกวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็เย็บถุงเท้าส่วนพื้นจนเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว

 

 

ส่วนจี๋อิ๋งก็นั่งอยู่ตรงนั้นค่อยๆ เย็บตามที่นางบอก

 

 

ซือเซียงยกขนมวุ้นใสกับเต้าฮวยทรงเครื่องเข้ามา

 

 

โจวเสาจิ่นบอกให้จี๋อิ๋งทานอาหารก่อน

 

 

จี๋อิ๋งเองก็ไม่ได้เกรงใจ ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นนั่งลงมาทานอาหาร

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งเอ้อระเหยอยู่ข้างๆ จนเย็บถุงเท้าข้างนั้นเสร็จเรียบร้อย

 

 

จี๋อิ๋งวางชามลง กล่าวขึ้นว่า “ไอโหยว ทานมากเกินไปแล้ว ข้าต้องไปย่อยอาหารเสียหน่อย”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางหยิบผ้าโพกศีรษะขึ้นมาปัก

 

 

ส่วนจี๋อิ๋งเดินย่อยอาหารอยู่ในห้อง

 

 

ชุนหว่านวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง คุณหนูเจียมาเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงเจียมาที่นี่เกือบจะทุกวัน โจวเสาจิ่นจึงชินเสียแล้วกับการมาโดยไม่ได้เชิญของนาง กล่าวกับชุนหว่านว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด!”

 

 

ชุนหว่านขานตอบแล้วเดินออกไป

 

 

จี๋อิ๋งยกคิ้วขึ้น ถามโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูเจียจากจวนสามหรือ”

 

 

“ใช่!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”

 

 

“ไม่รู้จัก!” จี๋อิ๋งรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “แต่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้มาบ้าง” กล่าวด้วยท่าทางดูแคลนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร นึกถึงภาพตอนที่จี๋อิ๋งพบตนเป็นครั้งแรก

 

 

จี๋อิ๋งล้วนปฏิบัติต่อคนส่วนใหญ่ด้วยท่าทางดูแคลนเช่นนี้อยู่แล้วหรือว่าเป็นเพราะว่าเฉิงเจียเป็นคนจากจวนสามก็เลยแสดงท่าทางดูแคลนกันแน่

 

 

แต่เมื่อเฉิงเจียได้พบกับจี๋อิ๋งกลับประหลาดใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขึ้นว่า “นี่คือผู้ใดหรือ ทำไมถึงได้งดงามขนาดนี้”

 

 

สีหน้าของจี๋อิ๋งเคร่งขึ้น คิ้วขมวดมุ่น

 

 

โจวเสาจิ่นรีบแนะนำจี๋อิ๋งให้เฉิงเจียรู้จัก

 

 

จี๋อิ๋งหันไปพยักหน้าให้เฉิงเจียอย่างถือตัวเล็กน้อย

 

 

เฉิงเจียไม่ถือสาอะไร

 

 

นางมองสำรวจจี๋อิ๋งขึ้นๆ ลงๆ สำรวจไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนจากเรือนของท่านอาฉือ แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน แล้วเจ้ามาเรียนทำงานเย็บปักกับเสาจิ่นได้อย่างไร สร้อยข้อมือเส้นนี้ของเจ้างดงามยิ่งนัก เป็นหินโมราใช่หรือไม่ สร้อยข้อมือหินโมราที่น้ำงามขนาดนี้พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก!”

 

 

มีด้วยหรือที่พบหน้ากันเป็นครั้งแรกแต่กลับพูดคุยด้วยอย่างเป็นกันเองและไม่ระวังเช่นนี้?

 

 

โจวเสาจิ่นหวังให้ตนสามารถไปปิดปากเฉิงเจียเอาไว้ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”

 

 

เฉิงเจียงเปล่งเสียง “อา” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วดึงโจวเสาจิ่นไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “หลังจากผ่านพ้นวันที่เก้าเดือนเก้าไปแล้ว ท่านแม่ของข้าอยากให้ข้าไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอัน ข้าอยากมาถามว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ปัจจุบันที่ห้องศึกษาจิ้งอันมีนักเรียนเพียงสองคนคือนางกับโจวเสาจิ่น หากโจวเสาจิ่นไม่ไป นางเพียงคนเดียวจะไปสนุกอะไร

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “เรื่องนี้ข้าต้องไปปรึกษาท่านยายและท่านป้าใหญ่ดูก่อน”

 

 

เฉิงเจียพยักหน้า ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากแต่งงานออกเรือนไปเสีย จะได้ไม่ต้องถูกท่านแม่ของข้าคอยมาบงการซ้ายขวาอยู่ทุกวันเช่นนี้”

 

 

นี่มันคำพูดไร้สาระอะไรกัน

 

 

โจวเสาจิ่นจ้องนางเขม็งไปครั้งหนึ่ง

 

 

เฉิงเจียกลับไม่ใส่ใจ พลิกของที่อยู่บนโต๊ะของโจวเสาจิ่นที่อยู่ใกล้มือไปมา พลางกล่าวขึ้นว่า “นี่เจ้ากำลังทำถุงเท้าให้ผู้ใดอยู่หรือ เหตุใดถึงทำมากมายขนาดนี้” ขณะที่นางกล่าว ยังหยิบถุงเท้าที่โจวเสาจิ่นเพิ่งทำเสร็จข้างนั้นขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจ เอามือทาบอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามลมหายใจ

 

 

เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นกล่าว “จี๋อิ๋งนำขนมปุยเมฆแผ่นกับขนมกรุบกรอบจากเมืองจิงโจวมาให้ เจ้าอยากชิมดูหรือไม่”

 

 

“ไม่ล่ะ ข้าเพิ่งดื่มต้มเม็ดบัวไปชามหนึ่งก่อนออกมา” เฉิงเจียกล่าว “รอให้ข้าหิวเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้คะยั้นคะยอนางอีก

 

 

ชุนหว่านนำน้ำชาและของทานเล่นเข้ามา เฉิงเจียเห็นนางยังมีงานเย็บปักต้องทำอีก พอดื่มชาเสร็จแล้ว คุยกันอีกไม่กี่ประโยค ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

จี๋อิ๋งเข้ามานั่งทำงานเย็บปักกับโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นกลับเงียบขรึมลง

 

 

นางทำถุงเท้าอีกข้างจนเสร็จอย่างเงียบๆ แล้วนำมันไปวางไว้ด้วยกันกับอีกห้าข้างที่เหลือ กล่าวกับจี๋อิ๋งว่า “ยังเหลือถุงเท้าอีกหนึ่งคู่ เจ้าค่อยๆ ทำไปเองก็แล้ว ย่อมสามารถทำจนเสร็จได้อย่างแน่นอน”

 

 

จี๋อิ๋งมองนาง แววตาไหวระรัก

 

 

โจวเสาจิ่นหยิบผ้าโพกศีรษะที่จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมา ก้มศีรษะลง แล้วปักลายต่อไปอย่างเงียบๆ

 

 

จี๋อิ๋งกัดริมฝีปาก มองโจวเสาจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าโจวเสาจิ่นไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก ถึงได้เริ่มเย็บถุงเท้าตามที่โจวเสาจิ่นเคยสอนเอาไว้

 

 

ภายในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงสนเข็มกับเสียงกางผ้าของโจวเสาจิ่นเท่านั้น ยิ่งอยู่ภายในห้องก็ยิ่งเงียบสงัดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนรู้สึกหดหู่ไปด้วยเล็กน้อย

 

 

จี๋อิ๋งโยนถุงเท้าในมือลงบนโต๊ะดัง พึ่บ เสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “ข้ายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ข้าขอโทษเจ้า ข้าพนันกับหนานผิงเอาไว้ว่า หากข้าสามารถทำถุงเท้าสี่คู่ให้ท่านน้าฉือของเจ้าได้ นางจะไม่แสดงท่าทีติเตียนข้าอีก เดิมทีข้าเองก็คิดจะบอกเจ้าตามตรง แต่ข้ารู้กฎระเบียบของตระกูลเฉิงดี เจ้าเป็นเด็กสาวในห้องหอผู้หนึ่ง หากต้องทำถุงเท้าให้บุรุษ ต่อให้เป็นท่านน้าของเจ้า ข้าคิดว่าอย่างไรเจ้าก็คงไม่ยอมตอบตกลงเป็นแน่ ดังนั้นข้าก็เลยออกอุบายนี้ขึ้นมา…”

 

 

“เจ้าไม่ต้องมาอธิบายให้ข้าฟัง” โจวเสาจิ่นยังคงก้มหน้าอยู่เช่นเดิม จี๋อิ๋งไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่กลับฟังจากน้ำเสียงของนางได้ว่าหดหู่ยิ่งนัก เสมือนกับผ่านการร้องไห้มาก่อน “นี่เป็นเรื่องของเจ้ากับแม่นางหนานผิง สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการถูกผู้อื่นหลอก เชิญเจ้ากลับออกไปได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องมาที่เรือนหว่านเซียงอีก!”

 

 

จี๋อิ๋งรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก พึมพำกล่าวขอโทษนาง ถามหยั่งเชิงอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้า…เจ้าไม่ได้ร้องไห้ใช่หรือไม่”

 

 

“ข้าเปล่า!” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา ถึงแม้นัยน์ตาจะแดงก่ำ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลลงมา “คนเช่นเจ้า ไม่ควรค่าให้ข้าต้องร้องไห้”

 

 

ใบหน้าของจี๋อิ๋งประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวก็ขาวซีด พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าเพียงอยากจะเอาชนะหนานผิงเท่านั้น…”

 

 

“ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร แต่เรื่องที่เจ้ามีใจหลอกลวงข้านั้นก็เป็นเรื่องจริง” โจวเสาจิ่นลุกขึ้นยืน มองนางอย่างเย็นชา “เจ้าไปเสีย! ข้าไม่มีสหายเช่นเจ้า”

 

 

“สหายหรือ” จี๋อิ๋งมองโจวเสาจิ่นอย่างประหลาดใจ

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปเรียกซือเซียงเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าส่งแม่นางจี๋อิ๋งออกไปจากเรือนหว่านเซียงเสีย” กล่าวจบ ก็เดินเข้าห้องชั้นในไปโดยที่ไม่หันกลับมาอีก ปิดประตูแน่น แล้วล้มตัวลงบนเตียง

 

 

เหตุใดนางถึงได้โง่งมขนาดนี้

 

 

เชื่อจี๋อิ๋งอย่างง่ายดายขนาดนั้นไปได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดใจประหนึ่งถูกมีดคว้าน

 

 

ในสายตาของท่านน้าฉือ นางก็คงเป็นเพียงคนโง่ผู้หนึ่งที่ถูกหลอกด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคด้วยใช่หรือไม่

 

 

ไม่เช่นนั้นสาวใช้ข้างกายของเขาจะปฏิบัติกับตนเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง

 

 

เป็นจี๋อิ๋งที่หลอกลวงนาง แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านน้าฉือด้วย ตนไม่อาจจะไปโกรธหรือกล่าวโทษท่านน้าฉือเหตุเพราะตัวเองไปเชื่อจี๋อิ๋งอย่างง่ายดายเอง

 

 

จี๋อิ๋งดูสง่าและยโสขนาดนั้น ใครจะรู้ว่านางกลับสามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ดูคนไม่สามารถดูแต่เปลือกนอกได้เลยจริงๆ

 

 

โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก

 

 

“คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูรอง” จี๋อิ๋งทุบประตูของนาง “เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ข้าขออภัยเจ้า เจ้าอย่าโกรธข้าอีกเลย หรือไม่ เจ้าตีข้าสองครั้งก็ได้…หรืออะไรที่เจ้าคิดว่าทำให้เจ้าคลายโทสะลงได้ ข้าจะยอมให้เจ้าลงโทษได้ทุกอย่าง…คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูรอง…”

 

 

นางส่งเสียงดังจนโจวเสาจิ่นรู้สึกปวดศีรษะไปหมด นางตะโกนใส่ประตูเสียงดังว่า “เพียงเจ้าไม่มาให้ข้าเห็นหน้าอีก โทสะของข้าก็จะคลายลงไปเอง”

 

 

เสียงทุบประตูพลันเงียบลงในทันใด

 

 

โจวเสาจิ่นนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

 

ไม่นาน ซือเซียงก็มากระซิบเสียงเบาอยู่นอกประตูว่า “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋งไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“อ่อ!” โจวเสาจิ่นเอนตัวอยู่บนเตียง กระดูกของนางราวกับร้าวไปทั้งตัว ไม่อยากจะลุกขึ้นมา กระทั่งซือเซียงเรียกให้นางลุกขึ้นมาทานมื้อกลางวัน นางถึงได้ล้างหน้าและแต่งตัวอย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปที่เรือนเจียซู่

 

 

กระทั่งนางกลับมาจากเรือนหานปี้ซานแล้วถึงได้พบว่าจี๋อิ๋งไม่ได้นำถุงเท้าสามคู่ที่ทำให้เฉิงฉือกลับไปด้วย

 

 

ลำแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินสาดส่องอยู่บนถุงเท้าสีขาว ทิ้งสีสันสว่างไสวเอาไว้

 

 

นางค่อยๆ นั่งลงตรงหน้าโต๊ะอย่างช้าๆ สวมปลอกนิ้ว แล้วนำถุงเท้าที่เหลืออีกหกคู่มาทำให้เสร็จ หลังจากนั้นก็ขยี้ดวงตาที่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยพลางสั่งซือเซียงว่า “พรุ่งนี้เจ้าช่วยนำไปส่งให้แม่นางจี๋อิ๋งด้วย บอกนางว่า ข้าไม่ได้โกรธนางแล้ว แต่ต่อไปก็ขอให้นางทำเสมือนกับว่าไม่รู้จักข้า”

 

 

ซือเซียงพยักหน้าอย่างหดหู่ใจ

 

 

โจวเสาจิ่นเข้านอนไปตั้งแต่หัวค่ำ

 

 

แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ซือเซียงกลับมาบอกนางด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า “แม่นางจี๋อิ๋งมาเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

 

 

ซือเซียงกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ข้ายังไม่ทันได้ส่งถุงเท้าไปให้ แม่นางจี๋อิ๋งกลับมาถึงเสียก่อนแล้ว นางนำของกินมาด้วยมากมาย กล่าวว่าต้องการมาขอโทษท่านเจ้าค่ะ ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ยอมไป ข้าก็ห้ามนางเอาไว้ไม่อยู่…นางนั่งรอท่านตื่นอยู่ในห้องโถงเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นโกรธจนแทบจะทนไม่ได้

 

 

นี่นางพยายามจะชักจูงตนเพื่อจะเอาเปรียบตนอีกอย่างนั้นหรือ ใช้ไม้อ่อนมาตอแยคน!

 

 

โจวเสาจิ่นพุ่งออกไปอย่างกราดเกรี้ยว เพียงเหลือบตาขึ้นก็เห็นจี๋อิ๋งที่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะกับขนมต่างๆ ที่วางอยู่เต็มโต๊ะ

 

 

“คุณหนูรอง” จี๋อิ๋งรีบยืนขึ้นมาในทันที กล่าวขึ้นว่า “ข้าขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วย ข้าคิดมาแล้วทั้งคืน ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องขอให้เจ้ายกโทษให้ด้วย…”

 

 

“ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว!” โจวเสาจิ่นพูดตัดบทคำพูดของจี๋อิ๋ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว!”

 

 

“คุณหนูรอง…” จี๋อิ๋งขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่ค่อยยินดีนัก แฝงความเย็นชาบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก

 

 

นางลืมไปได้อย่างไรว่าจี๋อิ๋งเป็นคนประเภทที่ไม่กลัวแม้กระทั่งเฉิงสวี่ แล้วจะกลัวนางได้อย่างไร

 

 

แต่ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ จี๋อิ๋งหลุบตาลงพลางกล่าวกับนางประโยคหนึ่งว่า “ขอโทษ” จากนั้นก็เดินจากไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง

 

 

………………………………………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset