จี๋อิ๋งไม่ตอบอะไร
โจวเสาจิ่นเบิกตาโตอย่างตกใจ
หรือว่าแม้แต่เขียนจดหมายก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการกักขังไปแล้วหรือไร
เหตุใดท่านน้าฉือต้องปฏิบัติกับครอบครัวของจี๋อิ๋งเช่นนี้ด้วย
นางรู้สึกได้รางๆ ว่าคำตอบนี้อาจกระทบต่อมิตรภาพระหว่างนางกับจี๋อิ๋งได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ข้าหมักเหล้าดอกกุ้ยฮวาเอาไว้หลายไห หลังวันที่เก้าเป็นต้นไปก็เปิดฝาดื่มได้แล้ว เจ้าเอากลับไปสักหน่อยดีหรือไม่ ฝังเอาไว้ใต้ต้นไม้ ช่วงรับประทานปูจะได้เอาออกมาดื่ม ช่างเข้ากันยิ่งนัก”
จี๋อิ๋งไม่ได้เกรงใจอีก นางนำกลับไปด้วยสองไห
โจวเสาจิ่นสนทนาเรื่องโน้นเรื่องนี้กับจี๋อิ๋งอยู่พักใหญ่ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาก กระทั่งไปที่เรือนหานปี้ซาน เห็นปี้อวี้กำลังคอยกำกับสั่งการบ่าวรับใช้หลายคนให้ช่วยกันเปลี่ยนของตกแต่งต่างๆ ของห้องโถงหลักอยู่ นางจึงวิ่งเข้าไปดูด้วยสักหน่อย
ห้องโถงกลางที่เดิมทีแขวนคำว่า ‘ทวยเทพชี้ทาง’ เอาไว้ก็เปลี่ยนเป็นแขวน ‘สุขสันต์วันคล้ายวันเกิด’ แทน บนโต๊ะวางดอกไม้ที่เดิมทีวางเฟิร์นหน่อไม้ฝรั่งประดับเอาไว้ก็เปลี่ยนเป็นวางต้นว่านเขียวหมื่นปีแทน เบาะรองนั่งลายเมฆมงคลก็ถูกแทนที่ด้วยเบาะรองนั่งลายตัวอักษรความสุขและอายุยืนยาวทั้งห้า…กล่าวคือ เครื่องตกแต่งทุกอย่างล้วนถูกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความหมายของ ‘การมีอายุยืนยาว’ ทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามปี้อวี้ว่า “ถึงเวลานั้นจะใช้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่กล่าวคำอวยพรแด่ฮูหยินผู้เฒ่าหรือ”
“อื้อ!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่านางอายุมากแล้ว หากต้องไปๆ มาๆ ไม่เพียงสร้างความลำบากกายให้กับตัวนางเองแต่ยังสร้างความลำบากกายให้คนที่มาอวยพรนางด้วย ยังบอกอีกว่าเป็นเพียงวันเกิดธรรมดาไม่ใช่วันครบรอบมหาวันเกิด[1] จึงยังไม่เชิญนายท่านผู้เฒ่าที่ยังมีชีวิตอยู่ของครอบครัวลูกศิษย์ลูกหาหรือสหายเก่า แต่จะเชิญเพียงบรรดาสตรีจากไม่กี่ครอบครัวที่ไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดในยามปกติเท่านั้น หลังจากที่ผู้อาวุโสอยู่คำนับนางที่นี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปกินดื่ม ชมงิ้ว และเล่นไพ่ต่างๆ ที่เรือนอวิ้นเจิน เหลือสะใภ้เอาไว้เพียงไม่กี่คนอยู่สนทนาเป็นเพื่อนนางที่นี่ก็พอเจ้าค่ะ”
“ช่างเรียบง่ายยิ่งนัก!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ
แม้แต่ตอนงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนจวนสี่ ก็ยังคึกคักมากกว่านี้อยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำไป
ปี้อวี้กล่าวขึ้นอย่างมีความนัยว่า “เมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ที่เคยเข้าวังไปคำนับไทเฮาและฮองเฮามาก่อน ต่อให้เป็นงานที่หรูหรายิ่งกว่านี้ แต่จะเปรียบกับงานเลี้ยงในวังได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ที่เคยปีนขึ้นภูเขาสูงใหญ่อย่างเขาไท่ซานมาก่อนย่อมเห็นภูเขาที่อยู่เบื้องล่างอื่นๆ กลายเป็นสิ่งเล็กน้อยใช่หรือไม่”
“เป็นไปตามหลักความจริงข้อนั้นเลยเจ้าค่ะ!” ขณะที่ปี้อวี้กับนางกำลังคุยเล่นกันอยู่นั้น หยวนซื่อก็เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวรับใช้หลายคนเดินห้อมล้อมตามมาด้วย
“เสาจิ่น!” หยวนซื่อกล่าวทักทายนางอย่างยิ้มแย้มมาจากไกลๆ
เนื่องจากอยู่ห่างไกล หยวนซื่อจึงให้คนนำของขวัญสำหรับใช้ในพิธีอาบน้ำครบรอบสามวันของทารกแรกเกิดไปให้เฉิงเซียวที่ถงเซียงตั้งแต่กลางเดือนแปดแล้ว เหลือเพียงรอวันให้เฉิงเซียงคลอดบุตรเท่านั้น และเช้าวันนี้นางก็ได้รับข่าวจากหมัวมัวที่มาแจ้งข่าวว่า ผ้าคลุมเด็กทารกสำหรับมอบให้บุตรของเฉิงเซียงที่ปักตามลวดลายของโจวเสาจิ่นนั้นไม่เพียงทำให้บรรดาสตรีที่ตระกูลหยวนกล่าวชื่นชมกันไม่ขาดปากเท่านั้น นอกจากนี้ในวันพิธีอาบน้ำครบรอบสามวันของทารกแรกเกิดนั้น แม่สามีของเฉิงเซียวยังเลือกผ้าผืนนั้นไปใช้สำหรับคลุมทารกด้วยตัวเอง ทำให้สิ่งของที่ตระกูลเฉิงส่งไปให้นั้นเป็นที่รู้จักและถูกกล่าวถึง
ใบหน้าของหยวนซื่อจึงยิ่งสดใสและเบิกบาน
นางหมายจะไปดึงมือของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกลับยกมือขึ้นสางผม
หยวนซื่อไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยิ้มพลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง กล่าวขึ้นว่า “ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้ามาก ให้พี่สาวเซียวของเจ้าได้มีหน้ามีตา พี่สาวเซียวของเจ้าตั้งใจเขียนจดหมายกลับมาให้เป็นการเฉพาะ ให้ข้ามากล่าวขอบคุณเจ้า นอกจากนี้ยังให้ป้ารับใช้ที่นำของขวัญไปมอบให้นั้นนำของประดับตกแต่งกลับมาให้เจ้าด้วย ให้เจ้าอย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด”
ของขวัญนั้นไม่ต้องก็ได้ ขอเพียงอย่ามารบกวนข้าให้ช่วยออกแบบลวดลายให้พวกเจ้าอีกก็พอ
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์และงดงามของนางดูประหม่าและขี้อายเล็กน้อย
หยวนซื่อหัวเราะร่า ต้องการจะดึงนางไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
ปี้อวี้รีบกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไปหานายท่านสี่ ต้องรออีกสักครู่ถึงจะกลับมา เชิญฮูหยินเข้าไปดื่มชาสักถ้วยก่อนเจ้าค่ะ!”
หยวนซื่อยิ้มพลางพยักหน้า
โจวเสาจิ่นถือโอกาสกล่าวอำลาหยวนซื่อแล้วกลับไปที่ห้องพระ
นางถามเสี่ยวถานว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย”
“เป็นเพราะว่าใกล้ถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ!” เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ “นายท่านใหญ่และนายท่านรองล้วนไม่อยู่บ้าน ฉะนั้นในงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า จึงปรารถนาให้นายท่านสี่มาร่วมงานด้วยเจ้าค่ะ!”
“ที่ผ่านมานายท่านสี่ไม่เคยเข้าร่วมงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเลยหรือ” โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
“ข้าได้ยินพวกพี่สาวปี้อวี้พูดกันว่า ดูเหมือนหลายปีก่อนหน้านี้ล้วนไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวถานกล่าว “กล่าวว่าเป็นเพราะมีเรื่องที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ หลายปีนั้นฮูหยินผู้เฒ่าล้วนไม่มีความสุขนัก และเพราะเรื่องนี้ มีอยู่ปีหนึ่งที่นายท่านใหญ่เร่งกลับมาจากจิงเฉิงเพื่อร่วมงานวันเกิดสักครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขได้…เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยด้วยตัวเอง นายท่านสี่ถึงได้มาร่วมงานอวยพรวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้สองปีมานี้เมื่อใกล้ถึงวันเกิด ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะไปหานายท่านสี่เจ้าค่ะ”
นี่…นี่ออกจะแปลกเกินไปแล้ว!
แต่โจวเสาจิ่นก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไร ตอนที่ไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงลอบสังเกตสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยความระมัดระวัง แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีสีหน้าที่เคร่งขรึมยิ่งนัก นางจึงจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย
วันต่อมานางจึงถามจี๋อิ๋งว่า “ท่านน้าฉือจะเข้าร่วมงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”
“ในส่วนของงานเลี้ยงนั้นข้าก็ไม่ทราบ” จี๋อิ๋งกล่าว “แต่ต้องไปร่วมกล่าวอวยพรด้วยอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วพวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ บ้างเลยหรือ”
“มีเรื่องอะไรให้ต้องรู้สึกว่ามันแปลกๆ หรือ” จี๋อิ๋งเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “ทั้งจวนมีแต่สตรี เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียว ถ้ากล่าวอวยพรเสร็จแล้วไม่กลับไป จะให้เขาอยู่ที่นั่นเพื่อสนทนากับบรรดาป้าๆ และพี่สะใภ้หรืออย่างไร”
คำพูดนี้ก็ออกจะเสียดแทงมากเกินไป
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าต่อไปจะถามเรื่องเช่นนี้กับจี๋อิ๋งให้น้อยลงสักหน่อย
***
และแล้ววันที่เก้าก็มาถึง โจวเสาจิ่นติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน และโจวชูจิ่นไปที่เรือนหานปี้ซานตั้งแต่เช้าตรู่
ไม่คิดว่าจะมีคนมาถึงเช้ากว่าพวกนางเสียอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าคนหนึ่งมาพร้อมกับฮูหยินอายุประมาณสี่สิบปีสองคน สะใภ้ที่ยังอยู่ในวัยแรกแย้มอีกสี่คน และบุตรสาวอายุระหว่างสิบสองสิบสามปีถึงสิบเจ็ดสิบแปดปีอีกประมาณเจ็ดถึงแปดคน ดูจากท่าทาง สงบเสงี่ยมและสงวนท่าที ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน แต่เมื่อดูการแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว กลับธรรมดาสามัญยิ่งนัก ดูไม่เหมือนกับบรรดาสตรีจากตระกูลผู้มีชื่อเสียงเลย
โจวเสาจิ่นไม่เคยเจอมาก่อนแม้สักคนเดียว แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับรู้จักพวกนาง ยิ้มพลางรีบก้าวออกไปกล่าวทักทายอีกฝ่าย นางถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วคนเหล่านี้ก็คือคนจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวคือเป็นสตรีจากตระกูลกัวที่ซอยสือโถวนั่นเอง
ผู้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าคือน้องสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่จากท่าทางแล้วดูเหมือนกับว่ามีอายุมากกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลายปีเสียอีก รอยยิ้มใจดี ท่าทางการพูดจาสง่างาม แค่ฟังก็รู้ได้แล้วว่าเป็นสตรีที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี เวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูด สตรีคนอื่นๆ ของตระกูลกัวทั้งหมดจะตั้งใจฟังและยิ้มน้อยๆ ตาม ช่างมีระเบียบวินัยยิ่งนัก
คนที่มาถึงถัดจากพวกโจวเสาจิ่นเป็นสตรีจากตระกูลกู้
พวกนางมากันประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดคน นายหญิงผู้เฒ่ากู้ไม่ได้มาด้วย คนที่นำมาในวันนี้คือฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ ซึ่งสะใภ้กู้ที่เจ็ดกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย
สตรีจากตระกูลกู้และตระกูลกัวสนิทสนมกันยิ่งนัก หลังจากที่ทำความเคารพกันแล้ว ต่างก็ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบของกันและกันขึ้นมา
สะใภ้กู้ที่เจ็ดหันไปยิ้มพลางพยักหน้าให้โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่น ส่วนกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้วิ่งเข้ามาหาพวกนาง หัวเราะร่าพลางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่น
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คนจากจวนสามก็มาถึง
ภายในห้องจึงมีแต่เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เพียงมองมาเฉิงเจียก็เห็นโจวเสาจิ่นกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ หลังจากที่ทำความเคารพผู้อาวุโสเสร็จเรียบร้อยแล้วก็วิ่งมาทางโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็ว
“กูที่สิบเจ็ด เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไรหรือ” นางดึงแขนของกูที่สิบเจ็ดเอาไว้อย่างกระตือรือร้น “ประเดี๋ยวตอนเริ่มงานเลี้ยงพวกเรามานั่งด้วยกันเถิด”
“ได้สิ!” กูที่สิบเจ็ดขานตอบอย่างยินดี
มีคนมาเพิ่มอีก
ภายในห้องจึงแออัดขึ้นมาเล็กน้อย
มามาผู้เป็นแม่บ้านจึงเชิญฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายไปดื่มชาที่ห้องข้างด้วยรอยยิ้มตาหยี และปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงไม่กี่คนอยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นี่
เฉิงเจียรบเร้าให้โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ไปคุยกันในสวน “ประเดี๋ยวคนที่มาก็จะมากยิ่งขึ้น คงได้โค้งคำนับกันจนเอวเคล็ดเป็นแน่”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าเป็นแขกย่อมต้องแล้วแต่เจ้าบ้าน”
โจวเสาจิ่นไม่ชอบการเข้าสังคมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เพียงไม่ปฏิเสธ ยังชี้ไปที่กอไผ่กอหนึ่งที่อยู่ในสวน “พวกเราไปคุยที่นั่นกันเถอะ ด้านหลังกอไผ่มีม้านั่งหินสี่เหลี่ยมอยู่ตัวหนึ่ง”
ทว่าโจวชูจิ่นไม่อาจทิ้งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอาไว้ที่ห้องข้างผู้เดียวได้ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าไปคุยกันตรงนั้นก็แล้วกัน แต่อย่าได้วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว ระวังเมื่อถึงเวลากล่าวอวยพรแล้วจะหาพวกเจ้าไม่เจอ” เมื่อนึกถึงเฉิงเจียที่เป็นคนที่วางใจไม่ได้ผู้หนึ่งแล้ว จึงกล่าวกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ว่า “ข้าฝากเสาจิ่นไว้กับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง ส่วนกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ขานรับปากไม่หยุดว่า “ย่อมได้ๆ”
โจวชูจิ่นถึงวางใจลงและเดินไปที่ห้องข้าง
ทั้งสามคนหัวเราะร่าพลางเดินไปยังด้านหลังของกอไผ่
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ปี้อวี้และคนอื่นๆ มักจะมานั่งพักผ่อนกัน ม้านั่งหินจึงสะอาดเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ จะได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด ฉือเซียงก็หอบเบาะรองนั่งพลางวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ “คุณหนูรอง คุณหนูใหญ่ให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ บอกว่าอากาศเริ่มเย็นขึ้น ไม่เหมือนช่วงฤดูร้อนแล้ว ให้ใช้เบาะรองนั่งจะได้อุ่นขึ้นสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก
ภายในใจของโจวเสาจิ่นราวกับมีความอบอุ่นไหลผ่าน รีบรับเบาะรองนั่งมา
เฉิงเจียกล่าวขึ้นว่า “ยังคงเป็นพี่ชูจิ่นที่ดีที่สุด!”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ย้ำฉือเซียงให้ช่วยกล่าวขอบคุณโจวชูจิ่นแทนนางด้วย
ฉือเซียงรับคำ ยิ้มพลางเดินจากไป
เฉิงเจียและกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้พูดถึงความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ของโจวชูจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหัวข้อสนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของอาจูที่ไปลอยโคมไฟลอยน้ำด้วยกันเมื่อคราวก่อน แล้วก็เปลี่ยนจากเรื่องของอาจูไปเป็นเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกง…ยิ่งพูดหัวข้อสนทนาก็ยิ่งไกลออกไป สุดท้ายก็พูดคุยถึงเรื่องที่บุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวหย่าร้างแล้วพาบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งกลับมาอยู่ที่ตระกูลเดิมหรือจวนดอกเหมยที่ถนนกวนเจียขึ้นมา “กล่าวกันว่าเป็นเพราะบุตรเขยคนโตของตระกูลหลิวไปหลงอนุจนละเลยภรรยา บุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวไม่ยินยอม นายท่านของตระกูลหลิวหลายท่านพาคนไปทำร้ายบุตรเขยคนโตของตระกูลหลิวจนน่วมไปครั้งหนึ่ง จนบุตรเขยคนโตของตระกูลหลิวเกือบจะไม่รอดชีวิต นอกจากนี้ไม่เพียงคืนสินสอดของบุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวไปเท่านั้น ยังจ่ายเงินให้อีกหลายพันเหลี่ยง บุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวถึงได้ลงชื่อในใบหย่า”
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!
โจวเสาจิ่นฟังอย่างมีอรรถรสยิ่งนัก
ทันใดนั้นก็มีเสียงของป้ารับใช้ดังเข้ามาจากด้านนอกว่า “นายท่านสี่กับคุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
ภายในสวนก็มีเสียงดังอึกทึกขึ้นมาครั้งหนึ่ง
อาจจะเป็นเสียงของบรรดาสตรีทั้งหลายที่เร่งปลีกตัวออกไป
โจวเสาจิ่นนึกขึ้นมาได้ว่า นอกจากพวกนางแล้ว ก็ยังมีสตรีสองคนบ้างสามคนบ้างยืนคุยกันอยู่ตรงบริเวณระเบียงทางเดินและภายในสวนด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่นาน ภายในสวนก็เงียบเชียบขึ้นมา
โจวเสาจิ่นยื่นศีรษะออกไป มองลอดป่าไผ่ไปเห็นเฉิงฉือกับเฉิงสวี่กำลังเดินเข้ามา
ดูไปแล้วเฉิงฉือสูงกว่าเฉิงสวี่เล็กน้อย สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินไร้ลวดลายตัวหนึ่ง บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยเข็มขัดผ้าสีน้ำเงินเข้ม ด้านขวาห้อยด้วยถุงหอมสีน้ำเงินครามไร้ลวดลาย ส่วนด้านซ้ายห้อยตราประทับเล็กๆ หนึ่งชิ้น มือข้างหนึ่งพาดอยู่บริเวณเอวด้านหลัง เดินเข้ามาด้วยอิริยาบถสบายๆ ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉย
ส่วนเฉิงสวี่รั้งอยู่ด้านหลังสองสามก้าว เขาสวมชุดจื๋อตัวสีม่วงแดงลายว่านน้ำ คาดเอวด้วยเข็มขัดผ้าไหมสีม่วง สีหน้าดูแจ่มใสร่าเริง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูราวกับแผ่นหยกเนื้อดี และจอนผมดั่งกริช
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้มองอย่างตกตะลึงพลางเปล่งเสียง “อา” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ยิ่งโตเฉิงเจียซ่านก็ยิ่งดูหล่อเหลา”
ทว่าสายตาของโจวเสาจิ่นกลับตกอยู่บนร่างของเฉิงฉือ
เฉิงฉือไม่ได้สวมชุดเต้าเผา…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เขาจะไม่ให้ความสำคัญกับงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างที่พวกเสี่ยวถานเขาพูดกัน
เฉิงเจียกลับเอนตัวไปพิงหัวไหล่ของทั้งสองเอาไว้พลางกล่าวพึมพำว่า “มีอะไรให้ดูหล่อเหลาหรือ! ไม่ใช่ว่าก็มีดวงตาสองดวงและจมูกอีกหนึ่งหรืออย่างไร”
นัยน์ตาของกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้จับจ้องอยู่ที่เฉิงสวี่ พลางกล่าวขึ้นว่า “ต่อให้มีดวงตาสองดวงและจมูกอีกหนึ่งก็ไม่เหมือนกันหรอก! ดวงตาและจมูกของเฉิงเจียซ่านดูดีกว่าของผู้อื่นมากนัก”
………………………………………………………………………..
[1] วันครบรอบมหาวันเกิด หมายถึง ครบรอบวันเกิดในรอบ 10 ปี เช่น อายุครบรอบ 50 หรือ 60 ปี เป็นต้น