ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 144 เพิกเฉย

การที่ฝานฉีทำให้ไหวซานจดจำชื่อเขาได้ ทั้งยังทำให้เขาเอ่ยถึงประโยคหนึ่งได้ แสดงว่าบ่าวเด็กผู้นี้ย่อมต้องโดดเด่นเหนือผู้อื่นเป็นแน่

 

 

เฉิงฉือเลิกคิ้วสงสัย

 

 

ไหวซานกล่าวขึ้นว่า “ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบสองปี แต่กลับซุกซ่อนตั๋วเงินห้าร้อยเหลี่ยงเอาไว้ในอกเสื้อแล้วขอรับ”

 

 

เงินห้าร้อยเหลี่ยงนั้น ซื้อเรือนขนาดเล็กหลังหนึ่งในเมืองหลวงพร้อมกับที่นาทำเลดีขนาดสี่สิบถึงห้าสิบหมู่ ครอบครองกิจการร้านค้าสองร้านบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในซงเจียง ทั้งยังเข้าร่วมหุ้นส่วนการค้าทางทะเลในหนิงโป…ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พี่น้องหมางเมิงกัน ทำให้บิดามารดากลายเป็นศัตรูได้เลยทีเดียว

 

 

แม้กระทั่งตลอดชีวิตของผู้คนมากมายก็ล้วนไม่เคยทำเงินได้มากถึงห้าร้อยเหลี่ยง

 

 

เฉิงฉือยกยิ้มพลางกล่าวว่า “ให้คนจับตาดูเขาต่อไป ดูว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่”

 

 

ไหวซานตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยถามอีกว่า “เช่นนั้นทางด้านคุณหนูรองตระกูลโจว…”

 

 

“ส่งคนไปเฝ้าจับตาดูเอาไว้ก่อน” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ในเมื่อนางส่งฝานฉีไปจิงเฉิง พวกเราเพียงต้องจับตาดูฝานฉีเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วคงจะได้รู้ว่านางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”

 

 

ไหวซานขานรับว่า “ขอรับ” แล้วถอยออกไป

 

 

เฉิงฉือยืนเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ พลิกหาบัญชีเล่มหนึ่งออกมา

 

 

จากนั้นก็เปิดบัญชีเล่มนั้น บรรทัดแรกสุดจดบันทึกไว้ด้วยอักษรข่ายซู[1] ว่า  วันที่สิบสองเดือนสิบเอ็ด รับหนังกระรอกสี่สิบสี่แผ่น

 

 

ลายมือบรรจง เขียนด้วยรูปแบบอักษรก่วนเก๋อ[2] อันเป็นรูปแบบมาตรฐานที่สุด

 

 

แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่ก็ยังมองเห็นความเด็ดเดี่ยวและหนักแน่นที่ผู้เขียนอักษรเหล่านี้แสดงออกมาระหว่างที่ตวัดพู่กันจนเส้นสุดท้ายได้

 

 

นิ้วมือของเฉิงฉือลูบตัวอักษรเหล่านั้นเบาๆ จากนั้นก็หยิบบัญชีเล่มนั้นขึ้นมาแล้วโยนลงไปในกระถางไฟ

 

 

สะเก็ดไฟสาดกระเซ็น กระทบชายเสื้อของเฉิงฉือจนไหม้เป็นรูๆ หนึ่ง

 

 

***

 

 

เมื่อโจวเสาจิ่นกลับมาถึงเรือนหว่านเซียง ซือเซียงก็นำทรัพย์สินที่นางสั่งสมมานานนับปีออกมา นอกจากลิ่มเงินแล้ว ยังมีลิ่มทองหลายก้อนอีกด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นพิเคราะห์มองลิ่มเงินลิ่มทองที่กองอยู่บนถาดสลักลายดอกไห่ถังเคลือบสีชาดราวกับตกอยู่ในภวังค์

 

 

ลิ่มเงินมงคลก้อนนั้น มีอยู่ปีหนึ่งที่เฉิงอี้ไปคารวะท่านยายของเขาในช่วงปีใหม่ ท่านยายของเขาได้ตกรางวัลเป็นลิ่มเงินมงคลหกก้อนแก่เขา นางรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อผ่านพ้นช่วงปีใหม่ เฉิงอี้จึงมอบให้นางก้อนหนึ่ง และบอกกับนางอย่างขอโทษขอโพยว่า  หากไม่ใช่เพราะเป็นของขวัญจากผู้ใหญ่ ข้าก็คงมอบให้เจ้าทั้งหมดแล้ว

 

 

ส่วนลิ่มเงินสมปรารถนาสองสามก้อนนั้น เป็นลิ่มเงินที่พี่สาวมอบให้ คลับคล้ายว่าพี่สาวจะไปเป็นแขกเยือนตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แล้วมีคนมอบให้ พี่สาวจึงให้นางสองสามก้อน เพียงแต่ว่านางจำไม่ได้แล้วว่าเกิดขึ้นเมื่อใด

 

 

สำหรับลิ่มทองนั้น พี่สาวเฉิงเซิงของจวนหลักเป็นผู้มอบให้ จวนหลักร่ำรวยเงินทองเสมอมา อีกทั้งเฉิงเซิงก็เปรียบประดุจอัญมณีล้ำค่าของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทุกๆ ปีในช่วงตรุษจีน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมอบลิ่มทองถุงหนึ่งแก่เฉิงเซิง นางเห็นแล้วก็ตาวาวยิ่งนัก เฉิงเซิงจึงมอบให้นางมาสองสามก้อน

 

 

ซือเซียงเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วมูลค่าประมาณสองร้อยเหลี่ยงเงิน ต้องการแลกทั้งหมดเป็นเงินหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไม่ตอบ

 

 

ลิ่มเงินลิ่มทองเหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญที่ผู้หลักผู้ใหญ่มอบให้ หรือไม่ก็พวกพี่สาวน้องสาวมอบให้ทั้งหมด…

 

 

นางครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ราวกับว่าตนเองได้ทอดทิ้งคำอวยพรของพวกผู้อาวุโสและน้ำจิตน้ำใจอันดีของพวกพี่สาวน้องสาวเพื่อเงินจำนวนเล็กน้อยก็ไม่ปาน

 

 

“อย่าเพิ่งแลกเลย” โจวเสาจิ่นกล่าวกำชับว่า “รอให้ข้าขาดแคลนเงินก่อนค่อยว่ากันอีกที”

 

 

ซือเซียงไม่สงสัยแต่อย่างใด ยิ้มพลางตอบรับ แล้วเก็บลิ่มเงินรางวัลเหล่านั้นลงไปใน**บเช่นเดิม

 

 

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาเดินวนอยู่ในห้อง พลางครุ่นคิดว่าไม่สู้แต่งงานเสียยังจะดีกว่า หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง อยากจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ไม่เหมือนเฉกเช่นยามนี้ที่ดึงแขนเสื้ออย่างไรก็มองเห็นแขนอยู่ดี[3]

 

 

ไม่รู้ว่าคนอื่นผ่านวิกฤตเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

 

จากนั้นนางก็ไปรับมื้อเย็นที่เรือนเจียซู่ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ปรึกษากันถึงเรื่องของขวัญพิธีครบรอบเดือนที่จะมอบให้บุตรชายคนรองของเฉิงสือจวนรอง

 

 

นอกจากเสื้อผ้า ถุงเท้าและรองเท้าของทารกแล้ว ยังมีสร้อยแม่กุญแจอายุยืน[4] ที่ทำจากเงินและทอง กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า และเงินประมาณห้าสิบถึงหกสิบเหลี่ยงปะปนกัน

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

นี่เป็นเพียงพิธีครบรอบเดือนเท่านั้น หากถึงพิธีครบร้อยวันจะไม่ยิ่งมากกว่านี้อีกหรือ!

 

 

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนย่อมไม่รู้ว่าโจวเสาจิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จึงบอกนางกับโจวชูจิ่นว่า “พวกเจ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ส่งงานเย็บปักสักสองสามชิ้นไปให้ก็พอ”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกว่าการเป็นเด็กสาวนั้นก็ไม่เลวนัก ยามที่ต้องแสดงน้ำใจต่อกันพวกนางก็เพียงแค่มอบของขวัญตามความเหมาะสม ไม่ต้องกังวลถึงมูลค่าของขวัญให้มากนัก

 

 

ทว่าปัญหาเรื่องเงินนี้จะทำอย่างไรดีนะ นางยังคิดไม่ตกเสียที

 

 

กระทั่งหลานของจวนหลักกับหลานของจวนรองทำพิธีครบรอบเดือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงถึงพิธีแจกเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้บรรพชน ตระเตรียมของขวัญวันปีใหม่ เก็บค่าเช่าที่ ตรวจนับสมบัติ เร่งทำเสื้อผ้าผืนใหม่สำหรับปีใหม่…ทั้งในจวนและนอกจวน ต่างก็เริ่มยุ่งมากขึ้นแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มรอคอยปีใหม่กันอย่างแช่มชื่น

 

 

ทางด้านห้องศึกษาจิ้งอันก็กลับมาเปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง วันเวลาของโจวเสาจิ่นจึงเงียบสงบและเป็นระเบียบเหมือนเช่นเคย ทุกๆ เช้าไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอัน ตอนบ่ายไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน ตอนเย็นทำงานเย็บปักถักร้อย บางครั้งบางคราวก็ทะเลาะกับเฉิงเจีย และทุกๆ สองสามวันก็ไปเยี่ยมจี๋อิ๋ง

 

 

ในที่สุดจี๋อิ๋งก็คัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ครบห้าร้อยจบเสร็จก่อนที่จะถึงเทศกาลล่าปา

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง เบิกตากว้างอย่างฉงนพลางกระซิบกล่าวว่า “ตอนที่ข้ามาเยี่ยมเมื่อสองสามวันก่อน ยังเห็นแค่ห้าหกเล่มวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าอยู่เลย ไฉนจู่ๆ ถึงได้คัดเสร็จหมดแล้วล่ะ”

 

 

จี๋อิ๋งขึงตาใส่นาง กระซิบกลับไปว่า “เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้างไม่ได้หรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นเข้าใจได้ในทันใด ดวงตาจึงเบิกกว้างยิ่งขึ้น

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะคิก

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ใครช่วยเจ้าคัดหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าให้เงินฉินจื่อผิงไปหนึ่งร้อยเหลี่ยง ฉินจื่อผิงจึงช่วยข้าคัด”

 

 

มีเรื่องที่ดีขนาดนี้ด้วยหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นมองนางอย่างคลางแคลงใจ

 

 

จี๋อิ๋งร้องว่า “เฮ้” ครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “สายตาเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอะไร ข้าทำไม่ถูกหรืออย่างไร ท่านพ่อของข้าบอกว่า  ถ้าหากใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็ให้ใช้เงินแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด มันไม่คุ้มค่าที่ต้องมาเจ็บเนื้อเจ็บตัว ”

 

 

โจวเสาจิ่นปาดเหงื่อ

 

 

บิดาของจี๋อิ๋งมีความคิดเห็นล้ำลึกอีกแล้ว…บางครั้งก็ต้องยอมรับว่า ถ้อยคำของเขามีเหตุผลยิ่งนัก

 

 

จากนั้นโจวเสาจิ่นก็ถามนางว่า “ช่วงเทศกาลล่าปา เจ้ามีแผนการอะไรบ้าง อยากจะไปรับประทานโจ๊กกับข้าหรือไม่ พี่สาวของข้าบอกว่า ปีนี้จะสอนข้าต้มโจ๊ก”

 

 

“เอาสิๆ!” จี๋อิ๋งเอ่ยตอบอย่างดีใจ ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจในชั่วพริบตา “เอาไว้ก่อนดีกว่า หากว่าข้าไปฉลองด้วยก็ต้องโขกศีรษะให้คนนี้ที โขกศีรษะให้คนนั้นที”                                                   

 

 

โจวเสาจิ่นหวังให้พี่สาวชอบจี๋อิ๋งด้วยเหมือนกัน

 

 

นางจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ไปอยู่แค่ในเรือนของพวกเรา และฉลองเทศกาลล่าปาเฉพาะพวกเราสองสามคนเท่านั้น”

 

 

จี๋อิ๋งรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เมื่อเจ้ามาถึงก็ยังนำโจ๊กกลับไปฝากแม่นางหนานผิงกับท่านน้าฉือให้พวกเขาได้ลองชิมดูอีกด้วย”

 

 

“ท่านน้าฉือของเจ้าไม่รับประทานหรอก” จี๋อิ๋งกล่าวแย้ง “ช่วงเทศกาลล่าปาเขาได้รับเชิญให้ไปทานโจ๊กที่วัดกันเฉวียน”

 

 

โจวเสาจิ่นยังคิดว่าจะฉวยโอกาสนี้สร้างคะแนนความประทับใจกับเฉิงฉือได้บ้าง ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว

 

 

นางดูผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เคยได้ยินว่าโจ๊กล่าปาที่วัดกันเฉวียนจะอร่อยแต่อย่างใด ไฉนเขาถึงไปรับประทานโจ๊กที่วัดกันเฉวียนหรือ”

 

 

“เจ้าซื่อบื้อหรือกระไร!” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ใครเชิญเขาไปทานโจ๊กกันเล่า พอถึงช่วงปลายปี วัดกันเฉวียนจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยบริจาคธูป น้ำมันและเงินทองต่างหากเล่า!”

 

 

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าช่วงรับประทานขนมเปี๊ยะปีใหม่หลังตรุษจีนถึงจะเริ่มบริจาคธูป น้ำมันและเงินทองกันหรอกหรือ”

 

 

“ธรรมเนียมที่เจ้ากล่าวถึงเป็นธรรมเนียมของวัดทางตอนเหนือกระมัง” จี๋อิ๋งตอบ “พวกข้าชาวเหนือเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เหมือนพวกเจ้าชาวใต้ อ้อมค้อมยิ่งนัก คิดถึงแต่ชื่อเสียงเพื่อให้คนควักเงินทอง”

 

 

โจวเสาจิ่นบ่นขมุบขมิบว่า “ไม่ใช่ข้าที่ขอให้วัดกันเฉวียนเชิญท่านน้าฉือไปรับประทานโจ๊กสักหน่อย จะว่าไปแล้ว เขาอาจจะไม่ไปก็ได้!”

 

 

“ไม่ไปได้หรือ” จี๋อิ๋งมุ่ยปาก พลางกล่าวอย่างดูแคลนว่า “หากไม่ไปละก็ เจ้าก็รอดูพระเหล่านั้นมานั่งเทศนาให้เจ้าฟังที่บ้านทุกวันได้เลย!”

 

 

จะว่าไปก็จริงอีก

 

 

พระเหล่านั้นล้วนร้ายกาจยิ่งนัก

 

 

ดังเช่นนางในชาติที่แล้ว ยามที่ไปกราบไหว้พระพุทธองค์ที่วัดต้าเจา เริ่มแรกก็เพียงไปเป็นเพื่อนแม่สามี ทว่าภายหลังกลับพัฒนาไปถึงขั้นที่ว่าทุกๆ ปีต้องกำหนดวันเพื่อไปบริจาคเงินห้าร้อยเหลี่ยงให้กับวัดต้าเจา

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวว่า “พอเถอะ พวกเราอย่าคุยเรื่องของเขาเลย กล่าวถึงเขาทีไรข้าไม่มีคำพูดที่ดีสักประโยค ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า ในอีกสองวันข้าต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ย หากว่าเจ้ามาหาข้าอีก ก็ให้ตรงไปหาข้าที่เรือนลี่เสวี่ยได้เลย”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน และถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งกลอกตาพลางกล่าวว่า “บ่าวที่รับใช้ในเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมีไม่พอ ท่านน้าฉือของเจ้าจึงตัดสินใจให้ทุกคนมาอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ย แล้วปิดเรือนส่วนนี้เสีย”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก และถามว่า “ธุรกิจค้าขายในปีนี้ไม่ดีหรือ”

 

 

นางซักถามจี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็ตอบว่า “ดูไม่ออกเหมือนกัน…หรือว่าธุรกิจการค้าขายของเฉิงจื่อชวนในปีนี้จะไม่ดีกันนะ ท่านพ่อของข้าบอกว่า  ดวงจันทร์มีมืดมีสว่างมีกลมมีเว้าเป็นเสี้ยวฉันใด มนุษย์ย่อมมีโชคดีโชคร้ายปะปนกันไปฉันนั้น  เฉิงจื่อชวนดวงดีมาสิบปีแล้ว คงจะถึงคราวดวงตกในปีนี้บ้างแล้วกระมัง”

 

 

“ถ้อยคำเช่นนี้พูดพล่อยๆ ออกมาอย่างนี้ได้หรือ” โจวเสาจิ่นสบถใส่นางทีหนึ่ง แล้วประนมมือไปทางทิศตะวันตก พึมพำสองสามประโยคว่า “โปรดอย่าถือสาคำพูดของเด็กเลยเจ้าค่ะๆ ขอองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอย่าได้ตำหนินางเลยเจ้าค่ะ”

 

 

จี๋อิ๋งโกรธกระฟัดกระเฟียด กล่าวท้วงว่า “หากข้าเป็นเด็ก เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงตระหนักถึงอายุของตัวเอง…นางรู้สึกจุกอยู่ในลำคอไปครู่หนึ่ง

 

 

จี๋อิ๋งเอ่ยถามนางว่า “เจ้าว่า หากข้าบอกท่านพ่อของข้า ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวข้า เฉิงจื่อชวนจะเห็นดีด้วยหรือไม่”

 

 

ความจริงแล้วโจวเสาจิ่นก็ไม่แน่ใจสักเท่าใด

 

 

นางมักจะรู้สึกว่าแม้นท่านน้าฉือจะดูอ่อนโยน แต่กลับลอบเผยให้เห็นความถือตัวที่แผ่ออกมาจากเนื้อแท้ภายในของเขาอยู่หลายส่วน ยามที่การค้าขายของเขาราบรื่น หากว่าบิดาของจี๋อิ๋งนำเงินมาไถ่ตัวนาง เขาคงจะใจอ่อน และอาจจะตอบตกลงก็เป็นได้ แต่ถ้าหากกิจการค้าขายของเขาประสบปัญหาลำบาก ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย ต่อให้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คู่แข่งทางการค้าเหล่านั้นได้ทีขี่แพะไล่ เขาก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับบิดาของจี๋อิ๋งอย่างแน่นอน

 

 

แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมีข้อยกเว้น

 

 

นางเองก็หวังให้จี๋อิ๋งได้กลับไปอยู่เคียงข้างบิดามารดาของตนเองโดยเร็ว กลับไปเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับความรักใคร่จากคนอื่นผู้หนึ่ง

 

 

เพียงแต่เสียดายว่าหากจี๋อิ๋งกลับไปแล้วจริงๆ เกรงว่าวันหลังก็ยากที่พวกนางจะได้พบเจอกันอีก

 

 

“เจ้าลองถามท่านน้าฉือดูสิ!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ต้องลองถามดูสักครั้ง”

 

 

จี๋อิ๋งพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

 

 

ทันใดนั้น ซือเซียงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาโจวเสาจิ่น พลางแจ้งว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ หม่าชื่อให้คนนำจดหมายกลับมาจากจิงโจว คุณหนูใหญ่บอกให้ท่านรีบกลับเรือนเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นไหนเลยจะยังนั่งลงอยู่ได้ นางลุกขึ้นมาทันที พลางกล่าวกับจี๋อิ๋งประโยคหนึ่ง “ข้าขอตัวกลับก่อน” ออกมาอย่างรีบร้อน แล้วกระวีกระวาดออกไปจากเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย

 

 

เรือนของผู้ใดบ้างที่ไม่มีธุระเร่งด่วน

 

 

จี๋อิ๋งจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก

 

 

ทว่าทางด้านเฉิงฉือนั้นกลับได้รับรายงานว่า “…คุณหนูรองตระกูลโจวมาเยี่ยมจี๋อิ๋งอีกแล้วขอรับ ระหว่างที่สนทนากันอยู่ ก็ถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวเรียกตัวกลับไปขอรับ”

 

 

เฉิงฉือตอบว่า “อืม” แล้วบอกไหวซานว่า “ก่อนวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบสอง ต้องย้ายเรือนให้เสร็จ”

 

 

ไหวซานรับคำแล้วถอยออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับดวงใจจะกระโดดออกมาจากทรวงก็ไม่ปาน

 

 

นางรีบเดินกลับไปด้วย พลางไถ่ถามซือเซียงไปด้วยว่า “ท่านพี่ได้รับจดหมายตั้งแต่เมื่อใด ได้กล่าวอะไรบ้างหรือไม่”

 

 

“เพิ่งได้รับจดหมายเมื่อสักครู่นี้เองเจ้าค่ะ” ซือเซียงรีบเดินตามโจวเสาจิ่น พลางตอบว่า “ไม่ได้กล่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ ทั้งยังมองไม่ออกเลยว่ารู้สึกยินดีหรือไม่ยินดีเจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนั้นจะถือว่าเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันนะ

 

 

อย่างน้อยทางด้านหม่าชื่อก็ยังมีจดหมายส่งกลับมา ทว่าทางด้านฝานฉีกลับไม่มีแม้แต่จะให้คนนำเศษกระดาษมาส่งให้นางเลยสักแผ่น

 

 

ดูเวลาแล้วก็ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หากเขายังไม่กลับมาอีก นางจะอธิบายกับฝานหลิวซื่อว่าอย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นเร่งฝีเท้ากลับเรือนหว่านเซียงไปอย่างร้อนรน

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

 

 

 

 

[1]  อักษรข่ายซู  (楷书) หรืออักษรบรรจง เป็นอักษรรูปแบบมาตรฐานของอักษรจีน ลักษณะเด่นของอักษรข่ายซู คือแต่ละขีดของอักษรจะเป็นระเบียบ ไม่ตวัด และเป็นรูปสี่เหลี่ยม

 

 

[2]  อักษรก่วนเก๋อ  (馆阁体) เป็นอีกชื่อหนึ่งของอักษรข่ายซู

 

 

[3]  ดึงแขนเสื้ออย่างไรก็มองเห็นแขนอยู่ดี  (捉襟见肘) เปรียบเปรยได้ว่า เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยนั้นแสดงถึงความแร้นแค้นขัดสน 

 

 

[4]  สร้อยแม่กุญแจอายุยืน  (长命锁) หรือ สร้อยจางหมิงสั่ว เป็นสร้อยมงคลรูปแม่กุญแจที่ใช้คล้องคอทารกเพื่ออวยพรให้อายุยืน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset