ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับเรือนเจียซู่มาด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างทราบข่าวการจากไปของเฉิงเฝินแล้ว
โจวชูจิ่นรู้สึกว่า เนื่องจากนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักสูญเสียทายาทสืบสกุลไป จึงเป็นเวลาที่จวนหลักกำลังอยู่ในช่วงโศกเศร้าเสียใจ การที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเลือกไปขอความช่วยเหลือให้ฮูหยินอู๋ในเวลานี้ นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ชาญฉลาดนัก
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกว่าการเอ่ยถึงเรื่องนี้ในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่เหมาะสมสักเท่าใด เนื่องจากจวนหลักเพิ่งเสียญาติไป ยังมีเรื่องใดที่สำคัญไปกว่าเรื่องนี้อีกหรือ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับปากช่วย เกรงว่าเรื่องนี้ก็ยากที่จะคืบหน้า แต่นางรู้ว่าในชาติที่แล้วหลังจากที่นายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักสูญเสียทายาทสืบสกุลไปแล้ว ก็ไม่ได้รับทายาทหรืออนุเข้ามา สายรองของจวนหลักจึงขาดผู้สืบทอดสายสกุลไปด้วยประการฉะนี้
นึกถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เงาร่างของชายชราที่กำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะเกียงขนาดเท่าเมล็ดถั่วอย่างเดียวดายผู้หนึ่งถึงได้ลอยเข้ามาในห้วงความคิดของนาง
นายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ผู้เป็นจิ้นซื่อลำดับสอง เป็นทั่นฮวาผู้สูงส่ง ทว่าก็มอดดับลงตามสายธารแห่งประวัติศาสตร์ดั่งดอกไม้ไฟ พวกนางผู้เป็นญาติที่เกี่ยวดองทั้งหลายไม่รู้จักแม้กระทั่งว่าเขามีหน้าตาอย่างไร เป็นบุคคลเช่นไร ประสบความสำเร็จอะไรมาบ้าง…
โจวเสาจิ่นจิตใจเหม่อลอยเล็กน้อย
หากว่าพี่สาวไม่ได้ลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบเร่ง นางก็คงยังไม่รู้ตัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับมาแล้ว
“ท่านยายเจ้าคะ” โจวชูจิ่นเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวน “ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
นางอยากจะเอ่ยถามท่านยายเหลือเกินว่าเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง แต่พอเห็นสีหน้าของท่านยายแล้วนางจึงไม่กล้าเอ่ยถามอะไรแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นแล้วตามออกไปต้อนรับด้วยเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา พลางพยักหน้าให้พวกนางสองพี่น้อง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไฉนถึงมารออยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบ “ท่านพี่เป็นห่วงว่าหากเอ่ยถึงเรื่องของฮูหยินอู๋ล่าช้าไปแล้วทางด้านฮูหยินอู๋จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ หรือต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับปากช่วยเหลือก็อาจจะสายเกินไปอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นกังวลเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางตอบ “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับปากแล้ว ยังให้น้าฉือของพวกเจ้าที่ต้องไปร่วมงานศพของลุงเฝินของพวกเจ้าที่จิงเฉิงไปสอบถามดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าข้าอีกด้วย!”
“เช่นนั้นก็ดียิ่งนักเจ้าค่ะ” ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของโจวชูจิ่นราวกับได้วางลงเสียที
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับตะลึงงัน เอ่ยถามว่า “ท่านน้าฉือจะไปร่วมงานศพที่จิงเฉิงหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจ พลางกล่าวว่า “ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เติบโตมากับนายท่านผู้เฒ่ารองตั้งแต่เด็ก ลุงเฝินของพวกเจ้าแก่กว่าน้าฉือของพวกเจ้าสิบกว่าปี! เกรงว่าคงจะปฏิบัติกับเขาประหนึ่งปฏิบัติกับบุตรชายของตัวเองก็ไม่ปาน ตอนนี้ลุงเฝินของพวกเจ้าตายจากไปแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องไปจุดธูปเคารพศพสักครั้ง”
น่าเสียดายที่ครั้งนี้เป็นการไปร่วมงานศพ ถ้าเป็นการไปจิงเฉิงด้วยสาเหตุอื่น หากนางติดตามไปด้วยได้ก็คงจะดี จะได้มีโอกาสได้พบกับท่านลุงใหญ่จิง ไม่แน่ว่าอาจจะได้พูดคุยกับท่านลุงใหญ่จิงสักสองสามประโยคด้วยเห็นแก่ท่านน้าฉือก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นลอบส่ายศีรษะ แล้วไปหาจี๋อิ๋ง
“เจ้าจะติดตามไปจิงเฉิงด้วยหรือไม่” นางเอ่ยถาม “ท่านน้าฉือจะออกเดินทางเมื่อใด”
“ข้าจะตามไปจิงเฉิงด้วย” เห็นได้ชัดว่าจี๋อิ๋งดูเซื่องซึมเล็กน้อย กล่าวว่า “บ่ายวันนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว”
โจวเสาจิ่นถามอีกว่า “เพราะต้องเดินทางผ่านชังโจวอารมณ์ของเจ้าก็เลยไม่สู้ดีนักใช่หรือไม่”
ชังโจวคือบ้านเกิดของจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งพยักหน้า กระซิบกล่าวว่า “ข้าอยากกลับไปเยี่ยมที่บ้านเหลือเกิน…แต่หากน้าฉือของเจ้าไม่อนุญาต ข้าก็กลับไปไม่ได้…”
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคุยกับท่านน้าฉือดีๆ เถอะ!” โจวเสาจิ่นแนะนำ “ช่วงนี้อากาศยังหนาวเย็นยิ่งนัก เจ้าต้องสวมเสื้อผ้าให้มากสักหน่อย เวลาเดินทางก็ต้องระวังตัวให้มาก อย่าไปต่อปากต่อคำกับท่านน้าฉือ เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นเจ้าที่จะเสียเปรียบ”
จี๋อิ๋งจึงหัวเราะออกมา ทำให้ดวงหน้าที่เย็นชาของนางดูราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในคิมหันตฤดู ทำให้ผู้คนตะลึงงัน “ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะระวังตัว”
โจวเสาจิ่นทำขนมเปี๊ยะมันฮ่อแล้วให้ชุนหว่านนำไปมอบให้จี๋อิ๋ง ให้นางพกไปกินระหว่างทางด้วย
จี๋อิ๋งกล่าวขอบคุณ แล้วตกรางวัลเป็นเหรียญทองแดงยี่สิบกว่าเหรียญแก่ชุนหว่าน
ชุนหว่านรับเหรียญทองแดงมา พลางนึกสงสัยอยู่ในใจ
เหตุใดสาวใช้ข้างกายแต่ละคนของนายท่านสี่ฉือถึงได้ดูเหมือนคุณหนูทุกคน คราวก่อนตอนที่นางนำขนมหัวผักกาดมามอบให้นายท่านสี่ฉือนั้น สาวใช้ใหญ่นามว่าหนานผิงผู้นั้นก็ตกรางวัลให้นางด้วยเช่นกัน…
นางยอบกายขอบคุณด้วยความเคยชิน แล้วถอยออกไป
จี๋อิ๋งมองกล่องขนมเปี๊ยะมันฮ่อ แล้วตัดสินใจวางศักดิ์ศรีของตนเองเอาไว้ก่อน จากนั้นเดินไปหาเฉิงฉือเพื่อพูดคุยด้วย เนื่องจากโอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก ต่อไปภายหน้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อใด
ทว่าพอนางไปถึงห้องของเฉิงฉือ เฉิงฉือกลับกำลังสนทนากับไหวซานอยู่
นางจึงนั่งรออยู่บนม้านั่งหินที่อยู่ด้านนอกของห้องข้าง
ไหวซานมองจี๋อิ๋งผ่านช่องหน้าต่างกระจกใส พลางเอ่ยถามขึ้นอย่างลังเลว่า “ตอนที่พวกเราผ่านชังโจว หากว่าจี๋อิ๋งอยากกลับไปเยี่ยมบ้าน…”
“เช่นนั้นก็ให้นางกลับไปเยี่ยมเถอะ” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพลิกหนังสือที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง กล่าวอีกว่า “เจ้านำ ‘สรรพเสียงแห่งระฆังทอง’ เล่มนี้ไปด้วย หากท่านอารองเห็นหนังสือเล่มนี้จะต้องดีใจมากเป็นแน่”
งานอดิเรกของนายท่านผู้เฒ่ารองคือการทำพิณ
ไหวซานกระหวัดนึกถึงภาพที่นายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงเซ่าอุ้มเฉิงฉือเอาไว้บนตักและสอนเขาดีดพิณด้วยตนเองเมื่อครั้งที่เฉิงฉือยังเป็นเด็กแล้วก็ยกยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ตอบรับเสียงต่ำว่า “ขอรับ”
เฉิงฉือเอ่ยถามว่า “ทางด้านฝานฉีมีจดหมายส่งมาหรือไม่”
ไหวซานตอบอย่างแปลกใจว่า “มีจดหมายส่งมาขอรับ แจ้งว่าครั้งนี้เขาก็อ้างนามว่าเป็นนายน้อยของเจ้าของร้านเพื่อไปขอพำนักอยู่ที่อารามซ่างชิงอีกครั้ง แต่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับนักพรตแซ่หยางผู้นั้นหรือไปเดินเตร็ดเตร่แถวซอยหูซ่างซูเลยขอรับ…”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่ทำอะไรเลยหรือ”
“ไม่ทำอะไรเลยขอรับ” ไหวซานกล่าวยืนยัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มประหนึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ท่านอย่าได้ว่าไปนะขอรับ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจปลูกต้นหลิวแต่ต้นหลิวนั้นกลับเติบใหญ่จนให้ร่มเงาขึ้นมาเอง ตอนนี้ตระกูลมู่กับตระกูลหลินได้กำหนดฤกษ์งานแต่งเป็นช่วงเที่ยงของวันที่หกเดือนสี่เรียบร้อยแล้ว ในอีกสองเดือนคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่ก็จะแต่งให้กับตระกูลหลินแล้วขอรับ”
แต่งงานรวดเร็วปานนี้เลยหรือ!
เห็นทีว่านักพรตแซ่หยางผู้นั้นจะจับคู่บุพเพสันนิวาสนี้จนสำเร็จลุล่วงได้จริงๆ
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่ได้รู้สึกสนใจเฉกเช่นไหวซาน ในทางกลับกันสีหน้าดูจริงจังขึ้นมาก ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นานครู่ใหญ่ แล้วกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้แปลกยิ่งนัก คุณหนูรองตระกูลโจวจะทุ่มเทแรงกายมากขนาดถึงขั้นส่งบ่าวเด็กคนหนึ่งไปถึงเมืองหลวง เพียงเพื่อให้เขาไปกินดื่มอย่างสำราญเท่านั้นน่ะหรือ หากไม่ใช่นักพรตแซ่หยางผู้นั้นมีปัญหาก็เป็นตระกูลมู่กับตระกูลหลินทั้งสองตระกูลที่มีปัญหา…เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องราวของสามคนนี้มาให้ละเอียด ดูว่าระหว่างสามคนนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง ส่วนทางด้านคุณหนูรองตระกูลโจว ส่งคนไปจับตาดูเอาไว้ก็พอ เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าแปลก” กล่าวเสร็จ เสียงของเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า “ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนหาคำอธิบายไม่ได้ก็ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอันตราย!”
ไหวซานประสานหมัดเคารพอย่างนอบน้อม แล้วขอตัวออกไป
จี๋อิ๋งเข้ามาคุยกับเฉิงฉือเกี่ยวกับเรื่องที่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านระหว่างเดินทาง “…ข้าจะไม่เข้าไปในบ้าน จะมองอยู่ไกลๆ เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น…”
“ได้!” เฉิงฉือไม่รอให้นางกล่าวจนจบก็เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมาเสียก่อน “ในปีนั้นสาเหตุที่เดิมพันกับบิดาของเจ้าก็เป็นเพราะข้ายังอ่อนวัยและมุทะลุ ตอนนี้ย้อนกลับไปดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่หุนหันพลันแล่นเกินไป อายุของเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว หากต้องการจะกลับไป ก็ลองปรึกษากับบิดาของเจ้าดู ให้เขามาพบข้าเพื่อหารือก็แล้วกัน”
จี๋อิ๋งมองเฉิงฉืออย่างตกตะลึง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
เฉิงฉือ อยากจะปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ
รอคอยมาเนิ่นนานขนาดนี้ อดทนมาเนิ่นนานขนาดนี้ ในที่สุดนางก็จะได้กลับบ้านแล้วหรือ
จี๋อิ๋งดีใจอย่างลิงโลดจนเกือบจะกระโดดพรวดขึ้นมา แต่นางก็สงบสติลงมาได้อย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือให้บิดาของนางไปพบเขาเพื่อหารือ…บิดาอาจจะไม่เห็นด้วยก็เป็นได้…
นางพลันรู้สึกห่อเ**่ยวขึ้นมาในทันที
เฉิงฉือไหนเลยจะต้องการปล่อยนางกลับไป เห็นได้ชัดว่าเขากำลังวาดขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่กลางอากาศให้นางกินอยู่ต่างหาก
จี๋อิ๋งขานรับว่า “อ้อ” แล้วกลับไปเก็บข้าวของอย่างเฉื่อยชา จากนั้นก็ไปหาโจวเสาจิ่นที่เรือนหว่านเซียง
“เช่นนั้นเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างไร” โจวเสาจิ่นไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดถึงมีคนยอมสูญเสียอิสระของบุตรสาวเป็นเวลาถึงสิบปีให้กับการเดิมพัน ยิ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่ายามที่จี๋อิ๋งพบหน้าบิดาของตนอีกครั้งนางจะรู้สึกอย่างไร
“ข้าจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งกลับไปก่อน!” จี๋อิ๋งกล่าว “แจ้งท่านพ่อของข้าให้ทราบเรื่องนี้เสียก่อน.. ส่วนเรื่องอื่นนั้น เมื่อไปถึงชังโจวแล้วค่อยหารือกันอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน”
“ได้กลับบ้านของตัวเอง ได้อยู่ข้างกายบิดามารดา ย่อมเป็นเรื่องที่ดี” ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวอยู่นั้น ก็อุทานว่า “ไอ้โหยว” ขึ้นมาแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากว่าบิดาของเจ้าพาเจ้ากลับไป ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วหรือ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องมอบของขวัญเป็นที่ระลึกแก่เจ้าถึงจะถูก…”
จี๋อิ๋งยิ้มพลางดึงตัวโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ต่อให้ข้ากลับไปชังโจวแล้ว ข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่ใด! ข้าจะมาหาเจ้าเอง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนกล่าวคำสัญญาต่อกันอีกสองสามประโยค โจวเสาจิ่นเห็นว่าสายแล้ว จึงส่งจี๋อิ๋งออกจากเรือนหว่านเซียง
ปรากฏว่าตอนที่จี๋อิ๋งกลับไปถึง **บสัมภาระของเฉิงฉือได้ถูกจัดเก็บจนเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ซ้ำยังกำลังเตรียมจะขึ้นรถม้าแล้วด้วย
จี๋อิ๋งนึกถึงตนเองที่ยังไม่ได้เก็บข้าวของใดๆ เลย ดวงหน้าก็เห่อแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าเฉิงฉือไม่คิดจะรอนาง ปรายตามองนางอย่างเย็นชา พลางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวเมืองจินหลินจะลงกลอนประตูเมืองแล้ว เจ้ารีบเก็บข้าวของแล้วขี่ม้าตามมาเองก็แล้วกัน! อาชาสีแดงตัวนั้นของเจ้าอยู่ที่เจ่าหยวน เจ้าน่าจะรู้ทางไปเจ่าหยวนอยู่กระมัง”
ใบหน้าของจี๋อิ๋งร้อนผ่าว ก้มศีรษะลงพลางส่งเฉิงฉือออกจากประตูไป จากนั้นจึงรีบกลับห้องไปเก็บข้าวของ
บนรถม้า ไหวซานเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “ท่านไม่ถามนางสักหน่อยหรือว่าได้กล่าวอะไรกับคุณหนูรองตระกูลโจวไปบ้าง”
“มีเรื่องอะไรให้ต้องถามด้วยหรือ” เฉิงฉือตอบอย่างไม่สนใจ “ต้องเดินทางไปจิงเฉิง อีกทั้งยังได้กลับบ้านด้วย กล่าวไปกล่าวมาก็ไม่พ้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเด็กสาวมักจะกล่าวเตือนกันก็เท่านั้น!”
ไหวซานเงียบงัน
โจวเสาจิ่นเองก็ได้รับแจ้งเกี่ยวกับข่าวคราวการแต่งงานระหว่างมู่อี๋เหนียงกับหลินซื่อเซิ่งในวันที่หกเดือนสี่ที่จะถึงนี้แล้วเช่นกัน
นี่ก็นับได้ว่าประสบผลสำเร็จแล้วกระมัง
นางอดกล่าวคำว่า “อมิตาพุทธ” อยู่ในใจไม่ได้
ทว่าเรือนหานปี้ซานกลับกลายเป็นเงียบเหงาขึ้นมากด้วยเหตุเพราะเฉิงฉือต้องจากบ้านไปไกล โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่ากัว ที่ประหนึ่งว่าพลังชีวิตได้ถูกทำลายลงไป และไม่อาจฟื้นคืนกำลังวังชามาเป็นเวลานาน กว่านางจะกลับมาสดใสและมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ก็ล่วงเลยฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นและมีดอกไม้เบ่งบานไปเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมักจะไปเดินเล่นริมทะเลสาบอยู่บ่อยๆ ทั้งยังเจาะจงเรียกโจวเสาจิ่นให้ไปเป็นเพื่อนด้วยหลายครั้ง
แต่เฉิงฉือกลับไม่ส่งข่าวคราวใดๆ มาเลย เพียงแค่ให้คนส่งจดหมายกลับมาฉบับหนึ่งในตอนแรกสุดที่เดินทางไปถึงจิงเฉิงโดยสวัสดิภาพฉบับเดียวเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้อยู่บ้าง เดินอยู่ดีๆ ก็หยุดยืนนิ่งๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหันเป็นครั้งคราว
กระทั่งฉลองวันสรงน้ำพระพุทธองค์กับวันคล้ายวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองแล้ว ฝานฉีก็รุดกลับมา
“คุณหนูรองขอรับ” นัยน์ตาของเขาทอประกายระยับ พลางกล่าวว่า “ข้ามองคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวกับตาตัวเองแล้วถึงกลับมาขอรับ”
“ลำบากเจ้าแล้ว!” โจวเสาจิ่นยากจะปิดบังความรู้สึกซาบซึ้งใจเอาไว้ได้
หากไม่ใช่เพราะฝานฉี เกรงว่านางคงยังต้องเป็นกังวลจนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ต่อไป
ฝานฉีโบกมือปฏิเสธพลางยิ้มน้อยๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกเบิกบานอยู่ในใจอย่างอธิบายไม่ได้
ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดก็ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว ในที่สุดนางก็กระทำเรื่องหนึ่งจนสำเร็จสมดังปรารถนาได้แล้ว
แม้ว่าเป้าหมายของตนยังอีกยาวไกลนัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าขอเพียงตนมีความมุ่งมั่นและบากบั่น ก็จะทำเรื่องที่ตนเองเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จลุล่วงลงได้
นางรู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะตั้งใจวางแผนและเตรียมการดีๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทะลวงกำแพงระหว่างนางกับท่านน้าฉือให้ได้ ต่อให้ต้องเบียดเข้าไป ก็จะหาทางเบียดเข้าไปให้ถึงตัวของท่านน้าฉือให้จงได้
…………………………………………..