ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน ห้องที่ติดเอาไว้ด้วยกระดาษเกาลี่ยังคงมืดเล็กน้อย ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแวววาวราวกับเครื่องกระเบื้องเคลือบสีขาวมันวาว ทำให้แสงภายในห้องสว่างขึ้นหลายส่วน
งดงามยิ่ง!
โจวชูจิ่นอดไม่ได้ลูบศีรษะของน้องสาวครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “สวยมาก! เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นแบบดอกไม้เช่นนี้มาก่อน ก็เลยประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น” กล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนเพียงเห็นเจ้าเขียนๆ วาดๆ อยู่ในห้อง ไม่คิดว่าเจ้าสามารถวาดแบบดอกไม้ด้วยตัวเองได้จริงๆ”
นางถอนหายใจเล็กน้อย แต่ที่มีมากกว่านั้นคือความปิติยินดี
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามนาง “เช่นนั้นท่านชอบชิ้นไหนเจ้าคะ ข้าเตรียมจะทำชุดให้ท่านสองชุดเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน หลังจากที่นางไปอยู่บ้านสวนที่ต้าซิ่งแล้ว แต่ละวันไม่มีอะไรทำมากนัก นอกจากไปไหว้พระที่วัดต้าเจาแล้ว ก็จะอยู่บ้านปลูกดอกไม้ถางต้นหญ้าและเย็บปักถักร้อย
การวาดแบบดอกไม้สักดอกจึงไม่นับว่าเป็นอะไร
แม้แต่รูปกวนอิมนางล้วนเคยปักมาก่อน
ต่อมาส่งไปให้หลินซื่อเซิ่งเป็นของขวัญ ยังได้รับคำชื่นชมจากบุคคลชั้นสูงในสำนักพระราชวัง
หลังจากที่นางได้ยินหลินซื่อเซิ่งกล่าวเช่นนั้นแล้ว ยังตั้งใจหาเวลาว่างปักเพิ่มอีกหลายชิ้นเตรียมมอบเป็นของขวัญให้หลินซื่อเซิ่ง
ใครจะรู้ว่าหลินซื่อเซิ่งกลับไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
โดยปกตินางก็ไม่เคยเป็นฝ่ายพูดกับหลินซื่อเซิ่งก่อน ผ่านไปหลายวันเข้านางก็โยนเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
ก็ไม่รู้ว่าฝานมามาเอามันไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว
นึกขึ้นมาได้ในตอนนี้แล้วโจวเสาจิ่นก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย
โจวชูจิ่นดีใจมาก เพียงแต่เห็นว่าการปักตามแบบดอกไม้นี้ใช้เวลาค่อนข้างมาก จึงกล่าวว่า “ไม่ต้องให้มันยุ่งยากขนาดนั้นหรอก สองวันก่อนท่านป้าใหญ่เรียกช่างตัดชุดเฝิงเข้ามาที่จวน ทำชุดเพิ่มให้ข้าอีกหลายชุด หากว่าเจ้าไม่มีอะไรทำ ก็ปักผ้าเช็ดให้ตัวเองสักสองผืนก็พอแล้ว หรือไม่ก็ปักกระโปรงให้ท่านยายสักผืนก็ดีเหมือนกัน พอผ่านเดือนสี่ไปก็เป็นวันเกิดของท่านยายแล้ว ถึงเวลานั้นก็มอบเป็นของขวัญให้ท่านยาย ท่านยายต้องชื่นชอบมากเป็นแน่” ขณะที่กล่าวนั้น ความเสียใจที่เผลอพลั้งปากออกไปสายหนึ่งวาบผ่านทางสีหน้า จึงรีบกล่าวแก้ไขว่า “หรือไม่ก็เรียกช่างตัดชุดเฝิงเข้ามาตัดเสื้อคลุมสำหรับฤดูร้อนให้เจ้าสักสองสามชุด? ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบชุดสำหรับฤดูร้อนที่ทำจากผ้าแพรเงินหยกแซมขาวชุดนั้นมาก ขนาดเสื้อเล็กแล้วก็ยังหยิบมาสวมอีกสองครั้ง ข้ามีผ้าแพรเงินหยกแซมขาวคู่หนึ่งพอดี…”
มองพี่สาวที่มีอายุสิบแปดปีแล้ว โจวเสาจิ่นก็ให้รู้สึกละอายยิ่ง
เมื่อก่อนเพียงได้ยินว่าท่านป้าใหญ่ซื้อของอะไรให้พี่สาว อารมณ์ของนางจะหดหู่ไปหลายวัน พลอยทำให้พี่สาวและคนข้างกายอื่นๆ ล้วนไม่สบายใจไปด้วย มองจากตอนนี้แล้ว ท่านป้าใหญ่ทำเช่นนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงพูดถึงเรื่องตัดชุดเท่านั้น นางนั้นอายุยังน้อย อยู่ในวัยกำลังโต ตัดชุดมากไป บางตัวยังไม่ทันได้ใส่ก็เล็กไปเสียแล้ว จำต้องเก็บเอาไว้ใต้**บ แต่ว่าพี่สาวคือคนที่ใกล้จะแต่งงานออกเรือน ถ้าหากว่าสวมใส่ไม่หมด ไปถึงตระกูลเลี่ยวยังสามารถให้เป็นรางวัลแก่บ่าวรับใช้ได้ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเกียรติที่หาได้ยากแบบหนึ่ง
“ท่านพี่” นางหน้าแดงพูดขัดโจวชูจิ่นขึ้นว่า “ผ้าแพรเงินผืนนั้นเป็นของขวัญ คนธรรมดาล้วนไม่เคยได้เห็นมาก่อน เป็นท่านยายที่ฝากฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหลักนำมาให้จากจิงเฉิง เพื่อให้ท่านใช้เป็นสินสอด ท่านให้ข้าแล้ว สินสอดจะครบหนึ่งร้อยยี่สิบคนหามได้อย่างไรเจ้าคะ” เพื่อให้พี่สาวสบายใจแล้ว พูดจบนางยังหันไปขยิบตาให้พี่สาวอย่างซุกซน
โจวเสาจิ่นทึ่มทื่อไปชั่วขณะ
นี่ยังใช่น้องสาวที่อ่อนไหวง่ายและขี้สงสัยผู้นั้นของนางอยู่ใช่หรือไม่
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
ระหว่างพี่น้องก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เจ้ายอมให้จ้า ข้ายอมให้เจ้า ไม่ใช่หรือ
ชาติก่อนเป็นนางที่ไม่เข้าใจ แต่ชาตินี้นางจะไม่ให้พี่สาวต้องเหนื่อยขนาดนั้นอีกแล้ว
นางดันตัวพี่สาวตรงไปยังห้องข้าง กล่าวว่า “ครั้งนี้ก็ใช้ผ้าในห้องเก็บของของข้า ทุกครั้งที่ท่านพ่อส่งของกลับมา พวกเราสองพี่น้องล้วนได้มาคนละชิ้นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีผ้าแพรเงิน แต่ก็มีผ้าสีเขียวหยกหลายผืนที่งามไม่แพ้ผ้าแพรเงินเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นถึงได้สติกลับมา พลันอายจนหน้าแดง ขยับขึ้นด้านหน้าไปปิดปากโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างเขินอาย “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ว่าอะไรล้วนกล้าเอ่ยออกมา ระวังเถอะ ข้าจะให้ฝานมามาอบรมเจ้า!”
“ฝานมามาไหนเลยจะทำใจอบรมข้าได้!” โจวเสาจิ่นหัวเราะร่ากลบเกลื่อน
สองพี่น้องเดินเข้าในห้องข้าง
ฝานหลิวซื่อ ฉือเซียงและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องด้านนอกได้ยินแล้วต่างโล่งอกไปทีหนึ่ง
นี่ถือได้ว่าเป็นฟ้าหลังฝนที่สวยงาม!
แล้วอารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ราวกับท้องฟ้าที่สดใส เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ขอเพียงนางและพี่สาวปรองดองกัน เรื่องราวต่างๆ จะต้องค่อยๆ ดีขึ้นมา
นางหมกมุ่นอยู่กับงานเย็บปัก จนกระทั่งระดูหมด ชุดเพ่ยจื่อของพี่สาวเหลือเพียงปักดอกไม้ตรงปากแขนเสื้อก็จะเสร็จแล้ว
โจวเสาจิ่นทำผมมวยคู่หนึ่ง สวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอ่อน ขอบชุดเป็นลายสายไข่มุกสีชมพูไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนพร้อมกันกับพี่สาว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงมือโจวเสาจิ่นเอาไว้พยักหน้าไม่หยุด กล่าวขึ้น “ดูสีผิวแล้วดีมาก คาดว่าคงไม่ได้ปวดทุกข์ทรมานอะไร”
โจวเสาจิ่นยิ้มเจื่อน
โจวชูจิ่นหันไปกล่าวขอบคุณท่านยาย “นั่นเป็นเพราะยาที่ท่านยายส่งมาให้ดียิ่งเจ้าค่ะ” กล่าวต่อว่า “เห็นว่าใกล้จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านยายเห็นว่าควรจะเริ่มคัดลอกไตรปิฎกเมื่อไหร่ดีเจ้าคะ” เป็นน้ำเสียงที่ปรารถนาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรีบรั้งตัวโจวเสาจิ่นเอาไว้
ทุกคนหัวเราะออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างเรียบง่ายขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน รอให้พ้นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้วค่อยไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอันก็ยังไม่สาย” จากนั้นสั่งการซื่อเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปบอกเฉิงต้าเหนียงสักหน่อยว่าข้ารั้งให้คุณหนูรองอยู่ช่วยคัดลอกไตรปิฎกให้ข้า รอให้พ้นวันที่แปดเดือนสี่แล้วค่อยกลับไปเรียน”
ซื่อเอ๋อร์ยิ้มพลางถอยออกไป
โจวเสาจิ่นกลับโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เกือบสิบปีแล้วที่ไม่ได้เรียนหนังสือ นางลืมเรื่องไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอันไปเสียสนิท นอกจากนี้เรื่องที่เฉิงต้าเหนียงสอนนั้นนางเคยเรียนไปแล้วครั้งหนึ่ง ชาตินี้นางไม่อยากไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอันอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ห้องศึกษาจิ้งอันมีเพียงนางกับเฉิงเจียเป็นนักเรียนหญิงอยู่สองคน ไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอันย่อมหนีไม่พ้นต้องทักทายกับเฉิงเจีย ความทรงจำของชาติที่แล้วฝังอยู่แน่นเกินไป นางไม่อาจสนิทสนมกับเฉิงเจียเหมือนอย่างในชาติที่แล้วได้อีก ควรจะรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้จะดีกว่า
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเรื่องนี้
โจวชูจิ่นตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปที่เรือนหานชิวให้ป้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ สอน ส่วนนางประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปที่ห้องพระเล็กอย่างนอบน้อม
ห้องพระเล็กนั้นต่อเติมมาจากห้องข้าง ถึงแม้ว่าพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ดอกไม้สด ผลไม้ ธูปเทียน และผ้าม่านถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบยิ่ง วางไว้ด้วยรูปปั้นแกะสลักของพระโพธิสัตว์กวนอิมสูงสามฉื่อชิ้นหนึ่งซึ่งแกะสลักมาจากไม้ประดู่แดงทั้งชิ้น ลายเส้นอ่อนช้อย ฝีมือประณีตยิ่ง ใบหน้าโปรดสัตว์ขององค์พระโพธิสัตว์นั้นนิ่งและสงบ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
โจวเสาจิ่นเพียงมองก็ชอบทันที
นางหยิบธูปไม้หอมหนานมู่สามดอกจากกล่องไม้ที่วางอยู่บนด้านหนึ่งของโต๊ะกระถางธูปออกมาอย่างคล่องแคล่ว นำไปจุดที่กระถางธูปที่อยู่ด้านหน้ารูปปั้นแกะสลักพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วยื่นส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้าเบาๆ รับธูปมาด้วยรอยยิ้มพอใจแล้วคุกเข่าลงบนเบาะ สวดพึมพำอยู่หลายประโยค
โจวเสาจิ่นขยับขึ้นด้านหน้าพยุงท่านยายลุกขึ้น ช่วยนางปักธูป จากนั้นตนเองก็ถวายธูปสามดอกแด่พระโพธิสัตว์ แล้วค่อยออกไปจากห้องพระพร้อมท่านยาย อาศัยการให้การรับใช้ของซื่อเอ๋อร์ อยู่ล้างมือในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากวน
“ก็คัดลอกไตรปิฎกอยู่ในนี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชี้ไปที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างภายในห้อง “แสงในนี้กำลังดี”
โจวเสาจิ่นยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ” ซื่อเอ๋อร์และคนอื่นๆ รีบช่วยนางเตรียมกระดาษและน้ำหมึก นางลองพู่กันครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อมั่นใจแล้วจึงเริ่มคัดลอกไตรปิฎก ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั่งเปิดหนังสือพระอยู่ข้างๆ นาง กระทั่งถึงตอนเที่ยง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เพียงรั้งให้นางอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย หลังมื้อเที่ยงยังย้ายไปดื่มชาในห้อง เล่าเรื่องสมัยเป็นสาวของตัวเองให้นางฟัง นำมาสอนนางว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร
โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ คิดว่าไม่ว่าอย่างไรตนเองก็ต้องคิดหาวิธีเตือนตระกูลเฉิงให้ได้ ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลเฉิงเดินบนเส้นทางเดิมของชาติที่แล้ว
ต่อมา ทุกเช้าหลังจากที่รับมื้อเช้าแล้ว นางก็จะไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกันกับพี่สาว จากนั้นพี่สาวตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปเรียนเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของภรรยา ส่วนนางคัดลอกไตรปิฎกอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากวน ตอนเที่ยงก็รับมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน ดื่มชาเสร็จแล้วก็พูดคุยกันสักครู่ จากนั้นกลับไปนอนกลางวันที่ห้อง ตอนบ่ายนางก็ทำชุดอยู่ที่เรือนหว่านเซียง
เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน อยู่ๆ ฝานหลิวซื่อก็มาขอลาหยุดกับนาง กล่าวว่าลู่เอ๋อร์เป็นหวัดไม่สบาย ที่บ้านให้นางรีบกลับไปสักหน่อย
ฝานหลิวซื่อมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตชื่อฝานลู่ อายุมากกว่าโจวเสาจิ่นสองปี บุตรชายคนรองชื่อฝานฉี เกิดปีเดียวกันกับโจวเสาจิ่น แก่กว่าโจวเสาจิ่นเพียงสิบห้าวัน เป็นบุตรที่ถูกทิ้ง ที่บ้านของฝานหลิวซื่อมีที่ดินเพียงสองหมู่ เพื่อเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองคนแล้ว นางเลยเข้ามาเป็นแม่นมให้กับโจวเสาจิ่น ยกบุตรชายทั้งสองให้อยู่ในความดูแลของลุงใหญ่ของเด็กทั้งสองคน
ในเวลานี้ที่ฝานหลิวซื่อเอ่ยถึงฝานลู่ขึ้นมา โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ในชาติที่แล้ว ฝานลู่ก็ป่วยเสียชีวติในช่วงเวลานี้ ทั้งยังเป็นการป่วยเสียชีวิตเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
นางใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบกล่าว “เจ้ารีบกลับไป!” เมื่อกล่าวออกไปแล้วก็รู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่พอ กล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าให้ซือเซียงนำเงินมาให้เจ้าสิบเหลี่ยง” เช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ จึงกล่าวต่อว่า “ข้าจะบอกหม่าฟู่ซาน ให้เขาเชิญท่านหมอโจวกลับไปพร้อมกับเจ้าด้วย หากว่าเงินไม่พอ ก็ให้โรงหมอตระกูลโจวไปเก็บเงินที่หม่าฟู่ซาน”
ฝานหลิวซื่อน้ำตารื้นด้วยความซาบซื้งใจ ดวงตาแดงก่ำกล่าวขึ้นว่า “รีบร้อนเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ! ข้ากลับไปดูสักหน่อยก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าได้ยินข้าชัดเจนแล้วไม่ผิด” ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง โจวเสาจิ่นไม่คิดจะยื้อยุดกับฝานหลิวซื่อให้เสียเวลาอีก ย้ำเตือนกับซือเซียงว่า “เจ้าไปบอกภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานจ้างเสลี่ยงไปส่งฝานหลิวซื่อด้วย”
ฝานหลิวซื่อคุกเข่าลงโขกศีรษะให้นาง โจวเสาจิ่นบ่นนางว่าพูดมาก ให้ซือเซียงจูงแขนนางพาออกไป
หลังจากที่โจวชูจิ่นทราบเรื่องของฝานหลิวซื่อแล้ว กล่าวกับโจวเสาจิ่นเป็นการส่วนตัวว่า “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี หากว่าแม้แต่คนข้างกายพวกเราก็ยังดูแลได้ไม่ทั่วถึง จะบอกให้พวกนางซื่อสัตย์และจงรักภักดีได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นได้รับการสอน
สองวันผ่านไป ฝานหลิวซื่อก็กลับมา
นางโขกศีรษะ ‘ตึงๆๆ’ ให้โจวเสาจิ่น “ขอบคุณคุณหนูรองในความเมตตาที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ยิ่งนัก หากว่าไม่ได้ท่านหมอโจวตามไปด้วยแล้ว ชีวิตของลู่เอ๋อร์ของพวกข้าคงหาไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นปิติยินดีนัก
หมายความว่า ลู่เอ๋อร์รอดชีวิตแล้ว!
เป็นเพราะคำเตือนของนาง ลู่เอ๋อร์รอดชีวิตแล้ว
นางมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการช่วยเหลือตระกูลเฉิง
โจวเสาจิ่นสอบถามถึงรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด
เดิมทีแล้วฝานลู่ตัวร้อนมาเจ็ดถึงแปดวันแล้ว ลุงใหญ่และป้าใหญ่ของฝานลู่กลัดกลุ้มเรื่องเงินทอง จึงให้รักษาตามมีตามเกิดที่บ้าน ไม่ได้เชิญท่านหมอ พอเห็นว่าเด็กตัวร้อนจนเริ่มเพ้อเป็นคำพูด น้ำข้าวก็ทานไม่ได้ พวกเขาถึงได้รีบให้คนมาแจ้งข่าวให้กับฝานหลิวซื่อ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ขมวดคิ้วมุ่น “เด็กไม่สบายถือเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมพวกเขาไม่มาขอเงินจากเจ้า”
ฝานหลิวซื่อดวงตาแดงขึ้น กล่าวว่า “ตอนที่มอบเด็กทั้งสองให้พวกเขานั้น ได้ตกลงกันแล้วว่าหนึ่งปีเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่เจ้าค่ะ”
ถึงว่า!
โจวเสาจิ่นคิดว่าฝานลู่และฝานฉีต่างก็อายุไม่น้อยแล้ว สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว ตระกูลโจวก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร กล่าวขึ้นคำต่อคำว่า “หรือไม่เจ้าพาพวกเขาทั้งสองคนมาอยู่ด้วยเถอะ!”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ!” ฝานหลิวซื่อส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง พลางกล่าว “พระคุณของคุณหนูทั้งสองท่านที่มีต่อข้าหนักเท่าภูเขา ข้ายังได้คืบจะเอาศอก รีดเอาผลประโยชน์จากตระกูลโจวอีกได้อย่างไรเจ้าคะ” กล่าวต่อว่า “ข้าคิดเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ให้ฝานลู่ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน ส่วนฝานฉีส่งไปเป็นผู้ช่วยฝึกหัดที่ร้านผ้าไหม เป็นทางออกสำหรับลูกทั้งสองคน”
บุตาชายคนโตรับสืบทอดงานที่บ้าน ส่วนบุตรชายคนรองออกไปหางานทำข้างนอก นี่เป็นวิถีปฎิบัติปกติของคนในหมู่บ้าน ชาติก่อนฝานลู่ป่วยเสียชีวิต ฝานฉีสืบทอดงานที่บ้าน ด้วยความอุตสาหะทำงานอย่างหนัก ไม่เพียงซื้อที่ดินผืนงามได้สามสิบกว่าฉื่อ ยังเปิดร้านสกัดน้ำมันหนึ่งร้านขึ้นในหมู่บ้าน กลายเป็นผู้มีความสามรถที่มีชื่อเสียงไกลไปสิบหลี่แปดหมู่บ้าน ฝานหลิวซื่อเห็นว่าบุตรชาสามารถดูแลตัวเองได้ จึงติดตามอยู่ข้างกายนางต่อไป จนกระทั่งนางต้องการไปลอบสังหารเฉิงลู่ กลัวว่าหลังจากที่เกิดเรื่องกับตนเองแล้วฝานหลิวซื่อจะถูกดึงมาเกี่ยวข้องด้วย จึงหาข้ออ้างไล่ฝานหลิวซื่อออกไปจากบ้านสวน…แต่นางก็ได้ยัดตั๋วเงินจำนวนสองพันสองร้อยตั๋วเงินใส่เอาไว้ในห่อผ้าของฝานหลิวซื่อ
ชาตินี้ ในเมื่อนางสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของฝานลู่ได้ ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของฝานหลิวซื่อได้เช่นกัน!