ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 150 แก้ไข

ย้ายบ้านด้วยตัวเอง!

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้างอย่างตกตะลึง เห็นจี๋อิ๋งกำลังคุยอยู่กับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุรุษผู้นั้น

 

 

บุรุษผู้นั้นสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมลู่สีน้ำตาลตัวหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบสองถึงยี่สิบสามปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวเนียนละเอียด ดูไปแล้วองคาพยพทั้งห้ามีความคล้ายคลึงกับฉินจื่ออันอยู่หกถึงเจ็ดส่วน ใบหน้าแต้มรอยยิ้มแม้นไม่พูด ไม่เพียงดูอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อยกว่าฉินจื่ออันเท่านั้น ยังดูเป็นมิตรกว่าฉินจื่ออันอีกด้วย

 

 

หรือว่าเขาคือฉินจื่อผิงที่จี๋อิ๋งชอบกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ ผู้นั้น

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังคาดเดาอยู่นั้น

 

 

บุรุษผู้นั้นก็ราวกับรู้สึกได้ถึงการมาถึงของนาง จึงหันมามองโจวเสาจิ่น

 

 

สายตาของคนทั้งสองสบประสานกันพอดี

 

 

นอกจากจะลอบสำรวจผู้อื่นอย่างไร้มารยาทเช่นนี้แล้ว ยังถูกผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขาอีกด้วย ใบหน้าของโจวเสาจิ่นจึงขึ้นสีแดงเรื่อ รีบหันไปพยักหน้าให้บุรุษผู้นั้น และยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน

 

 

บุรุษผู้นั้นประหลาดใจเล็กน้อย กำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง ทว่าจี๋อิ๋งเดินเข้ามาหาเสียก่อนด้วยอาการดีใจ “คุณหนูรอง เจ้ามาได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่ให้สาวใช้มาบอกก่อน ที่นี่ข้าวของรกรุงรังยิ่งนัก…” ขณะที่นางกล่าว ก็ย่นคิ้วขึ้น แล้วกล่าวกับบุรุษชุดน้ำตาลผู้นั้นอย่างไม่เกรงใจว่า “ฉินจื่อผิง เจ้าไปหาชากับของกินเล่นมาให้ข้าสักหน่อย ตอนที่ขนย้ายข้าวของมาเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเอาใบชาไปวางที่ใดเสียแล้ว”

 

 

ฉินจื่อผิงขาน “อืม” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

จี๋อิ๋งจึงดึงโจวเสาจิ่นไปนั่งด้านในห้อง

 

 

ตอนที่เดินผ่านห้องโถงนั้น โจวเสาจิ่นถึงได้เห็นว่ามีบ่าวรับใช้สองคนกำลังช่วยกันจัดเก็บข้าวของกันอยู่

 

 

นางถามขึ้นว่า “นี่มันอะไรกันหรือ การย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่ แต่เหตุใดถึงจัดคนมาช่วยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ข้าฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว นี่คงเป็นความตั้งใจของท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับคนเพิ่มใช่หรือไม่ หากไม่ไหวข้าจะให้คนจากเรือนหว่านเซียงมาช่วยเจ้าขนย้ายของ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่คุ้มค่ากับการต้องบันดาลโทสะหรอก”

 

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้จี๋อิ๋งหัวเสียเป็นอย่างมาก นางดูผ่อนคลายลงราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งลง จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวว่า “ไอโหยว ยังดีที่เจ้ามาหา ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เสียแล้ว ประเดี๋ยวพอฉินจื่อผิงเข้ามาแล้วข้าจะถามฉินจื่อผิง ไม่ให้จ้างคนจากข้านอก แต่บ่าวรับใช้ของพวกเจ้าคงใช้ได้กระมัง ถ้าหากแม้แต่คนเหล่านี้ก็ยังเชื่อถือไม่ได้ ข้าก็อับจนหนทางแล้ว คงทำได้แต่ขนย้ายวันนี้สักหน่อยแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยขนย้ายอีกสักหน่อย ขนถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น จะคอยดูว่าเขาจะว่าอย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะพลางพยักหน้า

 

 

ฉินจื่อผิงกลับเข้ามา เขาไม่เพียงนำใบชาเข้ามาให้พวกนางเท่านั้น ยังนำอุปกรณ์ชงชาศิลาดลมาให้ด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเชิญฉินจื่อผิงดื่มชาด้วยกัน

 

 

แต่ยังไม่ทันที่ฉินจื่อผิงจะได้เอ่ยปาก จี๋อิ๋งก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “เขาไหนเลยจะมีเวลามานั่งดื่มชา ท่านน้าฉือของเจ้าต้องการให้พวกเราทั้งหมดย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ยก่อนวันที่ยี่สิบสอง ส่วนของข้าทางนี้ยังดีหน่อย นอกจากดาบเล่มนั้นแล้ว ก็ไม่มีของมีค่าอะไรแล้ว ที่แตกได้ก็แตกไปแล้ว ที่หยิบฉวยได้ก็หยิบฉวยไปแล้ว แต่ทางด้านของหนานผิงนั้นน่าเป็นห่วงกว่ามาก นอกจากซุ้มดอกไม้แล้วยังมีโต๊ะตัดเย็บเสื้อผ้า กระดาษ สีวาดภาพ เศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่างๆ…และอีกมากมายนัก แค่**บใส่ของก็บรรจุไปแล้วกว่ายี่สิบถึงสามสิบ**บ เขาต้องไปช่วยหนานผิงขนของอีก”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเราไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว”

 

 

ฉินจื่อผิงมองจี๋อิ๋งครั้งหนึ่ง ประสานมือคำนับแล้วเดินจากไป

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “พ่อบ้านฉิน โกรธแล้วใช่หรือไม่”

 

 

“โกรธหรือ” จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาต้องโกรธด้วยเล่า” กล่าวจบ นางก็กล่าวขึ้นอีกครั้งราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า “หรือว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ข้าชี้นิ้วสั่งเขาต่อหน้าเจ้า เขาก็เลยโกรธอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่หรอกมั้ง…เมื่อก่อนข้าก็มักจะชี้นิ้วสั่งเขาต่อหน้าหนานผิงกับไหวซานอยู่บ่อยๆ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา…” นางคิดไม่ออก จึงไม่เสียเวลาคิดอีก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราอย่าสนใจเรื่องของเขาเลย เขาผู้นี้เป็นคนไม่เลวนัก ต่อให้โมโห แต่คาดว่าประเดี๋ยวก็คลายลงแล้ว” จากนั้นก็รินน้ำชาให้โจวเสาจิ่นด้วยตัวเองหนึ่งจอก กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้า คงมีเรื่องอะไรกระมัง”

 

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร…” เนื่องจากเฉิงอี้เป็นญาติผู้พี่ของตน โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ในวันเทศกาลล่าปาวันนั้น ข้าเชิญเจ้ากับพี่สาวเจียไปรับประทานโจ๊กล่าปาด้วยใช่หรือไม่ วันนั้นพี่ชายอี้ก็อยู่ด้วย…”

 

 

นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จี๋อิ๋งฟังอย่างอึกๆ อักๆ

 

 

จี๋อิ๋งประหนึ่งถูกก้อนหินทุบตรงหลังศีรษะก็ไม่ปาน ครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด จนกระทั่งได้สติกลับมา ก็โกรธจนกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “สารเลว เขาใช้ตาข้างไหนมองว่าข้าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของเฉิงจื่อชวนอย่างนั้นหรือ” ขณะที่กล่าว ก็หมุนตัวหมายจะไปหยิบดาบที่แขวนอยู่บนผนังบ้านเล่มนั้น

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจจนใบหน้าซีดเผือด

 

 

หากปล่อยให้จี๋อิ๋งถือดาบแล้วพุ่งออกไปเช่นนี้ ต่อให้มีท่านน้าฉือคอยปกป้อง ก็เกรงว่าอาจจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้เสียแล้ว!

 

 

หากเกิดไปทำร้ายเฉิงอี้จนบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ…นางกับพี่สาวคงไม่มีหน้าไปเจอท่านยายกับท่านป้าใหญ่แล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นจึงกอดเอวของจี๋อิ๋งเอาไว้แน่นโดยไม่คิด และกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “จี๋อิ๋ง ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของพี่ชายอี้ของข้า แต่ขอให้เจ้าเห็นแก่หน้าของข้า อย่าไปมีเรื่องกับเขาเลย ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ของข้าไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ตราบใดที่เจ้าไม่ยินยอม ย่อมไม่มีทางบีบบังคับเจ้าให้ไปติดตามอยู่กับพี่ชายอี้ของข้า เจ้าวางใจได้เลย…”

 

 

จี๋อิ๋งสลัดตัวหนีจนโจวเสาจิ่นถูกทิ้งค้างเติ่งเอาไว้กลางอากาศ

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

จี๋อิ๋งหมุนกายกลับมา กล่าวขึ้นด้วยอาการร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ว่า “ข้าจะไปหาเฉิงจื่อชวน! ไม่ได้จะไปหาพี่ชายอี้ของเจ้าผู้นั้นเสียหน่อย!”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วไม่มีแม้แต่เวลาจะมาไล่เลียงถามว่าเหตุใดจี๋อิ๋งถึงสลัดตัวออกจากอ้อมกอดของตนได้อย่างง่ายดายปานนั้น รีบกล่าวขึ้นก่อนว่า “จะ…เจ้าไม่ได้จะไปหาพี่ชายอี้หรอกหรือ!”

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ!” จี๋อิ๋งมองโจวเสาจิ่นอย่างพูดไม่ออก กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปหาเขาเพื่ออะไร ก็อย่างที่เจ้าพูดมา ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ตราบใดที่ข้าไม่ยินยอม พวกนางย่อมไม่มีทางปล่อยให้เฉิงอี้มาสร้างความวุ่นวาย ข้าไม่พอใจท่านน้าฉือของเจ้าต่างหาก…หากไม่ใช่เขา จะมีคนนั้นคนนี้มาเข้าใจผิดว่าข้าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของเขาได้อย่างไร!”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าความคิดของนางแปลกประหลาดยิ่งนัก

 

 

เวลานี้ไม่ใช่ว่านางควรจะคิดหาวิธีไปชี้แจงกับท่านยายและท่านป้าใหญ่หรอกหรือ

 

 

แต่เหตุใดถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปคิดบัญชีกับท่านน้าฉือได้เล่า

 

 

นอกจากนี้เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับท่านน้าฉือด้วย!

 

 

เป็นพี่ชายอี้เองที่สะดุดตาและสนใจในตัวนาง และก็เป็นพี่ชายอี้เองที่เข้าใจไปเองว่านางเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านน้าฉือ…หรือว่าหลายปีที่ผ่านมายามเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจี๋อิ๋งล้วนแล้วแต่คิดว่าเป็นความผิดของท่านน้าฉืออย่างนั้นหรือ

 

 

“เรื่องเมื่อก่อนข้าไม่รู้ แต่เรื่องในครั้งนี้ คงผิดแล้วหากเจ้าจะตำหนิท่านน้าฉือ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ถ้าหากบอกว่าท่านน้าฉือพูดอะไรหรือทำอะไรบางอย่างตอนที่อยู่ต่อหน้าพี่ชายอี้ของข้า แล้วทำให้พี่ชายอี้ของข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านน้าฉือ เช่นนั้นก็เป็นท่านน้าฉือที่ทำไม่ถูก แต่พี่ชายอี้ของข้านั้น ในหนึ่งปีสี่ฤดูยังยากนักที่จะได้เจอหน้าท่านน้าฉือสักครั้งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเขาที่เข้าใจผิดไปเอง เช่นนั้นเจ้าจะไปตำหนิท่านน้าฉือได้อย่างไร! ระหว่างทางที่ข้าเดินมาที่นี่ก็ได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าหากเจ้าเห็นด้วย ข้าก็จะไปพูดกับพี่ชายอี้ แต่หากเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกท่านน้าฉือ ให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจให้เจ้า ถ้าหากเขาไม่สนใจ หรือพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมา เจ้าค่อยตำหนิเขาตอนนั้นก็ยังไม่สาย!”

 

 

จี๋อิ๋งไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้จะพุ่งตัวออกไปด้านนอกอีก

 

 

โจวเสาจิ่นจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่า การที่พี่ชายอี้กล้าที่จะพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าต้องการไปขอเจ้ากับท่านน้าฉือ แสดงว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเองชอบเจ้าอย่างจริงใจ ทั้งยังคิดจะให้ตำแหน่งหนึ่งแก่เจ้า หากว่ากันตามนี้แล้วเขาคงคิดว่า หากเจ้าติดตามอยู่กับเขาอาจจะมั่นคงกว่าติดตามอยู่กับท่านน้าฉือ พวกเราเพียงต้องทำให้เขารู้ว่า ต่อให้เจ้ายอมติดตามอยู่กับเขา เขาคิดจะให้ตำแหน่งแก่เจ้า แต่นอกจากต้องดูว่าท่านยายกับท่านป้าใหญ่จะยินดีด้วยหรือไม่แล้ว ยังต้องดูอีกด้วยว่าภรรยาในอนาคตของเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือมีความสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ด้วยตัวเอง หากเจ้าติดตามอยู่กับท่านน้าฉือ ถึงแม้จะเป็นสาวใช้อุ่นเตียง ตราบใดที่ท่านน้าฉือยังให้เจ้ารั้งอยู่ข้างกายเขา ต่อให้ในอนาคตท่านน้าฉือจะแต่งงานแล้ว ท่านน้าสะใภ้ฉือก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าเจ้าอย่างตามใจชอบได้…หากพี่ชายอี้ปรารถนาดีกับเจ้าอย่างจริงใจ ก็คงไม่คิดสร้างเรื่องวุ่นวายเพิ่มให้เจ้าหรอก” นางกล่าวถึงตรงนี้ ก็มองไปที่จี๋อิ๋งอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย กล่าวต่อว่า “เพียงแต่จะทำให้เจ้าต้องลำบากใจ…ต้องแบกรับคำครหาหนึ่งเอาไว้…เกรงว่าต่อไปในภายภาคหน้าก็อาจจะมีการเข้าใจผิดเช่นนี้บ้างเช่นนั้นบ้างเกิดขึ้นได้อีก…”

 

 

จี๋อิ๋งกลับไม่ใส่ใจนัก กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องอยู่ข้างกายท่านน้าฉือของเจ้าสิบปี ต่อให้เขาไม่เข้าใจผิดก็มีผู้อื่นเข้าใจผิดอยู่ดี ต่อให้ตอนนี้ไม่เข้าใจผิดต่อไปในอนาคตก็อาจจะเข้าใจผิดอยู่ดี ในเมื่อเจ้าคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปพูดกับเฉิงอี้เสียเถิด!”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าจี๋อิ๋งจะเป็นคนพูดง่ายขนาดนี้ จึงโอบไหล่ของนางเอาไว้อย่างซาบซึ้งใจ กล่าวขึ้นว่า “ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะต้องทำให้พี่ชายอี้กล่าวคำสาบานให้ได้ว่าจะไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับท่านน้าฉือไปทั่ว”

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มีอะไรให้ต้องรู้สึกขอบคุณหรือ ก็เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ว่านางไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจจริงๆ กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าช่างใจกว้างเสียจริง”

 

 

จี๋อิ๋งยิ้มเยาะ พลางกล่าว “แค่นี้ก็ถือว่าใจกว้างแล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “ถ้าหากเกิดกับข้า ข้าต้องกังวลอย่างมากเป็นแน่”

 

 

“ไม่หรอก!” จี๋อิ๋งบอกอย่างมั่นใจพลางแตะศีรษะของนางเบาๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ดูความคิดที่เจ้าเสนอมาอันนั้นสิ เจ้าไม่มีทางเป็นคนที่เอาแต่นั่งรอความตายเป็นแน่ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ย่อมคิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นชะงักงัน

 

 

ชาติก่อน นางลุกลี้ลุกลนอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา แม้แต่จะเผชิญหน้ากับท่านยายและคนอื่นๆ ก็ยังไม่กล้าเลย…

 

 

ชาตินี้ นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดถึงการกระทำทุกอย่างของตนนับตั้งแต่ที่นางย้อนเวลากลับมาไปตลอดทางที่เดินกลับเรือน หมายจะหาดูว่านางมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

 

 

แต่เฉิงฉือที่อยู่ในเรือนลี่เสวี่ยนั้น หลังจากที่ได้ฟังรายงานของไหวซานแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ถามขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวกล่าวเช่นนั้นจริงๆ หรือ”

 

 

“จริงขอรับ!” ไหวซานกล่าว “คุณหนูรองตระกูลโจวกล่าวว่า ท่านมีความสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ด้วยตัวเอง ต่อให้ในอนาคตท่านจะแต่งงานแล้ว แต่ตราบใดที่ท่านยังให้จี๋อิ๋งอยู่ข้างกาย ต่อให้เป็นภรรยาเอกของท่านก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าจี๋อิ๋งอย่างตามใจชอบได้…”

 

 

เฉิงฉือมองไหวซานอย่างแปลกใจไปครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียหน่อย เจ้าเอาแต่พูดพล่ามถึงเรื่องพวกนี้ไปทำไม”

 

 

ไหวซานกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “เช่นนั้นท่านถามถึงอะไรหรือขอรับ ข้ารู้สึกว่าในคำพูดของคุณหนูรองตระกูลโจวที่พูดมาเหล่านั้น ก็มีเพียงไม่กี่ประโยคนี้เท่านั้นที่ฟังเข้าหูที่สุด นอกจากนี้ นางอายุยังน้อย อีกทั้งยังเป็นเพียงบุตรสาวคนที่สองของตระกูล แต่กลับไม่มีนิสัยเสียอย่างเช่นคุณชายหรือคุณหนูเหล่านั้นที่ไม่สนใจประหยัดมัธยัสถ์…”

 

 

“พอได้แล้ว!” เฉิงฉือพูดตัดบทคำพูดของไหวซานอย่างทนต่อไปไม่ได้ว่า “ที่ข้าถามถึงคือ นางให้จี๋อิ๋งแสร้งยอมรับต่อหน้าเฉิงอี้ว่าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของข้า แต่จี๋อิ๋งกลับไม่ได้โมโหจนชักดาบออกมาบั่นคอคนอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เปล่าขอรับ” ไหวซานกล่าว “ป้าซางบอกว่า นางเห็นคุณหนูรองตระกูลโจวกอดเอวของจี๋อิ๋งเอาไว้แน่นจากภายในห้องโถง ตอนนั้นยังตกใจเป็นอย่างมากไปครั้งใหญ่ กลัวว่าจี๋อิ๋งจะทำร้ายคุณหนูรองตระกูลโจวจนบาดเจ็บ ตอนที่นางรุดไปจนถึงฉากกั้นแล้วนั้น กลับพบว่าจี๋อิ๋งใช้วิทยายุทธ์กระบวนท่าเฉพาะของตระกูลจี้อย่างจักจั่นลอกคราบสลัดตัวออกมา โชคดีที่คุณหนูรองตระกูลโจวไม่รู้อะไร ก็เลยไม่ได้ไล่เลียงเค้นถามต่อ ไม่เช่นนั้นต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ท่านว่า ควรให้จี๋อิ๋งไปอยู่ที่เจ่าหยวนสักพักหรือไม่ขอรับ”

 

 

เฉิงฉือไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด ได้แต่เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเขียนหนังสือเบาๆ

 

 

ไหวซานจึงกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านสี่ ยังมีอีกเรื่องขอรับ…ฝานฉีผู้นั้น กำลังเดินทางกลับมาจากจิงเฉิงแล้ว คาดว่าภายในสองถึงสามวันนี้ก็น่าจะมาถึงเมืองจินหลิงแล้วขอรับ”

 

 

…………………………………………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset