ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 136 งานชมดอกเบญจมาศ

หลังจากที่ส่งฝานฉีไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน

 

 

นางรู้ดีว่า เรื่องนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าหากนางไม่ลองเสี่ยงดู ก็คงได้แต่มองหลินซื่อเซิ่งพลัดพรากจากมู่อี๋เหนียงตาปริบๆ ประหนึ่งนกนางแอ่นที่บินไปคนละทิศคนละทางอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้

 

 

แต่ก็หวังว่าคนเหล่านั้นจะไม่สนใจฝานฉีมากเนื่องจากเขายังเด็กอยู่ ทำให้เขาฉวยประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้

 

 

โจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาแต่เช้า แล้วไปจุดธูปสามดอกถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์

 

 

ฝานหลิวซื่อยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางที่อยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็ยั้งเอาไว้

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ดีว่านางอยากจะไต่ถามถึงเรื่องของฝานฉี นางเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้ฝานหลิวซื่อรู้สึกหวาดกลัวหรือเป็นกังวล จึงเอ่ยถามนางว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจะกล่าวกับข้าหรือไม่”

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่กลัวว่าฉีเอ๋อร์ยังเด็ก จะทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ไม่ดี แล้วจะทำให้การงานของคุณหนูรองเสียหายเจ้าค่ะ”

 

 

แม้แต่บรรดาบุตรชายทั้งหลายที่ยังไม่ได้แยกเรือนออกไปล้วนไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินเป็นของตนเอง นับประสาอะไรกับบุตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่งเช่นนาง!

 

 

สุดท้ายแล้วแม่นมก็ยังคงเป็นห่วงนาง

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกถึงความอบอุ่นสายหนึ่งไหลผ่านดวงใจ คล้องแขนของฝานหลิวซื่อเอาไว้หลวมๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ เพียงให้ฝานฉีไปดูสักหน่อยเท่านั้น จะสำเร็จหรือไม่ก็ยังต้องว่ากันอีกที!”

 

 

ในเมื่อฝานหลิวซื่อตัดสินใจว่าจะช่วยโจวเสาจิ่นปกปิดเอาไว้ จึงทำใจให้ผ่อนคลายลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กคนนี้มีไหวพริบดีมาตั้งแต่เล็ก ข้าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ แต่ก็หวังว่าสวรรค์จะประทานพรให้คนสมดังปรารถนา ให้ทุกอย่างราบรื่น” แล้วกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นว่าคุณหนูรองตื่นขึ้นมาแล้วดูไม่มีชีวิตชีวาสักเท่าใด เป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับหรือเปล่าเจ้าคะ หรือว่ารู้สึกไม่สบายตรงที่ใด ท่านอยากจะหลับต่ออีกสักงีบหลังจากที่รับมื้อเช้าเสร็จแล้วหรือไม่ เมื่อวานข้าได้ยินฉือเซียงคุยกับคุณหนูใหญ่ในเรือนว่า หลังจากผ่านวันที่หนึ่งเดือนสิบไปแล้ว ทางด้านห้องศึกษาจิ้งอันก็จะกลับมาเปิดการเรียนการสอนอีกครั้งแล้ว ถึงเวลานั้นท่านจะต้องไปๆ มาๆ ระหว่างห้องศึกษาจิ้งอันกับเรือนหานปี้ซานสองที่ ต้องระวังสุขภาพร่างกายเอาไว้นะเจ้าคะ ไม่สู้ถือโอกาสที่ยังว่างในช่วงสองสามวันนี้ พักผ่อนให้ดีๆ พวกงานเย็บปักอะไรเหล่านั้น มีซือเซียงและฉือเซียงช่วยทำแทนได้ หากทำไม่ทัน ก็ยังมีร้านเย็บผ้าข้างนอกอยู่ ท่านอย่าหักโหมทำมากขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ทุกประโยคล้วนแล้วแต่เป็นความห่วงใยที่แสดงออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

โจวเสาจิ่นอมยิ้ม พลางกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร อาจจะเป็นเพราะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็เลยทำให้รู้สึกง่วงง่ายขึ้นก็เป็นได้”

 

 

“เช่นนั้นก็ยิ่งต้องพักผ่อนให้ดีนะเจ้าคะ” ฝานหลิวซื่อกล่าว “เก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเก็บตุนเอาไว้ในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับพักผ่อนฟื้นฟูกำลัง ครั้นได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พอถึงฤดูหนาวจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยเจ้าค่ะ”

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น โจวชูจิ่นที่ล้างหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้ามาพร้อมกับฉือเซียง

 

 

“คุยอะไรกันอยู่หรือ” นางยิ้มพลางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นกับฝานหลิวซื่อ “ถึงได้เบิกบานกันขนาดนี้ แม้อยู่ข้างนอกก็ยังได้ยินเสียงของเสาจิ่น”

 

 

“ท่านพี่กำลังป้ายสีข้าอยู่ใช่หรือไม่” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ทั้งหมดล้วนเป็นฝานมามาที่กำลังพูดอยู่ ไฉนท่านถึงได้โยนความผิดมาให้ข้าได้ล่ะเจ้าคะ!”

 

 

ทุกคนต่างโพล่งหัวเราะออกมา

 

 

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวนั่งลงตามลำดับอาวุโสและรับมื้อเช้าด้วยกัน

 

 

โจ๊กขาวข้นเหนียวนุ่มทานคู่กับกะหล่ำปลีทรงเครื่อง ผัดผักกาดขาว และหมั่นโถวรสนม ถึงแม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่รสชาติติดลิ้นยาวนานนัก

 

 

จนกระทั่งวางตะเกียบลง โจวชูจิ่นครุ่นคิดพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้าได้สำรวจท่าทีของหลานทิงแล้ว ฟังจากความหมายของนาง นางยังคงปรารถนาจะติดตามไปอยู่กับท่านพ่อ”

 

 

ถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้น นางก็คงจะไม่ฉวยโอกาสให้ตัวเองตั้งครรภ์บุตรของบิดาตอนที่หลี่ซื่อกำลังโศกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียบุตรสาวแต่แรกหรอก

 

 

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านพี่คิดเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นไม่ตอบ ขยับตะเกียบที่อยู่ตรงหน้าเล่นไปมาครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าอยากให้นางรั้งอยู่ที่นี่”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เอ่ยถ้อยคำใด มองโจวชูจิ่นอย่างเงียบๆ พลางรอคำอธิบายของนาง

 

 

นานสักพักกว่าโจวชูจิ่นจะกล่าวขึ้นว่า “เรื่องราวสมัยเด็ก เกรงว่าเจ้าคงจะจำไม่ได้…แต่ข้ายังจำได้ดี! ตอนแรกนางอยากจะรั้งอยู่ที่นี่ ท่านแม่เคยบอกนางว่า หากว่าจะอยู่ที่นี่ ก็ให้ดูแลเจ้าดีๆ…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้นางอยู่รับใช้เจ้าที่นี่เถอะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก นางเอ่ยถามว่า “จะให้หลานทิงมาอยู่ที่เรือนหว่านเซียงหรือเจ้าคะ”

 

 

“ให้นางอยู่ที่บ้านของตระกูลโจว” โจวชูจิ่นกล่าวโดยไม่ลังเล “ในเมื่อนางเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลโจว รับเบี้ยรายเดือนของตระกูลโจว ก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลโจว ในเมื่อท่านแม่ให้นางรั้งอยู่ที่นี่ นางก็ต้องอยู่ที่นี่”

 

 

บางที หากไม่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดนั้น หลานทิงก็อาจจะยอมแพ้ไปเอง

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ

 

 

ตอนที่นางไปเรือนหานปี้ซานเพื่อคัดลอกพระธรรมในช่วงบ่าย เฉิงสวี่ก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน

 

 

ปี้อวี้บอกนางว่า “คุณชายใหญ่กล่าวว่าอยากจะจัดงานชมดอกเบญจมาศขึ้นภายในจวนเพื่อเป็นการต้อนรับคุณชายหมิ่น ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เห็นดีด้วย ทั้งยังเรียกผู้ดูแลเรือนดอกไม้มาด้วยตนเอง ให้พวกเขาสร้างหอดอกเบญจมาศ กลั่นสุราดอกเบญจมาศ และไปซื้อปูมาด้วย ส่วนฮูหยินหยวนก็นำดอกผานจื่อจินสีม่วงทอง ดอกฝอโส่วหวงสีเหลืองและดอกไป๋เจียวเซียวสีขาว[1]ที่ตนเองเพาะเลี้ยงเอาไว้ออกมาให้คุณชายหมิ่นได้เชยชม นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังสั่งให้พวกข้าเปิดห้องเก็บของของนาง แล้วนำฉากบังลมสิบสองบานพับที่เคลือบเงาสีดำประดับด้วยเปลือกหอยมุกเป็นภาพทะเลสาบซีหูของนางออกมาตั้งในศาลาริมน้ำอันเป็นสถานที่จัดงานชมดอกเบญจมาศของคุณชายใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ…”

 

 

ดอกผานจื่อจินสีม่วงทอง ดอกฝอโส่วหวงสีเหลืองและดอกไป๋เจียวเซียวสีขาวล้วนเป็นชื่อสายพันธุ์ของดอกเบญจมาศ

 

 

หัวคิ้วของโจวเสาจิ่นขมวดมุ่นน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น

 

 

ปี้อวี้เอ่ยถามอย่างฉงนว่า “เป็นอะไรไปเจ้าคะ”

 

 

“เปล่า” โจวเสาจิ่นรีบปั้นหน้ายิ้ม พลางกล่าวว่า “เพียงข้าคิดถึงภาพที่ว่าจะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานเป็นอันมากในงานชมดอกเบญจมาศก็รู้สึกปวดศีรษะแล้ว”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “โชคดีที่ผู้ที่คุณหนูรองพบเจอคือจวนสี่และจวนของพวกข้า ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าหรือฮูหยินทั้งหลายต่างก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชื่นชอบการสังสรรค์ตามงานสังคม หากว่าผู้ที่ท่านพบเจอคือสะใภ้ใหญ่สือล่ะก็ คงแย่แน่เลยเจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่สือนั้นคลอดบุตรมายังไม่ทันครบเดือน ตอนนี้ก็จะเริ่มตระเตรียมงานชมดอกไม้แล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

ชาติที่แล้ว ก็เป็นจวนรองที่จัดงานสังสรรค์รื่นเริงมากที่สุด

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร

 

 

มีคนถามขึ้นมาจากด้านนอกว่า “น้องสาวรองตระกูลโจวอยู่หรือไม่”

 

 

เป็นเสียงของเฉิงสวี่

 

 

คิ้วของโจวเสาจิ่นผูกเป็นปมแน่น

 

 

นางมองปี้อวี้พลางส่ายศีรษะ ส่งสัญญาณให้ปี้อวี้ตอบว่านาง  ไม่อยู่

 

 

ปี้อวี้สับสนงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

ทว่าในชั่วขณะที่กำลังสับสนงุนงงนี้เอง เฉิงสวี่ก็สาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกเสียแล้ว

 

 

“น้องสาวรองตระกูลโจว” เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหังโจวสีม่วงอมแดงลายดอกเหมยสลับลายดอกหลานและไผ่สีเข้ม กล่าวทักทายนางด้วยใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งยามต้นอวี้ซู่ที่พลิ้วไหวล้อเล่นกับสายลม “ข้าจะจัดงานชมดอกเบญจมาศในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ได้ยินมาว่าน้องสาวรองมีดอกจื่อเผาจินไต้[2]อยู่ต้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าพอจะให้ข้ายืมสักสองวันได้หรือไม่ ให้บรรดาสหายของข้าได้ขอโชคขอพรสักหน่อย”

 

 

ดอกจื่อเผาจินไต้ก็เป็นชื่อพันธุ์ของดอกเบญจมาศเช่นเดียวกัน ดอกของมันคล้ายคลึงกับดอกโบตั๋นสีม่วง ดอกเป็นทรงถ้วยปากกว้าง กลีบดอกซ้อนทับหลายชั้น และเนื่องจากด้านข้างของกลีบดอกมีวงสีเหลืองทองอยู่วงหนึ่ง ดังนั้นจึงได้รับสมญาว่า ‘ดอกภูษาม่วงคาดเข็มขัดทอง’ นอกจากนี้เนื่องจากเสื้อคลุมสีม่วงกับเข็มขัดสีทองล้วนเป็นเครื่องแต่งกายของขุนนางชั้นสูงยศผิ่นขั้นหนึ่ง จึงมีความหมายดี เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่บัณฑิตเป็นอย่างยิ่ง

 

 

นางเพาะเลี้ยงดอกจื่อเผาจินไต้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ชายสวี่คงจะจำผิดแล้วกระมัง ในเรือนของข้ามีเพียงดอกไม้สีแดงธรรมดาทั่วไปสองสามกระถางเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงสวี่ลูบศีรษะและยิ้มพลางกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าคงจะจำผิดไปแล้วจริงๆ”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า

 

 

เฉิงสวี่มองปี้อวี้กับซือเซียงที่ยืนขนาบข้างนางซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไว้ แล้วเดินคอตกกลับไป

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

 

 

ใครจะรู้ว่าวันรุ่งขึ้น เฉิงสวี่ให้คนส่งดอกโบตั๋นสายพันธุ์กั๋วเซ่อเทียนเซียงหนึ่งกระถางและสายพันธุ์จินเกาสุ่ยลี่ว์อีกหนึ่งกระถางมาให้ พร้อมทั้งให้บ่าวเด็กนำความมาแจ้งนางว่า “…แม้ว่าจะไม่ใช่สายพันธุ์หายากอะไร แต่ก็มีลักษณะสวยงาม จึงมอบให้คุณหนูทั้งสองท่านเอาไว้เชยชมขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นรับดอกไม้เอาไว้ ยิ้มพลางมอบเงินรางวัลให้บ่าวเด็ก แต่เมื่อหมุนกายมากลับเล่าเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง “…บอกว่ามอบให้ข้ากับพี่สาวเอาไว้เชยชมเจ้าค่ะ ข้าพอจะรู้เรื่องการปลูกดอกไม้อยู่บ้างพอดี รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วข้าจะขยายกิ่งของพวกมัน ถึงเวลานั้นข้าจะนำมามอบให้ท่านกระถางหนึ่งนะเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าโดยไม่ได้กล่าวอะไร แต่โจวเสาจิ่นดูออกว่า รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปไม่ถึงดวงตา

 

 

โจวเสาจิ่นถือโอกาสกล่าวอำลา

 

 

ในช่วงบ่ายของวันถัดมา นางกำลังคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระ อยู่ๆ หยวนซื่อก็เดินเข้ามา พร้อมทั้งนำผลไม้และขนมขบเคี้ยวมาด้วยมากมาย

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจจุดประสงค์การมาของหยวนซื่อ จึงเชิญนางให้นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนข้างๆ

 

 

หยวนซื่อให้สาวรับใช้ข้างกายออกไป แล้วคุยเรื่องสัพเพเหระกับโจวเสาจิ่น

 

 

นางกล่าวถึงเรื่องของเฉิงเซียวก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเอ่ยถึงเฉิงสวี่ “…มีสหายสองสามคนจากหังโจวมาเยี่ยมเขาเป็นการเฉพาะ ข้าถามดูถึงได้รู้ว่า ที่แท้ก็เป็นคุณชายของตระกูลหมิ่นแห่งฝูเจี้ยน เป็นน้องชายของหมิ่นเจี้ยนสิงผู้ได้รับตำแหน่งจ้วงหยวนในปีเหรินเฉิน…ปีสอบเดียวกันกับท่านอาสี่ของคุณชายใหญ่…ข้อสอบการอภิปรายนโยบายของปีนั้นคือเรื่องจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ยากยิ่งนัก เนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนเป็นการอธิบายเกี่ยวกับ ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู’[3] มีเพียงหมิ่นเจี้ยนสิงที่เข้าใจแหล่งที่มาดังกล่าว…ช่างเป็นผู้มีวิชาความรู้กว้างขวางยิ่งนัก…ได้ยินว่าปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นสิงเหรินซือ[4]แล้ว…แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นจวี่เหริน ส่วนอีกคนจะเป็นซิ่วไฉ แต่หมิ่นเจี้ยนเฉียงผู้นั้นกลับถูกชะตากับคุณชายใหญ่ของพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง ช่วงนี้พวกเขาไม่เพียงกินอยู่ด้วยกัน แม้แต่ยามที่ออกไปเยี่ยมสหาย ก็ยังไปกับคุณชายใหญ่ของพวกข้าด้วย…หมิ่นเจี้ยนเฉียงผู้นั้นยังเย้าหยอกว่าจะให้คุณชายใหญ่ไปเป็นน้องเขยของเขา กล่าวว่าตระกูลของพวกเขายังมีหญิงสาวอีกหกคนที่ยังไม่ได้ออกเรือน ให้คุณชายใหญ่เลือกเอาสักคนหนึ่ง…”

 

 

หยวนซื่อไม่มีธุระอะไรแล้วมาพูดเรื่องพวกนี้กับตนเพื่ออะไร

 

 

มิหนำซ้ำยังตั้งใจกล่าวยกย่องหมิ่นเจี้ยนสิงเพื่อหักหน้าเฉิงฉืออีก!

 

 

นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง

 

 

หยวนซื่อทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “ตอนที่ข้าเห็นภาพร่างลายเด็กน้อยวิ่งเล่นที่เจ้าออกแบบให้บุตรของลูกเซียว ข้าก็รู้ได้ว่าเจ้าเป็นเด็กสาวที่ดีผู้หนึ่ง ต่อมายังได้ยินอีกว่าเจ้าไม่เพียงเย็บปักถักร้อยได้ดีเท่านั้น แต่ยังมีฝีมือการทำอาหารอีกด้วย ไม่รู้ว่าบุตรชายตระกูลใดจะมีวาสนาได้สู่ขอเจ้าไป…”

 

 

โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกระแวงระวังอยู่ในใจ

 

 

นี่หยวนซื่อกำลังโน้มน้าวนางว่าอย่าได้มีความคิดที่ไม่เหมาะสมกับเฉิงสวี่อย่างนั้นหรือ

 

 

นางโมโหจนปลายนิ้วสั่นระริก

 

 

ความคับแค้นใจจากทั้งสองชาติพรั่งพรูออกมา ทำให้นางเกือบจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

 

 

โชคดีที่นางควบคุมตนเองได้ทันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่อันตรายที่สุด สูดลมหายใจเข้าลึก ให้อารมณ์ค่อยๆ สงบลงมา

 

 

“นี่เป็นเพียงคำชมของท่านป้าใหญ่จิง ข้าไม่ได้ดีมากมายอย่างที่ท่านกล่าวมาเลยเจ้าค่ะ” นางแลกเปลี่ยนบทสนทนากับหยวนซื่อ “ข้าได้ยินมาว่า ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู’ เป็นตำราโบราณของเทพเซียนที่ตกทอดมาสู่โลกมนุษย์ มีเนื้อหาล้ำลึกดั่งเทพเทวดาเป็นผู้สรรค์สร้างขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจ้วงหยวนหมิ่นจะเก่งกาจถึงเพียงนั้น ถึงกับสามารถหยั่งรู้ ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู’ ได้เจ้าค่ะ! เห็นได้ชัดว่าในโลกนี้ก็เป็นดังเช่นที่จารึกเอาไว้ในตำราที่ว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน’ ถ้าหากวันใดที่ซอยจิ่วหรูเองได้มีจ้วงหยวนเช่นนี้ขึ้นมาได้สักผู้หนึ่งก็คงจะดียิ่งนักเจ้าค่ะ” นางกล่าวจบ ก็กระซิบกล่าวอีกว่า “ข้าก็นึกว่าตำแหน่งจ้วงหยวนจะเหมือนกันทั้งหมด ไม่คิดว่าภายในตำแหน่งจ้วงหยวนด้วยกันเองก็ยังแบ่งเป็นระดับขั้นต่างๆ อีกทีหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

นางกำลังชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นไหวอยู่[5] เพื่อจะบอกว่าเฉิงสวี่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

หยวนซื่อพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ถึงได้ยั้งตัวไม่ให้กระโดดขึ้นมา

 

 

นางมองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างเย็นชา

 

 

ไม่คิดว่าโจวเสาจิ่นเองก็กำลังจ้องนางด้วยนัยน์ตาสีดำตัดขาวรูปเมล็ดซิ่งคู่หนึ่งอยู่เช่นกัน สีหน้าดูไร้เดียงสายิ่ง สายตาของคนทั้งสองสบเข้าหากันพอดี ทำให้นางมองเห็นแม้กระทั่งเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของโจวเสาจิ่น

 

 

หยวนซื่อยิ้มเจื่อน

 

 

โจวเสาจิ่นยังเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่ง อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดและรู้ความอยู่เสมอ เวลาเดินก็ยังกลัวว่าจะเหยียบมดเหยียบแมลง เช่นนั้นจะกล่าวแดกดันตนได้อย่างไร ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่เข้าใจนัยยะแฝงที่อยู่ในคำพูดของตนก็เป็นได้…แล้วตนจะโมโหนางไปเพื่ออะไร

 

 

หยวนซื่อรู้สึกว่าตนทำพลาดไปแล้วที่มากล่าวตักเตือนโจวเสาจิ่น

 

 

นางควรจะบอกเรื่องนี้กับโจวชูจิ่นมากกว่า ให้นางไปควบคุมโจวเสาจิ่นให้อยู่ในขอบเขตอีกทีถึงจะถูก

 

 

เมื่อหยวนซื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ก็ไม่ใช่แค่ที่เจ้ากล่าวมาเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นหรอก ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็เลยรู้สึกว่าหมิ่นเจี้ยนสิงนั้นเก่งกาจมาก”

 

 

จากนั้นนางก็พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับโจวเสาจิ่นอีกสองสามประโยค แล้วลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

โจวเสาจิ่นท่องพระสูตร ‘หฤทัยสูตร’ อยู่ในใจต่อหน้าพระพุทธองค์ไปหนึ่งจบ อารมณ์ถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

 

[1]  ดอกผานจื่อจินสีม่วงทอง   ดอกฝอโส่วหวงสีเหลืองและดอกไป๋เจียวเซียวสีขาว  (紫金盘、佛手黄、白鲛绡) ล้วนเป็นชื่อพันธุ์ดอกเบญจมาศในบันทึก 东园菊谱 ซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงดอกเบญจมาศสายพันธุ์ต่างๆ

 

 

[2]  ดอกจื่อเผาจินไต้  คือ 紫袍金带 แปลตรงตัวได้ว่า เสื้อคลุมม่วงเข็มขัดทอง

 

 

[3]  แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู  (河图洛书) คือตำราโหราศาสตร์และดาราศาสตร์โบราณของจีน

 

 

[4]  สิงเหรินซือ  (行人司) ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและส่งข่าวสารต่างๆ  

 

 

[5]  ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นไหว  (指桑骂槐) เปรียบเปรยว่า แสร้งทำเป็นด่าทอคนหนึ่งอยู่ แต่ความจริงกำลังด่าอีกคนหนึ่งอยู่

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset