ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 129 โล่กำบัง

ครั้งนี้อย่างนั้นหรือ

 

 

แสดงว่ายังมี  ครั้งก่อน  ด้วยใช่หรือไม่

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเดินออกมาเช่นนี้ ทางด้านท่านน้าฉือจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ”

 

 

“มีอะไรให้ต้องกังวลด้วยหรือ” จี๋อิ๋งไม่ค่อยยินดีนัก กล่าวขึ้นว่า “เขาเป็นถึงเฉิงจื่อชวนมิใช่หรือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เขาลำบากได้อย่างไร” จากนั้นไปดึงโจวเสาจิ่นเอาไว้ “ไปกันเถอะๆ! จะมัวยืนอยู่ที่นี่ไปทำไมกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย

 

 

จี๋อิ๋งกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจู่ๆ ก็เกิดอยากไปร่วมงานแต่งที่บ้านของสหายเก่าร่วมสำนักผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่เมืองไหลอันของนายท่านผู้เฒ่าที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ยังบอกด้วยว่าเป็นการเดินทางไกล ไม่สะดวกสบายนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ท่านน้าฉือของเจ้าไปส่งนางให้ได้ ท่านน้าฉือของเจ้าเองก็รับปาก แต่ก่อนออกเดินทางเพียงไม่นานก็บอกว่าต้องการพาข้าไปด้วยอย่างกะทันหัน ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักท่านน้าฉือของเจ้าดีเท่าตอนนี้ ยังคิดไปว่าท่านน้าฉือของเจ้าคงจะเปลี่ยนใจ ด้วยเห็นว่าข้าถูกขังอยู่ในบ้านจนตะไคร่ขึ้นหมดแล้ว ก็เลยใจอ่อน จึงตัดสินใจพาข้าออกไปข้างนอกบ้าง ตอนนั้นข้าดีใจเป็นอย่างมาก ยังทำชุดใหม่เสียหลายชุด และติดตามเขาไปที่ไหลอันด้วยอย่างดีอกดีใจ…”

 

 

นางกล่าวถึงตรงนี้ ก็โมโหจนหน้าอกหอบหายใจขึ้นๆ ลงๆ

 

 

โจวเสาจิ่นรีบถามขึ้นว่า “แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”

 

 

“ใครจะกล้ารังแกข้า!” จี๋อิ๋งสบถออกมาเสียงหนึ่ง พร้อมพ่นคำผรุสวาทออกมาด้วยอีกชุดหนึ่ง กล่าวเสียงรอดไรฟันว่า “ผู้คนต่างคิดว่าข้าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านน้าฉือของเจ้า!”

 

 

แล้วเจ้าไม่ใช่หรือ

 

 

โจวเสาจิ่นเกือบจะโพล่งออกไป

 

 

นางรีบระงับปากเอาไว้

 

 

นึกถึงที่เคยเคลือบแคลงสงสัยในตัวจี๋อิ๋งเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ก็อดละอายใจขึ้นมาไม่ได้

 

 

จี๋อิ๋งเข้าใจไปว่าโจวเสาจิ่นคงจะตกใจมากเกินไป ก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร กล่าวต่อไปว่า “เจ้าว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการให้ท่านน้าฉือของเจ้าเดินทางไปไหลอันให้ได้นั้นเพื่ออะไรหรือ ก็เพื่อไปดูตัวอย่างไรเล่า ท่านน้าฉือของเจ้ารู้แจ้งอยู่แก่ใจ กลับปิดบังข้าไว้แต่เพียงผู้เดียว ข้าเปรียบดังคนโง่ผู้หนึ่งก็ไม่ปาน ถูกเขาปั่นจนหัวหมุน รู้ว่าผู้อื่นเข้าใจข้าผิดก็ไม่ช่วยอธิบายแก้ไขให้กระจ่าง ข้าช่างโชคร้ายไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริงๆ ที่ต้องมาเป็นสาวใช้ของเฉิงจื่อชวน…”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่สบายใจนัก

 

 

จี๋อิ๋งเห็นแล้วรู้สึกขอลุแก่โทษเล็กน้อย

 

 

การที่ตนมาต่อว่าน้าของนางต่อหน้าโจวเสาจิ่นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก

 

 

นางรีบตัดจบหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปที่ห้องน้ำชากันเถิด”

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปบอกสหายของข้าสักหน่อย พวกนางจะได้ไม่ต้องไปตามหาข้าเสียทั่วตอนที่ไม่พบข้า”

 

 

จี๋อิ๋งพยักหน้า

 

 

ทางด้านเวทีแสดงงิ้วก็มีเสียงดังเกรียวกราว การแสดงงิ้วเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

 

 

โชคดีที่ช่วงนี้โจวเสาจิ่นได้คลุกคลีกับบ่าวรับใช้ของเรือนหานปี้ซานจนคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี เพียงนางหมุนกายไปก็หาคนให้ช่วยนำความไปแจ้งแก่เฉิงเจียและกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ได้แล้ว จากนั้นก็ไปที่ห้องน้ำชาพร้อมกับจี๋อิ๋ง

 

 

ในห้องน้ำชามีป้ารับใช้สองคนกำลังดูแลไฟบนเตา ถึงแม้ว่าป้ารับใช้สองคนนี้จะไม่รู้จักจี๋อิ๋งแต่ก็รู้จักโจวเสาจิ่นดี จึงพากันก้าวออกมาทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้น

 

 

โจวเสาจิ่นตกรางวัลให้ทั้งสองเป็นเงินหลายร้อยเหรียญทองแดง ให้พวกนางช่วยต้มชามาให้ตนกับจี๋อิ๋งสักถ้วยหนึ่ง

 

 

ป้ารับใช้ทั้งสองคนคุ้นเคยกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสถานการณ์เป็นอย่างดี ทราบว่าวันนี้มีคุณหนูมาที่จวนมากมาย อีกทั้งยังเห็นว่าการแต่งตัวของจี๋อิ๋งนั้นไม่ธรรมดาสามัญ ยังเข้าใจไปว่าโจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งต้องการหาสถานที่หนึ่งสำหรับหลบผู้คนเพื่อมาพูดคุยกัน จึงกล่าวขอบคุณพลางยิ้มตาหยี หลังจากที่ชงชาสองถ้วยและนำของทานเล่นสองจานมาขึ้นโต๊ะให้แล้ว ก็เอ่ยขอตัวไปดูว่าทางด้านเวทีแสดงงิ้วมีผู้ใดต้องการเติมน้ำร้อนบ้างหรือไม่ แล้วก็เดินออกไปพร้อมถือกาน้ำขนาดใหญ่ไปด้วยสองกา

 

 

พอเข้ามาในห้องน้ำชา เสียงฆ้องและกลองพลันเปลี่ยนเป็นเบาลงมาก แก้วหูของโจวเสาจิ่นพลันเงียบสงบลง รู้สึกสบายใจขึ้นมาหลายส่วน

 

 

นางนั่งลงและดื่มชา

 

 

จี๋อิ๋งกลับนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย เดินไปเดินมาอยู่ในห้องน้ำชา มองสำรวจไปทั่วทั้งสี่ด้าน แล้วดึงถั่วปากอ้าถ้วยเล็กๆ ออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าเอามาจากที่ไหน

 

 

นางกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “คุณหนูรอง พวกเรามาอบถั่วปากอ้ากินกันดีหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นว่าถั่วปากอ้านั้นจะต้มด้วยเครื่องเทศห้าชนิด จึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ถั่วปากอ้านี้นำไปอบได้ด้วยหรือ”

 

 

“ทำไมจะไม่ได้” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ตอนที่พวกข้าเป็นเด็ก ท่านพ่อมักจะนำถั่วปากอ้าพร้อมด้วยเครื่องเทศห้าชนิดไปอบในเตาไฟให้พวกข้ากิน รสชาติดีกว่าถั่วปากอ้าทั่วไปมากนัก เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ถั่วปากอ้าอยู่ในเตาไฟ พอมันสุกได้ที่ก็มักจะแตกเสียงดังเป๊าะแป๊ะอยู่ในเตาและกระเด็นกระดอนออกมาจนทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยขี้เถ้า ต้องใช้เวลาและแรงไปมากกับการทำความสะอาด ทำให้ท่านแม่ของข้าโกรธเป็นอย่างมาก ไม่อนุญาตให้พวกข้าอบอะไรในเตาไฟกินอีก ทุกครั้งพ่อของข้าต้องแอบทำลับหลังแม่ของข้าถึงจะทำได้”

 

 

นางคงอยากจะหวนกลับไปหาความรู้สึกในตอนนั้นมากกว่าเพียงแค่จะอบถั่วปากอ้าเครื่องเทศห้าชนิดกินกระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้ม

 

 

จี๋อิ๋งยกหม้อทองแดงที่อยู่บนเตาลงมา ใช้ที่คีบคีบถ่านออกมาเล็กน้อย จากนั้นนำถั่วปากอ้าไปฝังเอาไว้ในขี้เถ้า ปัดขี้เถ้าในมือไปด้วยพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกครู่เดียวพวกเราก็จะมีถั่วปากอ้ากินกันแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงคำพูดของจี๋อิ๋งเมื่อครู่นี้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจพาท่านน้าฉือไปดูตัวเป็นการเฉพาะ แล้วเหตุใดถึงไม่สำเร็จหรือ”

 

 

จากมุมมองของนางแล้ว เฉิงฉือรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา นิสัยอบอุ่น อีกทั้งยังมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่กับตัว หากคิดจะแต่งงาน ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

 

จี๋อิ๋งบุ้ยปาก กล่าวขึ้นอย่างดูแคลนว่า “ในเวลานั้นท่านน้าฉือของเจ้าอายุขนาดนั้นแล้วแต่ยังเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่งเท่านั้น อีกทั้งผู้อื่นเห็นว่าข้างกายเขายังมี  สาวใช้อุ่นเตียง  เช่นข้าอยู่อีกผู้หนึ่ง บิดามารดาที่รักบุตรสาวเหล่านั้นยังจะให้บุตรสาวของพวกเขาแต่งกับท่านน้าของเจ้าอยู่อีกหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มแห้งไปสองครั้ง

 

 

“ถึงได้บอกว่าท่านน้าฉือของเจ้าผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก” ขณะที่จี๋อิ๋งกล่าว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นมาอย่างหัวเสียว่า “และในครั้งนั้น ข้ายังได้พบกับเจียวจื่อหยางโดยบังเอิญอีกด้วย…”

 

 

เจียวจื่อหยาง…แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นชื่อของบุรุษ

 

 

โจวเสาจิ่นบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา รีบกล่าวขึ้นว่า “เจียวจื่อหยางคือผู้ใดหรือ เป็นผู้ที่เจ้ารู้จักตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วค่อยๆ พยักหน้าเบาๆ

 

 

น่าสนใจยิ่งนัก!

 

 

โจวเสาจิ่นลองหยั่งเชิงถามขึ้นว่า “หรือว่าจะเป็นว่าที่สามีที่เจ้าไม่ได้แต่งงานด้วยผู้นั้น?”

 

 

จี๋อิ๋งไม่กล่าวอะไร

 

 

โจวเสาจิ่นพลันร้อนรนขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้อธิบายให้เขาฟังเลยหรือ”

 

 

“จะอธิบายได้อย่างไร” ขณะที่จี๋อิ๋งกล่าว ขอบตาพลันแดงขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ในตอนนั้นแค่เขาเห็นข้าก็วิ่งหนีไปเสียแล้ว ข้าไล่ตามไปหาทั้งสองฝั่งถนนแต่ก็ตามหาเขาไม่เจอ” ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็ปล่อยโฮออกมา “ไอ้สารเลวเฉิงจื่อชวน ข้าให้เขาช่วยอธิบายให้ข้า แต่เขากลับไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ…ชาตินี้ทั้งชาติข้าจะจำเอาไว้ว่าเขา  ดี  กับข้าอย่างไรบ้าง…”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เชื่อว่าท่านน้าฉือจะเป็นคนเช่นนั้น

 

 

แม้แต่คนแปลกหน้าอย่างนางเขาก็ยังให้ความช่วยเหลือเลย แล้วจะตั้งใจทำร้ายจิตใจของจี๋อิ๋งได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงลู่

 

 

หากว่าชาติก่อนมีคนมาบอกนางว่าเฉิงลู่กำลังหลอกลวงนางอยู่ เกรงว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่มีทางเชื่อเช่นเดียวกัน

 

 

นางถามจี๋อิ๋งว่า “หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่ได้เจอหน้าเจียวจื่อหยางผู้นั้นอีกเลยหรือ”

 

 

“ไม่เลย” อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าการปล่อยโฮต่อหน้าเด็กสาวอายุสิบสองปีผู้หนึ่งนั้นออกจะเสียอาการเกินไป จี๋อิ๋งจึงรีบควบคุมอารมณ์อย่างรวดเร็ว เช็ดน้ำตา และพึมพำกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือของเจ้าไม่อนุญาต ข้าจึงออกจากเมืองจินหลิงไม่ได้ นอกจากนี้ข้าก็ออกไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทุกวันไม่ได้…” พอนางกล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงยิ่งเบาลง “ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจียวจื่อหยางควรจะต้องรู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองจินหลิง…หากเขามีความตั้งใจ ก็คงจะตามมาหาตั้งนานแล้ว ยังจะต้องให้ข้าไปอธิบายให้เขาอีกหรือ”

 

 

นี่ก็ถูกอีก!

 

 

โจวเสาจิ่นอดกล่าวไม่ได้ว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจียวจื่อหยางผู้นั้นจะมีปัญหา ท่านน้าฉือถึงได้ทำเช่นนี้”

 

 

จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็เบิกตามองนางอย่างกรุ่นโกรธครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจียวจื่อหยางมีปัญหา? เจียวจื่อหยางจะมีปัญหาอะไรได้! ข้าว่าคนที่มีปัญหาคือท่านน้าฉือของเจ้าต่างหาก! อายุก็ปูนนี้แล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ทำให้มารดาต้องเป็นกังวลใจ ผู้อื่นยังออกไปหาความสำราญที่หอนางโลมบ้าง แต่เขาก็ดีแต่ขังตัวอยู่แต่ในบ้านทุกวันไม่ยอมออกไปไหน มีคนมาเยี่ยมเขา เขายังแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่อยู่บ้านอีก…”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กำลังจะกล่าวเกลี้ยกล่อมนาง

 

 

ทว่าสีหน้าของจี๋อิ๋งกลับซีดเผือดลง มองไปที่ปากประตูของห้องน้ำชาแล้วเสียงพูดก็สะดุดลง

 

 

“เป็นอะไรไป” ขณะที่โจวเสาจิ่นเอ่ยถาม ก็หมุนกายมองตามสายตาของจี๋อิ๋งไปที่ปากประตู

 

 

เฉิงฉือยืนตัวตรงอยู่ตรงปากประตูของห้องน้ำชาโดยมือข้างหนึ่งไขว้อยู่ด้านหลังและอีกข้างก็ปล่อยแนบลำตัว

 

 

แสงแดดของช่วงบ่ายตกกระทบลงด้านหลังของเขา ทำให้เงาร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่ง เป็นเหตุให้คนอื่นเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก

 

 

“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นรีบยืนขึ้น อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวของเวทีแสดงงิ้วที่อยู่ทางด้านโน้น

 

 

เสียงกังวานใสของเกาฮุ่ยจูและเสียงโห่ร้องของบรรดาสตรีทั้งหลายยังคงดังเข้ามาอย่างดังบ้างเบาบ้าง

 

 

การแสดงงิ้วทางด้านโน้นยังไม่จบลง แล้วเหตุใดท่านน้าฉือถึงมาที่นี่ได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งเขาเอาไว้ไม่อยู่อย่างนั้นหรือ หรือเป็นเขาที่หาข้ออ้างออกมาเพื่อรับลมสักหน่อย

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพลางยอบตัวลงทำความเคารพเฉิงฉือ

 

 

เฉิงฉือเดินเข้ามา

 

 

ลำแสงสีทองด้านหลังของเขาจางลงแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลาและไม่ขาดความสุภาพเรียบร้อยก็ปรากฏแก่สายตาของโจวเสาจิ่น

 

 

จี๋อิ๋งลุกพรวดขึ้นมาแล้วเดินถอยหลังไม่หยุดจนไปยืนพิงอยู่กับผนังห้อง

 

 

ท่าทางระแวดระวังภัยนั้น ทำราวกับว่าเฉิงฉือเป็นตัวอันตรายก็ไม่ปาน

 

 

โจวเสาจิ่นมองไปที่เฉิงฉือทีแล้วก็มองไปที่จี๋อิ๋งทีอย่างสับสนงงงวย

 

 

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไปดูงิ้วหรือ”

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังคิดหาเรื่องอะไรสักอย่างมาเป็นคำแก้ตัวอยู่นั้น ในเตาก็มีเสียง  เป๊าะแป๊ะ  ดังขึ้น มีถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่งกระเด็นออกมา ตกลงไปที่เท้าของเฉิงฉือ

 

 

“ที่แท้พวกเจ้าอยู่ที่นี่เพื่ออบถั่วปากอ้ากินกันนี่เอง!” เฉิงฉือมองถั่วปากอ้าที่ปะทุออกมาตกอยู่บริเวณเท้า แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นกระตุกและแดงเรื่อขึ้น

 

 

ท่านน้าฉือคงจะมองนางเป็นเสมือนกับเด็กที่แอบมาลักลอบกินของไปเสียแล้ว

 

 

“ข้า…” นางอึกอักไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

 

 

เสียงเป๊าะแป๊ะของถั่วปากอ้าที่อยู่ในเตาดังขึ้นมาอีกเรื่อยๆ

 

 

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งแดงเรื่อขึ้น

 

 

เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “รีบตักถั่วออกมาเถิด ระวังจะไหม้เอาได้”

 

 

“อ้อ!” โจวเสาจิ่นรีบหยิบที่คีบถ่านไปคีบถั่วออกมามือเป็นระวิง

 

 

ในตอนนี้เองที่จี๋อิ๋งดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว และรีบเข้าไปช่วยด้วย

 

 

ไม่นานนัก ก็คีบถั่วปากอ้าออกมาได้ทั้งหมด

 

 

เฉิงฉือกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ด้านนอกกำลังแสดงงิ้วตอน ‘ชมสวน’ กันอยู่ เจ้าไม่ไปดูหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกได้ว่าเหมือนจี๋อิ๋งจะสะกิดตัวนางเบาๆ

 

 

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ชอบดูงิ้วเจ้าค่ะ แล้วท่านน้าฉือมาได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านไม่ชอบดูงิ้วตอน ‘ชมสวน’ หรือเจ้าคะ”

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากำลังจะกลับแล้ว ไม่เห็นจี๋อิ๋ง ก็เลยออกมาตามหา”

 

 

จี๋อิ๋งร้อง “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นกล่าวล่ำลาโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องมองจี๋อิ๋งที่ตามเฉิงฉือออกจากห้องน้ำชาไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้

 

 

นางนั่งอยู่ในห้องน้ำชาเพียงคนเดียวกว่าครู่ใหญ่

 

 

ฟังจากน้ำเสียงของจี๋อิ๋ง นางน่าจะเข้ากับท่านน้าฉือได้ไม่เลวนักถึงจะถูก แต่เหตุใดพอเจอท่านน้าฉือกลับหวาดกลัวจนมีท่าทางเช่นนั้นได้

 

 

เวลาท่านน้าฉือโกรธขึ้นมาน่ากลัวมากเลยหรืออย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด จากนั้นเดินไปยังเวทีแสดงงิ้ว

 

 

บนเวทีกำลังแสดงได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ผู้ชมด้านล่างเวทีก็กำลังดื่มด่ำไปกับการแสดง ไม่ต่างไปจากตอนที่นางออกไปเลยสักนิด

 

 

โจวเสาจิ่นถามเฉิงเจียว่า “เหตุใดท่านน้าฉือถึงกลับออกไปหรือ”

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงเจียมองไปที่เกาฮุ่ยจูตาไม่กะพริบ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เหมือนกับว่าจะมีธุระอะไรบางอย่าง ก็เลยกลับออกไปแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

 

 

นางเรียกซือเซียงมาแล้วกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้าไปเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

 

 

ซือเซียงมองไปที่เวทีแสดงงิ้วครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นอย่างงุนงงว่า “ตอนนี้หรือเจ้าคะ”

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset