ภายในเรือนอวิ้นเจิน สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งนัก
หยวนซื่อและเฉิงสวี่นั่งประจันหน้ากัน
เฉิงสวี่ดวงตาเบิกกว้าง กล่าวขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “เหตุใดงานแต่งของพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองถึงตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองได้ แต่ข้าไม่ได้หรือขอรับ”
“เพราะเจ้าเป็นบุรุษ เป็นบุตรหลานของภรรยาเอก เป็นคนที่จะรับช่วงต่อตระกูลเฉิงของพวกเรา” หยวนซื่อมองบุตรชายด้วยสายตาเยียบเย็น “หญิงสาวใช้ชีวิตอยู่ในเรือนชั้นในทั้งชีวิต หลังจากที่แต่งงานแล้วนอกจากต้องคอยดูสีหน้าของสามีและของแม่สามีแล้ว ยังต้องคอยสอดส่องสีหน้าของน้องสาวสามีและของสะใภ้ต่างๆ อีก ยามแก่ชราลง ต้องดูแม้กระทั่งสีหน้าของบุตรชาย แต่บุตรชายนั้นออกเดินทางไปทั่วทุกที่ เข้าออกทั้งสถานที่ทั่วไปและสถานที่ราชการ นำเกียรติและความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูล ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เห็นชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ เรือนชั้นในนั้นเป็นเพียงสถานที่พักผ่อนชั่วครั้งชั่วคราวของพวกเจ้าเท่านั้น ราชสำนักต่างหากถึงจะเป็นสถานที่ที่พวกเจ้าสมควรอยู่และเป็นสถานที่ที่พวกเจ้าจะได้สำแดงความสามารถ”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วใบหน้าแดงก่ำ กล่าวว่า “การบ่มเพาะศีลธรรมอันดีงามกับผู้บริหารบ้านเมืองให้ปกครองประเทศได้อย่างสงบสุขนั้น ความสงบสุขของเรือนชั้นในไม่สำคัญเลยหรือขอรับ”
เสียงพูดของเขายังไม่ทันจบลง หยวนซื่อก็เปล่งเสียงเย้ยหยันออกมาครั้งหนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “แล้วเป็นผู้ใดที่อยากให้เรือนชั้นในไม่สงบสุข ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ มีถนนที่ใหญ่และราบเรียบเตรียมเอาไว้ให้ไม่ยอมเดิน เจ้ากลับดึงดันที่จะมุ่งหน้าเดินไปยังทางตัน เรื่องนี้เป็นท่านย่าของเจ้าที่เห็นด้วยหรือเป็นบิดาของเจ้าที่เห็นด้วยกันแน่ แล้วผู้ใดกันแน่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายอยู่ตรงนี้”
เฉิงสวี่ปรารถนาจะกล่าวแต่ก็หยุดไป
เขาอยากจะพูดเหลือเกินว่า เรื่องจำพวกที่ว่าให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ให้มีชื่อเสียงถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่คนเป็นผู้กระทำ แต่ผลลัพธ์ขึ้นกับสวรรค์เป็นผู้ตัดสิน ใครจะกล้ารับประกันได้ว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน แต่การแต่งงานกับภรรยาที่ตัวเองชื่นชอบสักคนนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขา ในเวลานี้เขาเพียงอยากจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แต่เขาก็เข้าใจดีว่า เขาไม่อาจกล่าวคำพูดพวกนี้ออกไปได้
หากว่าคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป เช่นนั้นคงได้ทำให้บ้านไม่สงบสุขจริงๆ เป็นแน่
ไม่เพียงมารดาที่ผิดหวัง แม้แต่ท่านย่าและบิดาผู้ที่ไม่เคยหมดหวังในตัวเขาก็อาจจะผิดหวังอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
เฉิงสวี่มองมารดา ด้วยสีหน้าผิดหวังยิ่งนัก
หยวนซื่อใจอ่อนยวบลงในทันที
นึกถึงใบหน้าสดใสดุจแสงตะวันของบุตรชายในวัยเด็ก มือน้อยป้อมๆ ที่ยามได้กินของอร่อยก็มักจะหยิบของกินนั้นจากปากของตัวเองมาป้อนให้นาง…น้ำเสียงของนางจึงอ่อนโยนลงมากอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “เจียซ่าน เรื่องต่างๆ บนโลกใบนี้ มีได้รับก็ต้องมีสูญเสียบ้าง หน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าไม่อนุญาตให้เจ้าดื้อดึงทำตามใจตัวเองได้ พวกเราไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น ลองนึกถึงองค์ฮ่องเต้ ภายใต้ฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ ล้วนเป็นแผ่นดินขององค์ฮ่องเต้ ฉะนั้นพระองค์ควรจะเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้แล้วใช่หรือไม่ พระองค์อยากแต่งตั้งหลินกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮา แต่หลินกุ้ยเฟยไร้ซึ่งทายาทชายสืบสกุล สภาในราชสำนักจึงไม่เห็นด้วย พระองค์จึงจำต้องแต่งตั้งเสียนเฟยผู้ให้กำเนิดพระโอรสองค์โตเป็นฮองเฮา แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังต้องปฏิบัติตามกฎอันสามัญนี้ นับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเราเล่า เสาจิ่นเป็นคนดี แต่หากนางถือกำเนิดมาจากครอบครัวขุนนางที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน แม่ไม่เพียงไม่ขัดขวางเจ้า ยังจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าให้ได้แต่งกับนางด้วยซ้ำ ส่วนเจ้าก็เป็นคนดี แต่หากเจ้าเป็นเพียงบุตรชายคนโตของครอบครัวทั่วไป แม่ก็คงจะไม่ขอร้องเจ้าเช่นนี้ เจ้ารับการเลี้ยงดูและสนับสนุนจากตระกูลเฉิงแล้ว ก็ต้องตอบแทนตระกูลเฉิง นี่เป็นชะตาของเจ้า และก็เป็นชะตาของเสาจิ่นด้วย เจ้าจะสนใจแต่ตัวเองโดยไม่สนใจผู้อื่นนั้นไม่ได้”
เฉิงสวี่ไม่ยอมแพ้ เขากล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านอาสี่เล่า เขาสอบได้จิ้นซื่อแล้วแต่กลับไม่รับราชการ อายุก็ล่วงเลยยี่สิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่แต่งงาน เหตุใดพวกท่านไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการเขาบ้าง กลับจับจ้องแต่ข้าไม่ยอมปล่อย”
พูดไปมากมายขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เข้าหูบุตรชายแม้สักประโยค
หยวนซื่อโกรธจนรู้สึกศีรษะอื้ออึงไปหมด รู้ดีว่าต่อให้ตนพูดอีกสักเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากเจ้าเป็นได้อย่างอาสี่ของเจ้าเช่นนั้น โดยที่ไม่ใช้เงินของตระกูลสักแดงเดียว และหากแยกตระกูลออกไปตอนนี้ก็สร้างตระกูลของตัวเองขึ้นมาได้แล้วละก็ ข้าก็จะไม่เจ้ากี้เจ้าการกับเจ้าเช่นกัน!”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วก็ตัวสั่น กระโดดตัวโหยงขึ้นมาในทันใด กล่าวว่า “เช่นนั้นย่อมได้ ท่านแม่ ถือว่าพวกเราตกลงกันตามนี้ หากข้าเป็นได้อย่างท่านอาสี่ที่ไม่ใช้เงินของตระกูล ไม่พึ่งพาตระกูลก็มีชีวิตที่ดีได้ ท่านก็ต้องยอมให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องแต่งงานของตัวเอง”
หยวนซื่อแทบจะกระอักเลือด โชคดีที่นางยังไม่ได้ถูกบุตรชายทำให้โกรธจนขาดสติไปทั้งหมด กล่าวออกไปตามสัญชาตญาณว่า “เจ้ารอได้ แต่หญิงสาวนั้นรอไม่ได้ หญิงสาวเมื่อถึงวัยปักปิ่นก็ต้องแต่งงาน กลัวแต่ว่านี่จะเป็นความต้องการของเจ้าเพียงฝ่ายเดียวกระมัง”
เฉิงสวี่รู้ว่ามารดาต้องการกดดันเขา
แต่เขาไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้อื่นมากดได้ง่ายดายขนาดนั้น
สมองของเขาขบคิดอย่างว่องไว
ปีถัดจากปีหน้าคือปีติงโหย่ว จะมีการจัดสอบจวี่เหรินในช่วงดอกกุ้ยบานในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าเขาสอบจวี่เหรินผ่าน ก็จะค่อยๆ เป็นเหมือนอย่างท่านอาสี่ที่ไม่ต้องพึ่งพาตระกูลอีกต่อไปแล้วกระมัง
เขากล่าวขึ้นในทันใดว่า “เช่นนั้นก็ได้ พวกเราจะทำตามข้อตกลงนี้ในเวลาเพียงสามปี ถ้าหากหลังจากสามปีแล้วข้าไม่พึ่งพาตระกูลอีก ท่านก็ต้องทำตามข้อตกลงระหว่างเราด้วย ในทางตรงข้าม หากหลังจากสามปีแล้วข้าไม่อาจยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ข้าก็จะรักษาสัญญาและทำตามที่ท่านจัดเตรียมเอาไว้”
สามปีหลังจากนี้ โจวเสาจิ่นก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว
หยวนซื่อเปล่งเสียงหนึ่งออกมาว่า “ได้”
รอให้บุตรชายสอบจวี่เหรินผ่านแล้วเขาก็จะค้นพบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัว การจะเข้าร่วมสอบจิ้นซื่อในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จัดสอบสามปีต่อครั้งและรับเพียงครั้งละสามร้อยคนนั้นยากลำบากเพียงใด
***
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าบางครั้งชาตินี้กับชาติก่อนก็อาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนหวาดกลัวเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งได้
งานชมดอกเบญจมาศในวันนั้น นางหลบอยู่ในเรือนหว่านเซียงไม่ออกไปไหน เฉิงสวี่เองก็ไม่ได้หาข้ออ้างนั่นนี่เพื่อมาหานาง ระหว่างที่นางรู้สึกโล่งอกอยู่นั้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นกังวลและหวาดกลัวไปด้วย ไม่รู้ว่าเฉิงสวี่อาจจะโผล่ออกมาตอนไหนอีกบ้าง
นางลอบสืบข่าวจากปี้อวี้และคนอื่นๆ ว่าช่วงนี้เฉิงสวี่ทำอะไรบ้าง
“…อยู่เป็นเพื่อนคุณชายหมิ่นตลอดเลยเจ้าค่ะ” ปี้อวี้กล่าว “ได้ยินฮวนสี่บอกว่า คุณชายหมิ่นชวนคุณชายใหญ่ไปขอเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหลวง ดูเหมือนว่าคุณชายจะตอบรับแล้ว ฮูหยินเองก็เห็นดีด้วยเป็นอย่างมาก ยังเขียนจดหมายไปแจ้งนายท่านใหญ่แล้วฉบับหนึ่ง ถ้าหากคุณชายใหญ่ไม่เปลี่ยนใจ หลังจากที่ฉลองเทศกาลหันอี[1]เสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณชายใหญ่กับคุณชายหมิ่นก็จะเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันเจ้าค่ะ”
เทศกาลหันอีในวันที่หนึ่งเดือนสิบ ทุกๆ บ้านต่างมีการเผาเครื่องบูชาและกราบไหว้บรรพชน
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
ชาติก่อน เฉิงสวี่อยู่ที่จินหลิงโดยตลอด
คงไม่ใช่เพราะว่าได้รับผลกระทบจากการกลับมามีชีวิตใหม่ของนางหรอกกระมัง
แต่หากเป็นเช่นนี้ กลับถือว่าเป็นการได้รับผลกระทบในทางที่ดี นางจะได้ไม่ต้องคอยระแวดระวังเฉิงสวี่ด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่เฉิงสวี่ไปเมืองหลวงแล้วเขาก็จะได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างไกล บางทีเขาอาจจะคิดได้ว่านางก็เพียงคนธรรมดาดาษดื่นทั่วไปคนหนึ่งและยอมปล่อยมือจากนางในที่สุดก็เป็นได้
นี่ถือเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง!
โจวเสาจิ่นอารมณ์ดียิ่งนัก นางถือปูไปเยี่ยมจี๋อิ๋งด้วยหลายตัว
จี๋อิ๋งเห็นว่าปูแต่ละตัวล้วนตัวใหญ่เท่าปากถ้วย นางอยากกินจนน้ำลายสอ กล่าวว่า “หลายปีมาแล้วที่ข้าไม่ได้กินปูที่ตัวใหญ่มากขนาดนี้ ข้าจำได้ว่าข้าฝังไหสุราแดงเอาไว้ไหหนึ่ง จะไปนำออกมาดื่มก็แล้วกัน”
“อย่าเลยๆๆ” โจวเสาจิ่นรีบห้ามนางเอาไว้พลางกล่าว “สุราแดงนั้นยิ่งฝังให้นานรสชาติยิ่งดี พวกเราฝังต่อไปอีกสักหลายๆ ปีไม่ดีกว่าหรือ”
“ผู้ใดจะรู้ว่าปีหน้าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง” จี๋อิ๋งกลับไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ข้าได้ยินหมิงเฮ่อบอกว่า ช่วงนี้หนานผิงกำลังจัดเก็บข้าวของต่างๆ ดูเหมือนว่าจะต้องย้ายไปอยู่ที่เจ่าหยวนแล้ว หากว่าต้องย้ายไปจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าสุราไหนี้ต้องฝังเอาไว้จนถึงปีไหนเดือนอะไร เช่นนั้นผู้ใดจะได้ประโยชน์เล่า!”
“พวกเจ้ากำลังจะย้ายไปที่เจ่าหยวนหรือ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
จี๋อิ๋งยักไหล่ พลางกล่าวว่า “เพียงได้ยินมาอย่างนี้ก็เท่านั้น จะย้ายไปจริงๆ หรือไม่นั้น ข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก”
คำพูดนี้เสมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ ที่โถมทับเข้ามาในใจของโจวเสาจิ่นจนหนักอึ้ง
เช่นนั้นนางจะเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้อย่างไร
เช่นนั้นนางจะไปหาผู้ใดให้ช่วยส่งคำเตือนไปให้เฉิงจิง
แล้วตระกูลเฉิงจะเป็นอย่างไร
นางจะทำอย่างไรดี
หรือว่าท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่ของจวนรองจะทำอะไรบางอย่างลงไปกันนะ
โจวเสาจิ่นกระวนกระวายขึ้นมา ถามขึ้นว่า “อยู่ที่นี่ก็สบายดีไม่มีเรื่องอะไร แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงจะย้ายออกไปเล่า”
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าจะกระวนกระวายขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ต่อให้ต้องย้ายออกไปจริง เกรงว่าก็เป็นเรื่องที่ต้องรอให้ผ่านพ้นเทศกาลหันอีไปก่อน”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเศร้าสร้อยว่า “เช่นนั้น ต่อไปข้ายังจะได้เจอเจ้าอีกหรือไม่”
“เจ้าอย่าทำเสมือนกับว่าลาจากกันด้วยความตายได้หรือไม่” จี๋อิ๋งเห็นแล้วก็รู้สึกทั้งน่าโมโหและน่าขบขันไปด้วยในเวลาเดียวกัน กล่าวต่อว่า “น้าฉือของเจ้าผู้นั้นอารมณ์แปรปรวนคุ้มดีคุ้มร้าย ไม่แน่ว่าทันทีที่พวกข้าย้ายออกไป ไม่นานก็อาจจะย้ายกลับมาอีกก็เป็นได้ เจ้าลองคิดดู ต่อให้เขาจะไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาและไม่เก็บผู้ใดมาใส่ใจก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเพิกเฉยต่อมารดาของตนเองได้ ดังนั้นขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตแข็งแรงดีอยู่ ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่กลับมา”
แต่ถ้าหากว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยู่แล้วเล่า?
ความคิดนี้พร้อมกับคำพูดของจี๋อิ๋งฝังเข้าไปในห้วงความคิดของโจวเสาจิ่น
นางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าเสียชีวิตในปีที่เท่าไรนะ?
โจวเสาจิ่นพยายามนึกย้อนกลับไป
เฉิงสวี่ปรากฏตัวให้นางเห็นเป็นครั้งสุดท้ายในรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบสี่หรือปีที่ยี่สิบห้ากันแน่นั้น นางก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ในเวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นเฉิงสวี่คงไม่อาจมาทำตัวเป็นบ้าเป็นหลังถึงเมืองจิงเฉิงได้ แสดงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสียชีวิตหลังจากปีที่ยี่สิบห้าของรัชศกจื้อเต๋อ
ในปีที่ยี่สิบหกของรัชศกจื้อเต๋อ นางจำไม่ได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฉิงบ้าง แต่ในปีที่ยี่สิบเจ็ดของรัชศกจื้อเต๋อ พี่ชายเก้าได้รับการขึ้นบัญชีเป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลิน สอบผ่านตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ[2]ได้เข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ในกรมยุติธรรม ต่อมาพี่ชายอี้มาเยี่ยมนาง…เป็นตอนที่พี่ชายอี้สอบตกในปีปิ๋งอู่ ปีที่ยี่สิบเก้าของรัชศกจื้อเต๋อ พี่ชายอี้ไม่ได้เอ่ยถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่หลังจากนั้น…นายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงเซ่าของจวนหลักป่วยหนักและเสียชีวิตลงกะทันหัน เขาก็เร่งไปที่ซอยซิ่งหลินเพื่อช่วยเตรียมจัดพิธีศพ
ซอยซิ่งหลินเป็นสถานที่พักอาศัยของตระกูลเฉิงในเมืองจิงเฉิง นายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักพักอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
นางจำได้ว่าตอนนั้นพี่ชายอี้ยังพูดกับนางว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนของตระกูลเฉิงอีก เช่นนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เสียก็พอแล้ว”
ให้นางไม่ต้องส่งคนไปเคารพศพ
ในตอนนั้นนางเห็นเฉิงอี้เศร้าซึมมาก รู้สึกเป็นห่วงเขายิ่งนัก จึงลอบส่งไปคนตามเขาไป ปรากฏว่าคนที่ส่งไปกลับมารายงานนางว่าเฉิงอี้สบายดี ให้นางไม่ต้องเป็นกังวลใจ ยังบอกอีกว่า มีคนจากจินหลิงมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตของคนตระกูลเฉิง เฉิงอี้จึงต้องเร่งกลับจินหลิงไปในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น โดยไม่ได้มากล่าวอำลานาง
ญาติพี่น้องของตระกูลเฉิงที่อยู่ที่จินหลิงนั้นมีมากเหลือเกิน
นอกจากนี้กว่าที่เฉิงอี้จะออกเดินทางกลับไปก็เป็นตอนเช้าตรู่ของอีกวันหนึ่ง แสดงว่าไม่ใช่ญาติสนิทที่ชิดใกล้อย่างแน่นอน
นางก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
หรือว่า…คนที่เสียชีวิตในตอนนั้นจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว!
ขมับของโจวเสาจิ่นกระหน่ำเต้นตุบๆ ด้วยความกังวล
และสองปีหลังจากนั้น ก็เป็นปีที่ตระกูลเฉิงถูกกวาดล้างในรัชศกเทียนซุ่นปีที่สอง
ทุกคนในตระกูลเฉิงถูกจับทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรีที่อยู่ที่บ้านเดิมในเมืองจินหลิง บุรุษที่รับราชการอยู่ในจิงเฉิง หรือผู้ที่รับราชการอยู่นอกเมืองอย่างท่านลุงเฉิงหยวน มีเพียงเฉิงฉือผู้เป็นนายท่านสี่ของจวนหลักที่หนีไปได้เพียงผู้เดียว…เขายังไปบุกลานประหาร…แต่ก็ช่วยเฉิงสวี่ออกมาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!
ถ้าหากว่าท่านน้าฉือออกจากจินหลิงและออกจากตระกูลเฉิงไปตั้งแต่ปีที่ยี่สิบเก้าของรัชศกจื้อเต๋อเล่า?
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจไปกับสมมุติฐานนี้
นางนึกถึงตอนที่นั่งอยู่ที่ศาลาซานจื๋อในวันนั้นขึ้นมา
มีจูเผิงจวี่ผู้เป็นซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกง มีกู้จิ่วเนี่ยผู้ซึ่งเป็นรองเจ้ากรมโยธาธิการในเวลาต่อมา และมีหยวนเปี๋ยอวิ๋น บุตรชายคนโตของเจ้ากรมขุนนางหยวนเหวยชัง ผู้ที่น่าจะเป็นรองหัวหน้าบัณฑิตหลวงของสำนักเหวินหยวนเก๋อ…พวกเขาพูดกันอย่างเปิดเผยถึงเรื่องของ ว่านถงผู้เป็นสหายขององค์อ่องเต้ เฉินลี่ผู้เป็นขันทีใหญ่แห่งพระราชวังเฉียนชิง และหลิวหย่งขันทีปิ๋งปี่แห่งกรมพิธีการ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้คนทุกระดับตัวสั่นขวัญแขวน ทำให้ขุนนางหรือเจ้าหน้าที่ตามท้องที่ต่างๆ เมื่อได้ยินแล้วหน้าถอดสีได้ แต่ในสายตาของพวกเขากลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
ในเวลานั้นนางยังไม่รู้ถึงสถานะของท่านน้าฉือ ต่อมาหลังจากที่ทราบว่าคนที่ช่วยเหลือนางเป็นผู้ใดแล้ว บางครั้งนางก็คิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า ในเมื่อท่านน้าฉือรู้จักคนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้ แต่เหตุใดตอนที่ตระกูลเฉิงเผชิญกับวิกฤติความเป็นความตายนั้น ถึงไม่มีใครออกมาให้ความช่วยเหลือตระกูลเฉิงเลยสักคน
เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นเพียงเพื่อนกินเท่านั้น!
แต่ถ้าหากคนพวกนี้มีความสัมพันธ์อันดีเฉพาะกับท่านน้าฉือเท่านั้น และท่านน้าฉือได้ออกจากตระกูลเฉิงไปตั้งนานแล้วเล่า?
……………………………………………………………………..
[1] เทศกาลหันอี หรือเทศกาลเสื้อกันหนาวตรงกับวันที่หนึ่งเดือนสิบของปฏิทินจันทรคติของจีน ถือเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาว โดยจะมีการมอบเสื้อกันหนาวให้กันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเผาเสื้อผ้า เงินและอื่นๆ ไปให้บรรพบุรุษเพื่อใช้จ่ายในฤดูหนาวอีกด้วย
[2] ซู่จี๋ซื่อ ผู้สอบผ่านจวี่เหรินเข้ามาเป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลินและรอการสอบเป็นจิ้นซื่อในลำดับถัดไป