โจวชูจิ่นกุมหน้าเอาไว้แล้วร้องไห้ขึ้นมา “ตอนที่ตระกูลเฉิงเกิดเรื่องนั้นพี่เขยของเจ้าก็เสนอเรื่องการขอสละสิทธิ์การเป็นผู้สืบทอดของตระกูลออกมา ด้วยต้องการปกป้องข้าและหลานชายของเจ้า สุดท้ายเป็นท่านผู้นำตระกูลให้คำกล่าวว่า ตระกูลเลี่ยวไม่ใช่คนประเภทที่ไร้เกียรติไม่มีความซื่อสัตย์ ถึงได้ล้มเลิกไป…ต่อให้ข้าต้องเป็นวัวเป็นม้าก็ไม่อาจตอบแทนความดีของพี่เขยเจ้าได้”
อย่างน้อยพี่สาวก็ไม่เป็นอะไร
นางสบายใจขึ้นมาก แต่ว่ามักจะนึกถึงคนตระกูลเฉิง นึกถึงวันเวลาที่ตัวเองอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงขึ้นมาอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเฉิงเก้าที่เป็นคนมั่นคง เงียบขรึม จิตใจกว้างขวางและใจดี ในปีที่นางเกิดเรื่องขึ้นนั้น คนจากจวนสองและจวนสามล้วนเงียบกริบไม่พูดอะไรสักอย่าง มีเพียงคนจากจวนสี่ที่ออกหน้าแทนนาง เฉิงเก้าถึงขนาดไปต่อยเฉิงสวี่อย่างแรงกำปั้นหนึ่ง ในปีที่ยี่สิบเจ็ดรัชศกจื้อเต๋อ เฉิงเก้าในนามจินหลิงสอบเข้าซู่จี๋ซื่อได้ สังกัดกรมราชทัณฑ์ ยังพาภรรยาและบุตรชายมาเยี่ยมนางเป็นการเฉพาะด้วย
คนที่ดีขนาดนี้ อนาคตกำลังสดใส ทำไมพอพูดว่าไม่มีก็คือหายไปเลยได้อย่างไร
ยังมีเฉิงอี้ที่ในยามปกติมักชอบหัวเราะเฮฮาไม่มีลักษณะที่สำรวม แต่กลับโต้แย้งกับมารดาของเฉิงเจียเพื่อนาง ทั้งยังกลายมาเป็นคู่อริกับเฉิงจวี่
พวกเขามีความผิดอะไร
อาจจะเป็นเพราะว่าแซ่เฉิง
จึงหายไปเลยเช่นนี้
คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของนางก็ไหลลงมาเป็นสายน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่หยุด
ต่อมา เฉิงลู่มาหานาง
นางทนไม่ได้อีก
ทำไมคนดีๆ ต้องตายตกกันไปหมด แต่คนเช่นเฉิงลู่ที่ถูกตระกูลเฉิงขับไล่ออกจากตระกูลเช่นนี้กลับได้รับความโชคดีในความโชคร้าย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดีขึ้น
สวรรค์ช่างอยุติธรรมนัก!
ด้วยเหตุนี้จึงมีแผนลอบสังหารขึ้นในเวลาต่อมา
คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของโจวเสาจิ่นเริ่มไหลไม่หยุดอีกครั้ง แต่ว่านางรีบเช็ดน้ำตาจนแห้ง
เพราะได้พูดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้ ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไรก็จะไม่ร้องไห้น้ำตาร่วงอีก
เกลียดยิ่งนักที่นางในชาติที่แล้วใช้ชีวิตอย่างสับสนมึนงง นอกจากจะไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเองสักอย่างแล้ว วันนี้ที่อยากจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่รู้ในชาติก่อนเพื่อช่วยเหลือตระกูลเฉิงกลับไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักอย่างในหัว
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ตั้งข้อสมมติฐานขึ้น ถ้าหากพี่สาวเผชิญกับเรื่องพวกนี้จะทำอย่างไรบ้างนะ?
เล่าให้ท่านยายฟัง?
ไม่น่าจะเป็นไปได้
นางที่เหมือนกับคนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เพื่อชื่อเสียงของนางแล้ว พี่สาวล้วนปิดบังเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบและถูกกำจัดแบบถอนรากถอนโคนโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้!
คิดหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง?
เห็นได้ชัดว่าการล่มสลายของตระกูลเฉิงนั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในราชสำนัก ไม่ต้องพูดถึงพวกนางที่เป็นสตรีในจวนที่ประตูชั้นนอกไม่ออกประตูชั้นในไม่ข้าม แม้แต่ท่านพ่อที่คนเรียกขานว่า ‘ข้าราชการผู้มีความสามารถ’ ขั้นสี่ก็ยังไม่มีอำนาจพอเข้าไปแทรกแซงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
คิดมาถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นคิดแผนดีๆ ขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่านางจะไม่มีวิธีเปลี่ยนแปลงชะตาร้ายของตระกูลเฉิงได้ แต่นางสามารถบอกเล่าเรื่องนี้แก่ใครสักคนที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของตระกูลเฉิงได้ ให้คนผู้นั้นไปหยุดยั้งแทน!
แต่ ‘การบอกเล่า’ ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนัก
ประสบการณ์จากช่วงหลายวันมานี้ทำให้นางเข้าใจเรื่องหนึ่งได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น นั่นคือ หากว่าช่องว่างของตำแหน่ง ความสามารถ ความรู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจะไม่มีน้ำหนักมากพอในสายตาของคู่สนทนา ไม่สามารถดึงความสนใจของอีกฝ่ายขึ้นมาได้
นี่คือสิ่งที่ผู้คนมักพูดถึงกันที่ว่าคนตัวเล็กตัวน้อยคำพูดก็มีน้ำหนักน้อย
ที่สำคัญอยู่ที่ตระกูลเฉิงนี้ นางคือคนประเภทนั้น!
คนที่กำเนิดอยู่ในบ้าน เติบโตมาอยู่ในห้องหอ ในสายตาของผู้ใหญ่ก็เป็นเพียงคนที่ยังรู้คำไม่ครบถ้วน เรื่องความรู้ความสามารถยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะไปมีคุณสมบัติอะไรไปพูดเรื่องความรุ่งโรจน์และความล่มสลายของตระกูลได้? ไม่แน่ว่าเพียงถ้อยคำของตัวเองออกจากปาก ก็อาจจะถูกมองว่า ‘เป็นบ้าเสียสติ’ แล้วส่งไปให้ท่านพ่อลงโทษ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเหมือนกับที่พี่สาวเข้าใจว่านางถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง หาพระมาทำพิธีให้ สิ่งที่นางพูดยิ่งไม่มีคนเชื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการช่วยเหลือตระกูลเฉิง!
แต่หากว่าสามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ใหญ่สักคนในตระกูลเฉิงที่พูดได้น่าเชื่อถือ นางหาเวลาที่เหมาะสมส่งสัญญาณเตือน เช่นนี้ไม่เพียงสามารถทำให้ตระกูลเฉิงรอดพ้นจากชะตาร้าย ยังไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองด้วย!
โจวเสาจิ่นพลันยินดีขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ใช้ได้!
ถ้าหากตระกูลเฉิงยังปลอดภัยอยู่ดีมีสุข พี่สาวย่อมไม่ขาดที่พึ่ง ท่านพ่อย่อมไม่ต้องโดนร่างแหไปด้วย ท่านยาย ท่านลุงท่านป้า พี่ชายเก้าและพี่ชายอี้ก็สามารถมีอนาคตที่รุ่งโรจน์เพื่อกอบกู้ทรัพย์สินของครอบครัว…ไม่แน่ว่าอาจจะมีมากกว่าจวนหลักก็เป็นได้!
ถึงเวลานั้นให้คนตระกูลเฉิงจวนหลัก จวนรอง จวนสาม และจวนห้าทั้งหมดล้วนต้องเกรงใจสีหน้าของจวนสี่!
คิดถึงว่าจวนสี่อาจจะสามารถกดดันผู้นำหลายคนของจวนอื่นได้ โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา พิงอยู่กับหัวเตียงพลางคิดกับตัวเองว่าอาศัยใครส่งสัญญาณเตือนดี
ผู้ที่เหมาะสมที่สุดไม่มีใครเกินท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนสองแล้ว เรื่องมีบารมีนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และความรู้ล้วนไม่มีผู้ใดไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้มีความรู้เทียบได้ ถ้อยคำของเขาที่กล่าวออกมาไม่มีใครในตระกูลเฉิงกล้าโต้แย้งด้วยแน่นอน
แต่ว่าเขาจากไปอย่างสงบในวัยแปดสิบแปดปี ทว่าตระกูลมีเรื่องเกิดขึ้นในปีที่สองของรัชศกเทียนซุ่น ปีที่สี่หลังจากที่เขาเสียชีวิต…จึงเป็นท่านผู้นำตระกูลเฉิงจากจวนสอง…ไม่ได้!
เช่นนั้นก็เหลือเพียงนายท่านใหญ่เฉิงจิงของจวนหลัก
เขาไม่เพียงแต่เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิงจวนหลัก ยังเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในราชสำนักของตระกูลเฉิงในเวลานี้อีกด้วย ตอนนี้ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเข้ามารับช่วงต่อเฉิงซวี่อยู่รางๆ รอจนเฉิงซวี่เสียชีวิต ก็กลายมาเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลเฉิงอย่างไม่ยอมยกให้ผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังมีตำแหน่งเป็นชื่อฝู่ [1] ในคณะเจ้ากรมอีกด้วย
แต่ว่าเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เกือบสิบปีแล้วไม่ได้กลับบ้าน ตนเองนั้นเคยเจอเขาไกลๆ เพียงครั้งเดียวตอนที่ยังเป็นเด็ก แม้แต่รูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยังจำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อได้คุยกับเขาแล้วจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขา
นายท่านรองเฉิงเว่ยจากจวนหลัก?
เขาเองก็อยู่เมืองหลวง เป็นบัณทิตอยู่ที่สถาบันการศึกษาฮั่นหลิน ถึงแม้ว่าต่อมาจะได้เลื่อนไปดำรงตำแหน่งที่ฝ่ายกวงซื่อชิง [2] ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ลำแสงของพี่ชายของเขาแล้ว นางไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นที่ตระกูลเฉิงมีเรื่องเกิดขึ้นนี้ก็เป็นเพราะจับเรื่องราวการทุจริตของเขาได้…หาเขา เช่นนั้นไม่สู้ไปหาพี่ชายของเขาเฉิงจิงดีกว่า!
นายท่านใหญ่เฉิงอี๋จากจวนสอง?
ในวัยสิบแปดปีเขาก็ได้เป็นจวี่เหริน ทว่าหลังจากนั้นสอบอีกหลายต่อหลายครั้งก็สอบไม่ผ่านอีกเลย บุตรชายของตนเองสอบได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว เขายังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม กล่าวได้ว่าเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องที่ว่า ‘บิดาเป็นจวี่เหรินบุตรชายเป็นจิ้นซื่อ’ จึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมการสอบของราชสำนักอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นจึงรับช่วงต่อดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าประจำสำนักศึกษาแห่งตระกูลเฉิง
ในความทรงจำของนางนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยออกจากจินหลิงอีกเลย
ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงนั้นผูกติดอยู่กับราชสำนัก เขาซึ่งไม่ได้รับราชการในราชสำนัก จะมีอิทธิพลต่ออนาคตของตระกูลเฉิงได้อย่างไร
เขาก็ไม่เหมาะสม
นายท่านใหญ่เฉิงหลูจากจวนสาม?
ทุกคนต่างพูดกันว่าเขาเรียนหนังสือจนเพี้ยน แม้แต่จิ่วไช่ [3] กับสุ่ยเซียน [4] ก็แยกไม่ออก เฉิงเจิ้งผู้เป็นบุตรชายเป็นถึงจวี่เหรินแล้ว เขากลับยังเป็นแค่ซิ่วไฉ นายท่านผู้เฒ่าจวนสามมีเรื่องอะไรก็ไม่ถามบุตรชายผู้นี้ ล้วนตรงไปหารือกับเฉิงเจิ้งแทน…นับว่าเขาไม่มีความสำคัญอะไรในจวนสาม
คนประเภทนี้…ก็ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน!
ท่านลุงใหญ่เหมี่ยน?
ลืมไปเลยจะดีเสียกว่า!
แม้แต่พี่สาวก็ไม่เชื่อคำพูดของนางแล้ว ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนยิ่งไม่มีทางเชื่อคำพูดของนาง หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจจะไปรบกวนพี่สาวกับท่านยายได้ ถึงเวลานั้นอาจจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสียเอาได้
สำหรับนายท่านใหญ่เฉิงเวิ่นจากจวนห้านั้น นอกจากเที่ยวหอนางโลมแล้วก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ฝากความหวังไว้ที่เขาไม่สู้ฝากความหวังไว้ที่เฉิงเก้ายังจะดีกว่า
พอนึกมาถึงเฉิงเก้า ดวงตาของโจวเสาจิ่นก็สว่างวาบขึ้น
เป็นไปได้ว่าเฉิงเก้าอาจจะเชื่อนาง!
เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เขาไปพูดกับนายท่านใหญ่จิง…แต่ว่าเขากับนายท่านใหญ่จิงอยู่กันคนละจวน ทั้งยังเป็นรุ่นที่เด็กกว่า ดูเหมือนว่าก็เป็นยากเช่นเดียวกันกว่าจะได้พบกับนายท่านใหญ่จิง
เช่นนั้น ก็ไม่สู้ไปหาเฉิงสวี่!
นึกถึงคนผู้นั้นแล้ว อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ซับซ้อนขึ้นมา
หยวนซื่อให้กำเนิดบุตรสาวติดต่อกันสองคน กระทั่งอายุมากกว่าสามสิบปีแล้วถึงได้บุตรชายผู้นี้มา ปฏิบัติต่อเขาราวกับไข่มุกและหยกก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเป็นของล้ำค่าอะไรที่เขาปรารถนาล้วนนำมาประเคนให้ต่อหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเฉิงสวี่เองก็มีความสามารถ ได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังได้ลำดับที่หนึ่งด้วย หยวนซื่อจึงยิ่งปฏิบัติกับเขาราวดวงใจก็ไม่ปาน ไม่ต้องเอ่ยปากกล่าวถ้อยคำ เพียงแค่ส่งเสียงเสียงเดียว หยวนซื่อล้วนขานรับอย่างเคารพราวกับรับราชโองการ ถ้าหากว่าเขาสามารถช่วยออกหน้าให้ หยวนซื่อจะต้องยืนอยู่ข้างเขาอย่างแน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องแยกแยะแดงเขียวหรือขาวดำ นอกจากนี้นายท่านใหญ่จิงก็เคารพภรรยาของตัวเอง ทั้งยังรักบุตรชายหญิงของตัวเองยิ่ง ยามหยวนซื่อกล่าวอะไร ถึงแม้ว่านายท่านใหญ่จิงจะรู้สึกว่าไร้สาระ ก็จะทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินไปเสีย เรื่องนี้ก็จะประสบผลสำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ความคิดวาบผ่าน ความยินดีบนใบหน้าของโจวเสาจิ่นก็ค่อยๆ หดหายไป
นาง…ไม่อยากไปหาคนผู้นี้
ชาติที่แล้วนางกับเขาพบหน้ากันทั้งหมดไม่เกินสองครั้ง พูดกันไม่เกินสิบประโยค เฉิงสวี่กลับเอาแต่พูดว่าเขาชอบนาง หยวนซื่อก็เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีว่านางนั้นยั่วยวนและล่อลวงเฉิงสวี่…ถ้าหากนางกับเฉิงสวี่พูดคุยกัน เรื่องราวจะต้องเลวร้ายกว่าชาติที่แล้วเป็นแน่
ตระกูลหมิ่นแห่งฝูเจี้ยนนั้นเคยมีผู้ดำรงตำแหน่งโสวฝู่ [5] สองครั้ง ท่านหนึ่งเป็นจ้วงหยวน [6] ท่านหนึ่งเป็นปั๋งเหยี่ยน [7] จิ้นซื่อสิบกว่าท่าน จวี่เหรินและซิ่วไฉอีกนับไม่ถ้วน เป็นตระกูลหนึ่งที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าตระกูลเดิมของหยวนซื่อ นั่นก็คือ ตระกูลหยวนแห่งถงเซียง ตระกูลข้าราชการที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งแห่งถงเซียง
หยวนซื่อจึงมีความตั้งใจแน่วแน่อยากจะดองกับตระกูลหมิ่น!
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมหยวนซื่อถึงได้กราดเกรี้ยวขนาดนั้นหลังจากที่เกิดเรื่องแล้วกระมัง
นางไม่อยากมีอะไรต้องข้องเกี่ยวกับเฉิงสวี่ในชีวิตนี้อีก
โจวเสาจิ่นฝืนโยนชื่อนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ครุ่นคิดถึงพี่ชายใหญ่สือจวนรองผู้มีลักษณะเย็นชาและยโส พี่ชายใหญ่เจิ้งจวนสามผู้มีสายตาเฉียบคม…ไม่มีผู้ใดดีพอสักคน
ยังมีใครที่เหมาะสมอีกนะ?
ในสมองของโจวเสาจิ่นคิดไม่หยุดราวกับโคมไฟหม่าเติง แต่ก็หาคนที่เหมาะสมไม่ได้สักคน
นางขมวดคิ้วมุ่น
หรือว่านางจำต้องผูกสัมพันธ์กับเฉิงสวี่?
เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการส่งตัวเองไปให้เฉิงสวี่หยามเกียรติถึงหน้าประตู ทั้งยังเป็นไปตามคำที่หยวนซื่อใช้ถากถางนางในชาติที่แล้วอีก
โจวเสาจิ่นไม่เต็มใจยิ่ง
ซือเซียงเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง คุณชายใหญ่ลู่ได้ยินว่าท่านไม่สบายอีกแล้ว เป็นกังวลยิ่ง ให้ซงชิงนำบันทึกการเดินทางที่เพิ่งออกใหม่สองสามเล่มมามอบให้ท่านสำหรับแก้เบื่อเจ้าค่ะ”
“ให้เขานำกลับไป!” นางขมวดคิ้วมุ่นกล่าว “ชายหญิงเมื่อครบเจ็ดขวบก็ไม่นั่งด้วยกันแล้ว หากมีเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าไม่ต้องมารายงานข้า ให้ไล่คนกลับไปก็พอ”
“เจ้าค่ะ!” ซือเซียงเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี จึงตอบ ‘เจ้าค่ะ’ ไปอย่างว่าง่ายแล้วถอยกลับออกไป
โจวเสาจิ่นหมุนไปมาหลายรอบอยู่ในห้อง ตะโกนเรียกชุนหว่านให้เข้ามา “เจ้าช่วยไปหากระดาษเปล่ามาให้ข้าสักสองสามแผ่น ข้าอยากจะวาดแบบดอกไม้สักสองสามรูป”
เนื่องจากอารมณ์ไม่สงบนัก หาอะไรมาทำน่าจะดีกว่า
ก็เหมือนกับเมื่อชาติที่แล้ว การได้จดจ่อความสนใจทั้งหมดไปที่เข็มที่บินฉวัดเฉวียนกับเส้นด้ายที่เดินไปมานั้น ช่วยให้อารมณ์ค่อยๆ สงบขึ้นได้ เรื่องที่ทำให้เป็นกังวลใจเหล่านั้นก็จะค่อยๆ หายไป
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด
เริ่มแรกนั้นเป็นฝานมามาคอยดูแลเรื่องอาหารและความเป็นอยู่ต่างๆ ให้นาง หมิ่นมามาที่พี่สาวส่งมานั้นให้ดูแลบ้าน ต่อมาหมิ่นมามาที่อายุมากแล้วกลับบ้านพักผ่อนอยู่บ้าน พี่สาวจึงยินยอมให้เจิ้งมามาที่หลินซื่อเซิ่งส่งมาให้นั้นดูแลบ้าน หากนางมีเรื่องอะไรขุ่นเคืองใจ เจิ้งมามาจะกลับไปแจ้งหลินซื่อเซิ่ง ปัญหาต่างๆ ก็จะคลี่คลายลงอย่างราบรื่น
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็ส่ายไปมาเรียกสติ
หลินซื่อเซิ่ง…ว่ากันตามจริงแล้ว เขาดีกับนางมาก!
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่
ไม่มีนางแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะหาใครสักคนมาช่วยเขาและมู่อี๋เหนียงให้สมปรารถนาได้อีกหรือไม่!
ชาติก่อน มีคนแบบเฉิงลู่เฉิงสวี่ ก็มีคนแบบหลินซื่อเซิ่ง คนที่นางได้พบเจอด้วยแล้วถึงได้ยังเชื่อว่ายังมีคนดีๆ อยู่บนโลกใบนี้อยู่
โจวเสาจิ่นอยากหาโอกาสหนึ่งส่งคำเตือนไปให้หลินซื่อเซิ่ง
หากว่าตระกูลของมู่อี๋เหนียงไม่เกิดเรื่องขึ้น นางก็คงจะได้แต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งไปอย่างราบรื่น ถือเสียว่านางได้ทำความดีครั้งหนึ่ง ตอบแทนความมีน้ำใจของหลินซื่อเซิ่งที่ดูแลปกป้องนางมากว่าสิบปีในชาติที่แล้ว
โจวเสาจิ่นตัดสินใจทำเสื้อคลุมสำหรับฤดูร้อนให้นางและพี่สาวคนละสองสามตัว รอให้ถึงงานวันเกิดของท่านยายในฤดูร้อน สองพี่น้องสวมออกไปพร้อมกัน ต้องสวยมากเป็นแน่
โจวชูจิ่นที่กลับมาตกใจอย่างแรงไปทีหนึ่ง
นางชี้ไปที่แบบดอกไม้บนโต๊ะ ถามขึ้นอย่างลังเลว่า “นี่ นี่เป็นเจ้าวาดเองหรือ”
ลวดลายสง่างามมีสีสันสดใส นางไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่เหมือนกับแบบที่เป็นที่นิยมให้จินหลิงด้วย
“อือ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มสดใสมองไปที่พี่สาว “สวยหรือไม่เจ้าคะ”
——
[1] ชื่อฝู่ รองผู้ช่วย
[2] กวงซื่อชิง ฝ่ายที่ดูแลการจัดงานเลี้ยง
[3] จิ่วไช่ ผักกุยช่าย
[4] สุ่ยเซียน ดอกดารารัตน์ หรือ Daffodil
[5] โสวฝู่ หัวหน้าผู้ช่วย
[6] จ้วงหยวน สอบได้เป็นลำดับที่หนึ่ง
[7] ปั๋งเหยี่ยน สอบได้เป็นลำดับที่สอง